วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

พบระบบ GPS ในสมองมนุษย์



 
สมองก็มีระบบภายในที่ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน คล้ายๆกับระบบ global positioning system หรือ GPS ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์รู้ว่าตัวมัน(รวมถึงตัวเรา)อยู่ที่ไหน
 
การศึกษาครั้งใหม่นี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Nature แล้ว นำโดยมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ชี้ชัดว่า สมองก็สามารถมีพฤติกรรมระบุพิกัดของตัวเองได้เช่นกัน โดยเส้นประสาทหน่วยระบุตำแหน่งบางส่วน หรือที่เรียกว่า กริดเซลล์ จะช่วยๆกันระบุตำแหน่งแล้วส่งให้ร่างกายรับรู้ แทนที่จะเป็นการที่แต่ละเซลล์รู้ตำแหน่งของมันเองตามที่ทฤษฎีคู่แข่งได้นำเสนอ
 
กริดเซลล์ เป็นเซลล์ประสาทที่จะมีสัญญาณไฟฟ้าเป็นบวก ถ้าสัตว์เคลื่อนที่ไปในสิ่งแวดล้อม ซึ่งค้นพบกันครั้งแรกราวกลางทศวรรษที่ 2000 ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนที่เข้าไปในห้อง
 
"กริดเซลล์จะสร้าง'การแทนพื้นที่'ขึ้นมาด้วยกัน " เดวิด แทงค์ แห่งมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัว หัวหน้านักวิจัยเผย "งานวิจัยของเราจะมุ่งไปที่การทำความเข้าใจกลไกที่เกิดขึ้นในระบบประสาทที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นแพทเทิร์นรูปหกเหลี่ยมนี้"
 
ทางด้านคริสติน่า ดอมนิโซรู นักวิจัยผู้ทำการทดลอง ได้ทำการวัดสัญญารที่เกิดขึ้นในกริดแต่ละตัวในสมองของหนูขณะที่หนูเคลื่อนที่เข้าไปในสิ่งแวดล้อมเสมือนที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมา คือ เป็นจอวิดีโอที่ติดตั้งให้รู้สึกว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมจริงๆ คล้ายๆกับระบบ Virtual Reality ที่ใช้กับคน
 
นักวิจัยพบว่า กิจกรรมทางไฟฟ้าของเซลล์ที่วัดได้จากความแตกต่างศักย์ระหว่างภายในและภายนอกเซลล์นั้นจะเริ่มต้นด้วยค่าต่ำ จากนั้นจะสูงขึ้นและสูงขึ้นเมื่อหนูไปถึงจุดต่างๆที่ได้กำหนดไว้ และจะลดต่ำลงอีกครั้งเมื่อหนูเคลื่อนที่หนีไปจากจุดนั้น
 
กิจกรรมทางไฟฟ้าที่สูงขึ้นและลดลงนี้ สอดคล้องกับกลไกทางประสาทที่เรียกว่า โครงข่ายดึงดูด (Attractor Network) โดยสมองจะประกอบไปด้วยเซลล์ประสาทหลายๆตัวที่ต่อกันเป็นโครงข่ายดึงดูดแบบนี้ และโครงข่ายดึงดูดก็เป็นแบบจำลองทางทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายว่า เซลล์ประสาทแต่ละตัวทำงานร่วมกันอย่างไรจึงจะทำกิจกรรมทางสมองบางอย่างได้ โดยโครงข่ายดึงดูดนี้ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้วโดนจอห์น ฮ็อปฟิลด์ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน
 
นักวิจัยพบว่า การวัดกิจกรรมของกริดเซลล์นี้สอดคล้องกันแบบจำลองโครงข่ายดึงดูด แต่ไม่สอดคล้องกับอีกทฤษฎีคู่แข่งที่เสนอกนมา คือ แบบจำลอง oscillatory interference ที่เสนอว่า กริดเซลล์จะใช้รูปแบบกิจกรรมทางไฟฟ้าของเซลล์แบบเป็นจังหวะ (หรือการสั่น) เพื่อการระบุตำแหน่ง ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นสัญญาณนาฬิกาของสัตว์ แต่ผลที่ออกมาจากงานวิจัยที่ปรินซ์ตันพบว่า กิจกรรมแบบเป็นจังหวะนั้นพบได้ที่เซลล์ประสาทส่วนใหญ่ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการระบุตำแหน่งเลย
 
อ้างอิง: Princeton University (2013, March 6). Researchers discover workings of brain's 'GPS system'. ScienceDaily. Retrieved March 11, 2013, from http://www.sciencedaily.com/releases/2013/03/130307110720.htm
งานวิจัย: Cristina Domnisoru, Amina A. Kinkhabwala, David W. Tank. Membrane potential dynamics of grid cells. Nature, 2013; DOI: 10.1038/nature11973

อ้างอิงจาก http://vcharkarn.com/vnews/154892

ความยาวของสายดีเอ็นเอในผู้ป่วยโรคหัวใจ สามารถใช้ทำนายอายุขัยของพวกเขาได้หรือไม่?



             นักวิจัยจากสถาบัน Intermountain Heart Institute at Intermountain Medical Center ได้ทำการศึกษาดีเอ็นเอในผู้ป่วยโรคหัวใจมากว่า 3,500 ราย พบว่าสามารถใช้ความยาวของสายดีเอ็นเอทำนายอายุขัยของผู้ป่วยได้
             การศึกษานี้ถูกนำเสนอในการประชุมประจำปี American College of Cardiology's Annual Scienctific Session ในเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นหนึ่งใน 17 การศึกษา จากสถาบัน Intermountain Heart Institute at Intermountain Medical Center ที่ถูกนำเสนอในการประชุมทางวิทยาศาสตร์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคหัวใจจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก

             นักวิจัยสามารถคาดการณ์อัตราการมีชีวิตของผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยอาศัยความยาวของสายดีเอ็นเอที่ส่วนปลายของโครโมโซม ซึ่งถูกเรียกว่า telomeres ผู้ป่วยที่มีความยาวของ telomeres มากกว่า จะมีโอกาสของการมีชีวิตอยู่รอดนานกว่า การวิจัยก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าความยาวของ telomere สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดอายุ และยังช่วยขยายการพ้นพบต่อไปว่าความยาวของ telomere อาจคาดการณ์อายุขัยของผู้ป่วยโรคหัวใจได้ด้วยเช่นกัน

             Dr. John Carlquist นักวิจัยกล่าวว่า telomeres จะปกป้องส่วนปลายของโครโมโซมจากความเสียหายต่างๆ ดังเช่นเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น telomeres ที่สร้างขึ้นจะสั้นลง จนกระทั่งเซลล์ไม่สามารถแบ่งตัวได้ telomeres ที่หดสั้นลงนี้จะเกี่ยวข้องกับโรคที่สัมพันธ์กับอายุ เช่น โรคหัวใจ หรือ โรคมะเร็ง รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากความเครียด, การสูบบุหรี่, มลพิษทางอากาศ หรือภาวะการเสื่อมอายุทางชีววิทยา ซึ่งโดยธรรมชาติโครโมโซมจะหดสั้นลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เมื่อโครโมโซมมีขนาดสั้นมากเกินไป มันจะไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งส่งสัญญาณแสดงถึงการสิ้นสุดชีวิตของเซลล์ และเมื่อเซลล์ถึงระยะนี้ ความเสี่ยงของผู้ป่วยในการเกิดโรคที่สัมพันธ์กับอายุจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
             ทีมนักวิจัยจากสถาบัน Intermountain Heart Institute at Intermountain Medical Center ได้ทำการทดสอบตัวอย่างดีเอ็นเอจากผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจวายมากกว่า 3,500 ราย พบว่า ถ้าเราปรับสถิติเกี่ยวกับอายุ ผู้ป่วยที่มี telomeres ยาวกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า แสดงให้เห็นว่าความยาวของ telomere นอกจากจะเป็นตัวชี้วัดอายุแล้ว ยังบ่งชี้ถึงโอกาสของความอยู่รอดด้วย โดยพบว่า telomere ที่มีความยาวมากกว่าจะสัมพันธ์โดยตรงกับโอกาสการมีชีวิตอยู่รอดได้ยาวนานกว่าของผู้ป่วยโรคหัวใจ


ที่มา: sciencecodex.com
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154898

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทฤษฎีกำเนิดนกสะเทือนหลังพบฟอสซิลใหม่



 
การค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิคครั้งล่าสุด นำมาซึ่งคำถามต่อทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมานานเรื่องจุดกำเนิดของสัตว์ปีกอย่าง นก
 
ดร.แกเรธ ไดค์ อาจารย์อาวุโสที่ สาขาบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลัง มหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน อังกฤษ ได้อธิบายถึงไดโนเสาร์มีขนนกปกคลุมขนาดความยาว 30 เซนติเมตร ซึ่งเชื่อกันว่า ไดโนเสาร์ที่คล้ายนกน่าจะวิวัฒนาการมา
 
หลายปีที่ผ่านมา นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อกันว่า นกวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์กลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า Theropods ตั้งแต่ยุคครีเทเชียสยุคต้นของโลก หรือเมื่อ 120-130 ล้านปีก่อน
 
แต่การค้นพบไดโนเสาร์มีขนนกคลุมในช่วงยุคจูราสสิคยุคกลางถึงปลายนั้น ทำให้ทฤษฎีที่เคยเชื่อกันมาถึงกับต้องสั่นสะเทือน
 
เพราะยุคจูราสสิคนั้นเป็นยุคที่มาก่อนยุคครีเทเชียสเสียอีก แต่จัดอยู่ในมหายุคมีโซโซอิกเช่นกัน
 
"ไดโนเสาร์นก"ล่าสุดที่ชื่อว่า Eosinopteryx นี้ นักวิจัยได้อธิบายละเอียดในวารสารวิชาการ Nature Communications แล้ว โดยได้กล่าวถึงรายละเอียดและหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติมด้วย
 
"การค้นพบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามต่อทฤษฎีเดิมที่เชื่อกันว่า Archaeopteryx เป็นบรรพบุรุษของนกที่นกยุคใหม่วิวัฒนาการมา" ดร.ไดค์ แห่งศูนย์สมุทรศาสตร์แห่งชาติ มหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตันเผย
 
"การค้นพบของเราบอกได้ว่า จุดกำเนิดของการบินอาจจะซับซ้อนมากกว่าที่เราคิดกันมาก็เป็นได้"
 
ฟอสซิลดังกล่าวถูกค้นพบทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ซึ่งระบุว่า ไดโนเสาร์ดังกล่าวเป็นไดโนเสาร์มีขนนกปลกคลุม แต่ไม่สามารถบินได้ เพราะว่าปีกที่แคบและมีโครงสร้างกระดูกที่เป็นอุปสรรคต่อการบิน
 
เท้าของไดโนเสาร์ยังเหมาะกับการเดินบนพื้นมากกว่า และมีขนนกคลุมเล็กน้อยที่บริเวณหางและขา ซึ่งอาจจะมีไว้เพื่อให้วิ่งได้เร็วขึ้น
 
อ้างอิง: University of Southampton (2013, January 24). New dinosaur fossil challenges bird flight origins theories. ScienceDaily. Retrieved January 27, 2013, from http://www.sciencedaily.com/releases/2013/01/130124091532.htm
งานวิจัย: Pascal Godefroit, Helena Demuynck, Gareth Dyke, Dongyu Hu, François Escuillié, Philippe Claeys. Reduced plumage and flight ability of a new Jurassic paravian theropod from China. Nature Communications, 2013; 4: 1394 DOI: 10.1038/ncomms2389

อ้างอิงข้อมูลจาก http://vcharkarn.com/vnews/154815

ยืนยันดาวหางชนกับสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เกิดพร้อมกัน



 
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ยังคงเป็นปริศนาสำหรับมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้ หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะดาวหางบ้าง อุกกาบาตบ้าง ภูเขาไฟระเบิดบ้าง สภาพอาการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ยังไม่มีใครทราบคำตอบที่ถูกต้อง
 
แต่ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ที่ศูนย์ธรณีกาลวิทยาเบิร์กลี่ย์ (BGC) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลี่ย์ และมหาวิทยาลัยหลายแห่งในเนเธอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร ได้ค้นพบช่วงเวลาที่แม่นยำที่สุดเท่าที่จะเคยค้นพบมาของเหตุการณ์ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อ 66 ล้านปีก่อน ตลอดจนเหตุการณ์เลวร้ายอื่นๆที่ตามมาในครานั้น
 
นักวิจัยเผยถึง ช่วงเวลาค่อนข้างที่จะใกล้เคียงมากๆ และพวกเขาก็เชื่อว่า น่าจะเป็นดาวหางหรืออุกกาบาต ที่เป็นสาเหตุทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปมากมายเพียงนั้น แม้อาจจะไม่ใช้สาเหตุทั้งหมดแต่ก็น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆ
 
"ผลกระทบครั้งนั้นทำให้โลกต้องมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่" พอล เรนน์ ศาสตราจารย์ที่เบิร์กลี่ย์ ผู้อำนวยงาน BGC เผย "เราได้แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ต่างๆสอดคล้องกันชนิดที่แบบแม่นยำมาก และปรากฏการณ์ดาวหางชนครั้งนั้นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ แต่ก็อาจจะไม่ได้มาจากผลจากดาวหางไปซะทั้งหมด"
 
การระบุวันได้แม่นยำในครั้งนี้ทำให้ข้อสงสัยที่ว่า การชนของดาวหางเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการสูญพันธุครั้งใหญ่ เดินทางมาถึงการได้คำตอบแล้ว โดยสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่ว่า เราไม่ค่อยพบฟอสซิลของไดโนเสาร์บนบกและในน้ำเลย เพราะมันหายไปในเวลาเพียงข้ามคืน
 
ตัวเลขล่าสุดที่เชื่อกันในปัจจุบันนั้นคือ 66,038,000 ปีก่อน ซึ่งขอบเขตการคลาดเคลื่อนอยู่ภายในช่วงของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่พอดี ดร.เรนน์จึงเชื่อว่า สองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Science แล้ว
 
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ถูกโยงเข้ากับเรื่องการพุ่งชนของดาวหางเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1980 โดยหลุยส์ อัลวาเรซ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลของเบิร์กลี่ย์ เป็นผู้เสนอทฤษฎีนี้ และเชื่อว่า หลุมอุกกาบาตความกว้าง 110 ไมล์ที่ชายฝั่งประเทศเม็กซิโกน่าจะเป็นผลที่หลงเหลือจากการพุ่งชนในครั้งนั้น หลุมดังกล่าวมีชื่อว่า Chicxulub และนักวิทยาศษสตร์คาดเดาว่า น่าจะเกิดจากดาวหางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 ไมล์ผ่านบรรยากาศของโลกเข้ามาพุ่งชนโลกอย่างแรง ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนและฝุ่นอิริเดียมกระจายทั่วโลก
 
งานของ ดร.เรนน์ คือการระบุวันให้แน่นอนว่าการสูนพันธุ์ครั้งใหญ่นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันแน่ โดยงานวิจัยได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อนเมื่อเขาสังเกตว่า วันที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เชื่อในครั้งนั้นขัดแย้งกับการประมาณการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ด้วยวิธีอื่นๆ ตลอดจนวันที่เกิดการชนของอุกกาบาติด้วย และสงสัยว่า บางที การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่อาจจะไม่ได้สอดคล้องหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อยู่เกิดขอบเขตข้อผิดพลาดของการประมาณวันที่ดาวหางพุ่งชนโลกก็เป็นได้
 
ในงานวิจัย ดร.เรนน์ และทีมงานจึงได้เริ่มจากการวัดแบบละเอียดและปรับปรุงวิธีการประมาณวันที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เรียกกันว่า เทคนิคอาร์กอน-อาร์กอน นักวิจัยได้รวบรวมเถ้าถ่านภูเขาไฟจากพื้นที่ Hell Creeek ในมอนตาน่า และวิเคราะห์ด้วยวิธีอาร์กอน-อาร์กอนแบบใหม่ในการวัดประเมินว่า วันที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ น่าจะเป็นวันไหนกันแน่ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ฟอสซิลของไดโนเสาร์จากหลายๆที่มาทำการศึกษาด้วยว่า ก่อนและหลังเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่นั้น ฟอสซิลได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร
 
นักวิจัยยังได้รวบรวมเอาสะเก็ดดาวจากไฮติและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีเดียวกันเพื่อประเมินว่า การชนของอุกกาบาตนั้นเกิดขึ้นเมื่อนานเท่าไหร่มาแล้ว จนกระทั่งได้ข้อมูลของวันที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่และการชนของดาวหางว่า เกิดขึ้นไม่ห่างกัน 11,000 ปี ซึ่งก็อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง
 
"เมื่อตอนที่เราเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้ ข้อมูลความคลาดเคลื่อนอยู่ในระดับบวกหรือลบหนึ่งล้านปี" วิลเลียม เคลเมนส์ นักวิจัยเผย "นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น คุณูปการที่พอลและทีมงานได้ทำคือความถูกต้องของช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้เราสามารถรวบรวมเอาความรู้ที่เราได้จากการศึกษาฟอสซิลและข้อมูลจากการศึกษาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ให้มาเป็นข้อมูลเดียวกันได้"
 
อย่างไรก็ตาม แม้เราจะพบว่า การชนของดาวหางและการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเวลาแทบจะเดียวกัน ดร.เรนน์ก็เตือนว่า การชนของดาวหางอาจจะไม่ได้เป็นสาเหตุทั้งหมดของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เพราะเรื่องสภาพอากาศในเวลานั้นก็มีเปลี่ยนแปลงมาเป็นล้านปีแล้ว
 
"ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ระบบนิเวศของโลกนั้นอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆมาก ฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆก็อาจจะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยเข้าไปสู่ยุคใหม่ได้"
 
ทางด้าน ดาร์เรน เอฟ. มาร์ค นักวิจัยในโครงการได้เสริมว่า "การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาธรณีกาลวิทยาที่แม่นยำอย่างมาก หลายคนคิดว่าการศึกษาให้แม่นยำเป็นเพียงแค่การเติมเพิ่มจุดทศนิยมลงไปให้กับตัวเลขเท่านั้น แต่มันน่าตื่นเต้นมากกว่านั้นเยอะ มันเหมือนกับการที่เรามีกล้องที่ละเอียดขึ้น มันทำให้เราศึกษาทางธรณีวิทยาได้ในความละเอียดที่สูง และสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของประวัติศาสตร์โลกได้อย่างลงตัว"
 
อ้างอิง: University of California - Berkeley (2013, February 7). New evidence suggests comet or asteroid impact was last straw for dinosaurs. ScienceDaily. Retrieved February 10, 2013, from http://www.sciencedaily.com/releases/2013/02/130207141444.htm
งานวิจัย:
1. P. R. Renne, A. L. Deino, F. J. Hilgen, K. F. Kuiper, D. F. Mark, W. S. Mitchell, L. E. Morgan, R. Mundil, J. Smit. Time Scales of Critical Events Around the Cretaceous-Paleogene Boundary. Science, 2013; 339 (6120): 684 DOI: 10.1126/science.1230492
2. H. Palike. Impact and Extinction. Science, 2013; 339 (6120): 655 DOI: 10.1126/science.1233948


อ้างอิงจาก http://vcharkarn.com/vnews/154847

ผงชูรส ทำให้อาหารอร่อยขึ้นอย่างไร


ด้วยชีวิตในสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน  ทำให้ใครหลายคนหันมารับประทานอาหารนอกบ้านกันมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ร้านอาหาร ภัตตาคาร หรือในโรงแรม   ซึ่งการกินข้าวนอกบ้านนั้นทำให้สะดวก รวดเร็ว เลือกกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ แถมไม่ต้องมานั่งล้างจานอีก  แต่ความสบายก็ต้องแลกกับข้อเสียที่ตามมา คือ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเค้าจะเอาอะไรมาให้เรากินบ้าง
 

       เพื่อความอร่อยทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ   แน่นอนว่าหนึ่งในเครื่องปรุงนั้นก็คือ ผงชูรส นั่นเอง แทบจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำอาหารเลยทีเดียว มีนักวิชาการบางท่านได้บอกไว้ว่า ปริมาณที่เหมาะสมของการใช้ผงชูรส คือ ประมาณปลายช้อนเท่านั้น  แต่เท่าที่เคยเห็นแม่ครัวส่วนใหญ่ก็ตวัดกันเป็นช้อนๆ แน่นอนว่าหากกินเรื่อยๆ สะสมไปในระยะยาวเป็นอันตรายแน่นอน
 

 
      ผงชูรส คือ สารเคมีชนิดหนึ่ง ชื่อว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมท (MSG) รูปร่างภายนอกเป็นผงผลึกสีขาว ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น โดยโมโมโซเดียมกลูตาเมทเป็นเกลือของกรดกลูตามิก ซึ่งกรดอะมิโนชนิดนี้ก็เป็นองค์ประกอบที่อยู่ในโปรตีนทั่วไปทั้งจากพืชและสัตว์

      
จุดเริ่มต้นของ "ผงชูรส" มาจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ เกิดจากการค้นพบรสชาติที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเล เรียกว่า รสอูมามิ หรือ รสอร่อย ซึ่งค้นพบมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มมีการผลิตผงชูรสในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น แต่ในภายหลังได้เปลี่ยนทั้งวัตถุดิบและวิธีการผลิต ปัจจุบันผงชูรสผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง ผ่านกระบวนการทางเคมีหลายขั้นตอนทั้งหมักและใช้สารเคมีหลายตัว เพราะฉะนั้นกินเข้าไปมากๆ เป็นอันตรายแน่นอน  แม้ว่าส่วนประกอบหลักจะมาจากธรรมชาติก็ตาม
 
         
ผงชูรสช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นจริงหรือ?
 
            จริง ๆ แล้วผงชูรสไม่ได้ช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นเลยค่ะ  เพราะผงชูรสไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร และไม่มีรสชาติเป็นของตัวเอง เหมือนน้ำปลา น้ำตาล แต่ที่เรารู้สึกอร่อยขึ้นเพราะ คุณสมบัติของมันจะไปกระตุ้นประสาทในปากและลำคอ กระตุ้นต่อมรับรสที่ลิ้นให้ขยายตัวจึงรับรสได้ไวกว่าปกติ  เวลากินจะช่วยให้รสต่างๆ ค้างอยู่ในปากนานขึ้นกว่าเดิม เราจะรู้สึกว่ารสชาติมันกลมกล่อมขึ้นนั่นเอง
           
      การรับผงชูรสเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป ส่งผลเสียหลายอย่าง   ในระยะสั้นที่เห็นผลได้ทันทีก็คือ จะรู้สึกลิ้นชา หิวน้ำมากๆ อาการนี้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่หากเกิดแพ้หรือกินมากเกินไปจนที่ร่างกายจะรับได้ก็ยังมีอาการอื่นๆ อีก เช่น ร้อนที่หน้า แน่นหน้าอก ปวดหัว อยากอาเจียน มีผื่นขึ้น หรือไมเกรนขึ้นได้เลยทีเดียว 
 
 
 
           นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อระบบประสาทส่วนอื่นๆ ในร่างกาย  ไล่ตั้งแต่ระบบสมอง ระบบควบคุมน้ำตาล ระบบสมดุล เคยมีการทดลองในหนูเพื่อตรวจสอบอันตรายจากผงชูรส พบว่าถ้าให้ผงชูรสในปริมาณมาก คือ 1 กรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะทำลายสมองของหนู 100%   แต่ถ้าปริมาณผงชูรสลดลงเหลือ 0.5 สมองจะถูกทำลายครึ่งนึง และถ้าลดลงเหลือ 0.25 จะไม่มีผลกระทบใดๆ เกิดขึ้น  
 
 
 
           เมื่อรู้แบบนี้แล้ว  ก็คงไม่มีใครอยากรับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรสแล้วใช่มั๊ยคะ  แต่ในชีวิตประจำวันเราเลี่ยงค่อนข้างยาก   ไม่ว่าจะเป็นอาหารตามร้านต่างๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  หรือแม้แต่ขนมคบเคี้ยว   เพราะฉะนั้นทางเลี่ยงง่ายที่สุดคือ ถ้ามีโอกาสก็ลองทำกับข้าวทานเองที่บ้าน แล้วลองไม่ใส่ผงชูรสดูบ้าง  ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่มาทานอาหารที่อาจจะไม่อร่อยที่สุด แต่ปลอดภัยที่สุดกันดูค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44373

นักวิจัยค้นพบโปรตีนที่เป็นกุญแจสำคัญของการแพร่กระจายเซลล์มะเร็ง


ถ้าเซลล์มะเร็งไม่มีการแพร่กระจาย เช่นเดียวกับเนื้องอกหลายๆ ชนิด ก็จะไม่มีใครตายเพราะโรคมะเร็งอีกต่อไป

 Zhi-Ren Liu ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา แห่งมหาวิทยาลัย Georgia State University ใน Atlanta กล่าวว่าในหลายๆ กรณีก้อนเนื้อหรือมะเร็งจะไม่ไปรบกวนการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่เมื่อไหร่ที่เซลล์มะเร็งเหล่านั้นแพร่กระจายออกไป มันจะไปรบกวนระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ และนี่เองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ศาสตราจารย์ Liu และคณะนักวิจัยได้ค้นพบวิธียับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็งโดยการรบกวนการสื่อสารระหว่างโปรตีนสองชนิดที่อยู่ภายในเซลล์

โปรตีน p68 และ calcium calmodulin โปรตีนทั้งสองตัวนี้ทำหน้าที่เหมือนสวิทช์เปิดปิดกระบวนการทำงานของเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่หรือการรักษาและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญโปรตีนทั้งสองชนิดนี้คอยสนับสนุนการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

นักวิจัยได้ยับยั้งการสื่อสารระหว่างโปรตีนทั้งสองชนิดนี้โดยการสร้างเปปไทด์ที่เชื่อมกับโมเลกุลเดิมขึ้นเพื่อป้องกันการทำปฏิกริยาของโปรตีนทั้งสองชนิด

ผลที่ได้พบว่า "สามารถป้องกันหรือลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้"   โดยสามารถลดการแพร่กระจายของมะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านมระยะที่ 1 ในหนูได้มากถึง 90% อีกทั้งขนาดของมะเร็งก็ยังมีขนาดที่เล็กมากๆ และยังมีอีกหลายๆ กรณีที่พบว่าไม่มีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง

แต่งานวิจัยนี้ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น คณะนักวิจัยยังมีแผนที่จะพัฒนายาเพื่อป้องกันการจับกันของโปรตีน p68 และ calmodulin เพื่อผลิตยาที่สามารถป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.voanews.com/content/scientists-say-they-have-discovered-key-to-cancers-spread/1594748.html

ติดตามอ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ http://www.nature.com/ncomms/journal/v4/n1/full/ncomms2345.html

 
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154849

แนวคิดการเมืองเปลี่ยนสมองของคนได้



 
ทีมนักวิทยาศาสตร์การเมืองและนักประสาทวิทยา ได้แสดงให้เห็นว่า ความเป็นเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยมใช้สมองคนละส่วนกันในขณะที่ทำการตัดสินใจที่เสี่ยง และหลักการนี้น่าจะนำไปใช้เพื่อทำนายได้ว่า คนๆหนึ่งมีแนวโน้มที่จะชอบพรรคการเมืองแบบใด
 
การศึกษาครั้้งใหม่นี้เผยว่า แม้ว่ายีนและการถ่ายทอดจากพ่อแม่จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดฟังก์ชันการทำงานของสมอง แต่การจะชอบพรรครีพับลีกันหรือจะชอบเดโมแครทนั้นก็สามารถเปลี่ยนฟังก์ชันการทำงานของสมองได้เช่นกัน
 
ดร.ดาร์เรน ชเรเบอร์ นักวิจัยด้านประสาทการเมืองวิทยา มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้ทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก โดยผลงานครั้งนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ PLOS ONE แล้ว
 
ในการทดลองเบื้องต้นนั้น นักวิจัยให้อาสาสมัครเล่นเกมพนันง่ายๆเกมหนึ่งแล้ววัดกิจกรรมในสมองไปด้วย โดย ดร.ชเรเบอร์ และทีมงานมีข้อมูลว่าบุคคลๆนั้นลงทะเบียนว่าชื่นชอบพรรคใดเป็นพิเศษด้วย
 
ในการทดลองครั้งใหม่ มีผู้เข้าร่วมทดลอง 82 คน ให้มาเล่นเกมพนันเกมหนึ่ง และผลจากการทดลองครั้งนี้ นักวิจัยได้ทราบว่า ฝ่ายรีพับลีกันและเดโมแครทมีกิจกรรมทางสมองที่แตกต่างกันเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความเสี่ยง
 
โดยฝ่ายเดโมแครทจะมีกิจกรรมของสมองในส่วนอินซูล่า (ส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมและการรับรู้ตนเอง) ที่มากกว่า ขณะที่ฝ่ายรีพับลีกันจะมีกิจกรรมในสมองส่วนอไมกดาล่า (ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ในแง่ลบ รวมถึงระบบที่ตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะหนี) ที่มากกว่า ทำให้ผลที่ออกมาสรุปได้ว่า การเป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมทำให้เกิดกระบวนการรับรู้ที่แตกต่างกันเมื่อต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง
 
นอกจากนี้ กิจกรรมของสมองในช่วงทั้งสองส่วนนี้ยังสามารถใช้เพื่อทำนายได้ว่า บุคคลนี้จะเป็นรีพับลีกันหรือเดโมแครทด้วยความแม่นยำถึง 82.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับแบบจำลองทางการเมืองดั้งเดิมที่ทำนายเอาความชอบของพ่อกับของแม่มาทำนายความชอบทางการเมืองของลูกที่เชื่อกันมาอย่างยาวนานแล้ว แบบจำลองดังกล่าวมีความถูกต้องเพียง 69.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และแบบจำลองอีกแบบที่ทำนายโดยอาศัยโครงสร้างของสมองก็สามารถทำนายความเป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมได้เพียงแค่ 71.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น แบบจำลองนี้ยังสามารถเอาชนะแบบจำลองที่ทำนายแนวคิดทางการเมืองด้วยยีนอีกด้วย
 
ดร.ชเรเบอร์เผยว่า "แม้ว่ายีนจะทำให้เกิดความแตกต่างทางแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ความชื่นชอบทางการเมืองที่อธิบายด้วยกิจกรรมของสมองส่วนอไมกดาล่าและอินซูล่ากลับมีความแม่นยำมากกว่า ซึ่งสามารถบอกได้ว่า ความชื่นชอบทางการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นอาจจะเปลี่ยนสมองได้ ไม่ใช่แค่จะมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมอย่างเดียว"
 
ผลการทดลองครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจได้มากขึ้นว่า คนที่เป็นเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยมจะคิดแตกต่างกันอย่างไร
 
"การที่เราสามารถทำนายความชื่นชอบพรรคการเมืองได้จากการดูกิจกรรมในสมองขณะที่กำลังเล่นเกมพนันนั้น อาจจะกำลังบอกเราว่า นี่อาจจะเป็นเครื่องมือในการศึกษาการเมืองที่ทรงพลังมากกว่าวิธีที่เคยทำกันมาก็ได้นะ"
 
อ้างอิง: University of Exeter (2013, February 13). Red brain, blue brain: Republicans and Democrats process risk differently, research finds. ScienceDaily. Retrieved February 17, 2013, from http://www.sciencedaily.com/releases/2013/02/130213173131.htm
งานวิจัย: Darren Schreiber, Greg Fonzo, Alan N. Simmons, Christopher T. Dawes, Taru Flagan, James H. Fowler, Martin P. Paulus. Red Brain, Blue Brain: Evaluative Processes Differ in Democrats and Republicans. PLoS ONE, 2013; 8 (2): e52970 DOI: 10.1371/journal.pone.0052970

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154854

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รู้ไหม...โบท็อกซ์ มาจากไส้กรอก


ขอเล่าถึงยาตัวหนึ่งที่นำมาใช้มากมายหลายอย่าง โดยจะเริ่มตั้งแต่ประวัติการค้นพบยาตัวนี้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า ในวงการแพทย์นั้นบางครั้งกว่าจะได้ยาตัวใหม่ ๆ มา ต้องอาศัยความรู้และความช่างสังเกตของแพทย์และนักวิจัยต่อเนื่องกันมายาวนานทีเดียว และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ "โบท็อกซ์" แต่ชื่อที่แท้จริงคือ"สารพิษโบทูลินัม"
การค้นพบยา "สารพิษโบทูลินัม"
             เชื่อไหมว่า สารพิษโบทูลินัมนี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก "ไส้กรอก" และแรกเริ่มนั้นไส้กรอกก็เกิดจากความมัธยัสถ์ โดยพ่อค้าเนื้อสัตว์จะเก็บเศษเนื้อ เครื่องใน เลือด และไขมัน ซึ่งเป็นส่วนที่ขายไม่ได้แต่ยังกินได้ มาในวัตถุสำหรับหุ้มห่อ ซึ่งแต่เดิมมักเป็นไส้วัว ไส้ควาย ปัจจุบันมีไส้กรอกหลายอย่าง และเกิดจากการปรุงแต่งเนื้อสัตว์ นำมาบดรวมกับเกลือ สมุนไพร เครื่องเทศ หรือส่วนผสมอื่น ๆ แล้วบรรจุเข้าไปในไส้ของสัตว์ หรือวัสดุสังเคราะห์ และเก็บรักษาไว้ด้วยกรรมวิธีที่ไม่ทำให้เน่า

             ชนชาติแรกที่ทำไส้กรอกกินเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาลคือชาวสุเมเรียน ในยุคอาณาจักรโรมันและกรีก มีการเฉลิมฉลองด้วยการกินไส้กรอก โดยเฉพาะในเทศกาลลูเพอร์คาเลีย (Lupercalia) ของชาวโรมันในยุคที่จักรพรรดินีโรครองราชย์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งความรักในวันที่ 14 ถึง 15 กุมภาพันธ์ โดยก่อนมีเทศกาล 1 วันจะมีการจับฉลากของหนุ่มสาว ใครได้ชื่อใครจะได้คนคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมเที่ยวตลอดช่วงเทศกาล จึงเป็นที่มาของการพบปะของหนุ่มสาวและเกิดความรัก

             ต่อมามีการเปลี่ยนเทศกาลนอกรีตนี้ให้มาอยู่ในคริสต์ศาสนา ชื่อจึงถูกเปลี่ยนเป็นวันวาเลนไทน์ และจัดในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ (แสดงว่าที่ให้ดอกกุหลาบแดง ให้ช็อกโกแลตกันในวันแห่งความรักยุคนี้ก็ไม่ถูกต้อง น่าจะเปลี่ยนเป็นให้ไส้กรอกหรือให้กุนเชียงกันมากกว่า)
มีคำสั่งห้ามกินไส้กรอก
             ค.ศ.325 จักรพรรดิคอนสแตนตินซึ่งเป็นจักรพรรดิโรมันที่เป็นคริสเตียนองค์แรกได้ห้ามจัดเทศกาลลูเพอร์คาเลีย และห้ามกินไส้กรอก... ต่อมาในยุคราว 1,200 ปีที่ผ่านมา จักรพรรดิลีโอที่ 5 แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์มีราชโองการว่า "ผู้ใดที่ทำไส้กรอกจักต้องถูกโบยจนเนื้อแตก กร้อนผมให้โล้นเลี่ยน และเนรเทศออกไปเสียจากอาณาจักรแห่งนี้ตลอดกาล

             "ท้ายที่สุดพระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ต่อมาจักรพรรดิลิโอที่ 6 มีคำสั่งว่าการทำไส้กรอกเลือดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่การสั่งห้ามครั้งนี้มีเหตุมีผลที่ฟังขึ้น เพราะทรงระบุว่า "การกินไส้กรอกที่มีเลือดเป็นส่วนผสมทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้"

             ออตโท ฟอน บิสมาร์ก (Otto von Bismatrck) ซึ่งเป็นผู้รวมเยอรมนีกับรัสเซียเข้าด้วยกัน และสถาปนาจักรวรรดิเยอรมนีขึ้น เป็นบุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 บิสมาร์ก เคยกล่าวว่า "อย่าไปรู้เบื้องหลังของการทำไส้กรอกและการออกกฎหมายเลย มันก็สกปรกเละเทะพอกันนั่นแหละ"

จุดกำเนิดของยา "สารพิษโบทูลินัม"
             สมัยสงครามนโปเลียนมีผู้คนพากันล้มตายจากอาหารเป็นพิษ และมักเป็นหลังกินไส้กรอก จึงเรียกกันว่า "โรคพิษจากไส้กรอก"  ผู้ที่ให้ความสนใจศึกษาเรื่องนี้คือแพทย์ชาวยอรมนี ชื่อ คุณหมอจัสทินัส เคอร์เนอร์ (Justirus Kerner) ท่านเป็นคนแรกที่สงสัยว่าพิษจากไส้กรอกนั้นน่าจะมาจากการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งได้ทดลองให้ลองกินไส้กรอกแก่สัตว์หลายชนิด และตัวท่านก็ลองกินไส้กรอกด้วยตนเอง

             การทดลองในตัวเองนั้นในยุคก่อนพอเป็นที่ยอมรับกันได้ แต่ในปัจจุบันมักถือว่าผิดจริยธรรมทางการแพทย์ ต่อมาใน ค.ศ.1815 จัสทินัส เคอร์เนอร์ จึงรายงานว่าไส้กรอกอาจก่อพิษจนเป็นอัมพาตได้

             โรคพิษจากไส้กรอกนี้มีชื่อทางการแพทย์ว่า botulism มาจากภาษาละตินว่า botulus ที่แปลว่า ไส้กรอก

             ค.ศ.1822 คุณหมอเคอร์เนอร์ได้ตีพิมพ์งานวิจัยหลายฉบับนำเสนอว่า พิษที่สกัดจากไส้กรอกทำให้เกิดอาการอ่อนแรงและเหงื่อไม่ออก และได้เสนอว่า สารพิษตัวนี้ในปริมาณเล็กน้อยอาจใช้รักษาความผิดปกติต่าง ๆ ของระบบประสาทได้ นับว่าเป็นพยากรณ์ที่แม่นยำมาก เพราะทำนายล่วงหน้าเกือบ 200 ปี ปัจจุบันมีการนำสารพิษนี้มาใช้ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงรักษาตาเหล่ ตาเข ต่อมาจึงนำใช้กับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าจะลดลง และยังนำมาฉีดรักแร้ ฝ่ามือฝ่าเท้าในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก

             นพ.จัสทินัส เคอร์เนอร์ จึงสมควรรับชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง "สารพิษโบทูลินัม" ที่รู้จักกันดีในยุคนี้ เพราะเยอรมนีขึ้นชื่อเรื่องไส้กรอก และสารพิษตัวนี้ก็พบในอาหารไทยเหมือนกัน นั่นคือหน่อไม้บรรจุปี๊บ

             เล่ามาค่อนข้างยาว เพราะอยากให้รู้ภาพรวมของยาบางตัวนั้นเป็นผลขององค์ความรู้และงานวิจัยที่สะสมต่อเนื่องมานานนับ 200 ปี

ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของหมอชาวบ้านกับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม
โดย นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
www.doctor.or.th

อ้างอิงข้้อมูลจาก  http://www.vcharkarn.com/varticle/44377



วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โทรศัพท์มือถือ"งอได้" เรื่องจริงอิงวิทยาศาสตร์ พบกันปี 2013


จะเป็นอย่างไร หากโทรศัพท์ของคุณ สามารถม้วนได้ ทำตกได้ หรือเผลอเหยียบได้ โดยไม่เกิดความเสียหายแม้แต่นิดเดียว ขณะที่นักวิจัยกำลังคิดค้นโทรศัพท์ต้นแบบ ท่ามกลางข่าวลือว่ามันอาจเผยโฉมให้เราได้เห็นภายในปีหน้านี้
ได้เกิดข่าวลือหนาหูว่าค่ายโทรศัพท์ต่างๆ กำลังซุ่มพัฒนา"โทรศัพท์งอได้"กันอย่างขะมักเขม่น ทั้งแอลจี ฟิลิปส์ ชาร์ป โซนี่ และโนเกีย ขณะที่มีรายงานแย้มออกมาว่า "ซัมซุง" ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่งของโลก อาจเป็นรายแรกที่เปิดตัวโทรศัพท์ชนิดนี้
ซัมซุงได้เริ่มพัฒนาสมาร์ทโฟน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า flexible OLED (Organic Light Emitting Diode) และมั่นใจว่ามันจะเป็นโทรศัพท์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลก
โฆษกซัมซุงเผยว่า หน้าจอของโทรศัพท์รุ่นนี้ สามารถงอได้ ม้วนได้ และที่สำคัญ "ใช้ได้จริง" รวมถึงยังรับประกันความทนทานของวัสดุที่นำมาผลิต ซึ่งเป็นพลาสติกที่มีความบางกว่า เบากว่า และยืดหยุ่นกว่าเทคโนโลยีแอลซีดีที่ใช้ในปัจจุบัน 
คอนเซ็ปต์การสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความยืดหยุ่น มีการริเริ่มตั้งแต่ในช่วงยุค 1960 เมื่อมีการสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขึ้น เมื่อปี 2005 ฟิลิปส์ได้สาธิตการทำงานของหน้าจอต้นแบบที่สามารถม้วนได้ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งโดดเด่นมากนัก กระทั่งปัจจุบันที่เทคโนโลยีดังกล่าวเริ่มกลับมาสู่กระแสอีกครั้ง
อุปกรณ์คินเดิลของอเมซอนรุ่นแรก ใช้หน้าจอที่ยืดหยุ่นได้ แต่ปัญหาเดียวของมันก็คืออุปกรณ์ต่างๆที่อยู่เบื้องหลังหน้าจอ จำเป็นต้องมีกลไกชิ้นส่วนสำหรับช่วยยึด และเช่นเดียวกับอุปกรณ์อี-รีดเดอร์อื่นๆที่ผลิตตามมา ซึ่งใช้นวัตกรรม "E Ink" (electrophoretic ink) ที่พัฒนาโดยบริษัท E Ink จากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีหน้าจอขาว-ดำ และทำงานโดยการสะท้อนแสงธรรมชาติ แทนที่จะผลิตด้วยตนเอง ทำให้เกิดภาพคล้ายกับการอ่านหนังสือในกระดาษจริง
Sri Peruvemba ผู้บริหาร E Ink เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีเช่นนี้ราว 30 ล้านเครื่อง  เครื่องที่เก่าที่สุดที่ยังใช้การได้ผลิตตั้งแต่ปี 2006 เขากล่าวว่า E Ink เหมาะกับโทรศัพท์ธรรมดา, นาฬิกาข้อมือ, สมาร์ทเครดิต การ์ด, ป้ายสัญลักษณ์ และอื่นๆ
ส่วนสาเหตุที่มันยังไม่ถูกนำมาพัฒนามาใช้ในโทรศัพท์มือถือแบบยืดหยุ่นก็เพราะมันมีต้นทุนค่อนข้างสูง เนื่องจากการผลิตอุปกรณ์ที่มีความยืดหยุ่นอย่างสมบูณณ์นั้น ทั้งส่วนระนาบฟรอนทัลและแบคฟรอนทัลจะต้องมีความยืดหยุ่นเสมอกัน เช่นเดียวกับแบตเตอรี ฝาเครื่อง รวมถึงหน้าจอสัมผัส และอุปกรณ์อื่นๆ
ด้านบริษัทแอลจี ดิสเพลย์จากเกาหลีใต้ ได้เริ่มผลิตอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีหน้าจอยืดหยุ่นได้แบบ E Ink บ้างแล้ว โดยโฆษกแอลจีเผยว่า เทคโนโลยีแบบนี้จะทำให้โทรศัพท์มีความทนทานเป็นพิเศษ เนื่องจากอุบัติเหตุจากการทำโทรศัพท์ตกเป็นเรื่องที่เกิดได้เสมอ รูปร่างที่บางและน้ำหนักที่เบาของมันจะก่อให้เกิดการพัฒนาการออกแบบโทรศัพท์ในอนาคต
ด้าน ศ.แอนเดรีย เฟอร์รารี จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ กำลังพัฒนาหน้าจอยืดหยุ่นได้สำหรับอนาคต โดยใช้กราฟีน ซึ่งมีการผลิตเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2004 โดยอังเดร เกอิม และคอนสแตนติน โนโวเซลอฟ สองนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์
ในแวดวงวิทยาศาสตร์ขนานนามกราฟีน ว่าเป็น "วัสดุมหัศจรรย์" หรืออัญรูป(allotrope) ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของคาร์บอนเช่นเดียวกันกับเพชรและกราไฟต์ แต่ กราฟีนนั้นจะประกอบขึ้นด้วยอะตอมของคาร์บอนที่เกาะกันเป็นรูปหกเหลี่ยม ซึ่ง กาะอยู่บนระนาบเดียวกันไปเรื่อยๆ จนมีลักษณะเป็นแผ่นที่มีความกว้างและความ ยาวคล้ายกับแผงลวดตาข่ายที่ใช้ทำกรงสัตว์ ซึ่งถึงแม้ว่ากราฟีนจะมีความแกร่งกว่าเพชรก็ตาม แต่มันก็สามรถม้วนหรือพับได้ด้วย นักวิจัยเชื่อว่า ในอนาคตกราฟีนอาจนำมาใช้ทดแทนซิลิโคนได้ ที่อาจปฏิวัติวงการอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่ในอนาคต

ศ.เฟอร์รารี เปิดเผยว่า เขาและคณะกำลังร่วมกันพัฒนาวัสดุทำหรับผลิตเป็นหน้าจอที่มีความโปร่งแสงและยืดยุ่นได้ ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นโทรศัพท์ แทบเล็ต โทรทัศน์ และแผงโซลาร์เซลที่มีความยืดหยุ่นได้  โดยปัจจุบันเขาทำงานร่วมกับโนเกีย อดีตเบอร์หนึ่งผู้ผลิตมือถือของโลกเพื่อผลิตวัสดุต้นแบบ  และเสริมว่า ซัมซุงมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีด้านนี้มาก เขากล่าวว่า กราฟีนจะช่วยเสริมและสนับสนุนให้การทำงานของโทรศัพท์ยืดหยุ่นที่ใช้เทคโนโลยี OLED มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากในทางทฤษฎีแล้ว แม้แต่แบคเคอรีของโทรศัพท์รุ่นนี้ก็สามารถผลิตจากกราฟีนได้เช่นกัน


มติชน
260544

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154715

พบปฏิกิริยาสำคัญที่อาจไขปริศนาดวงดาว


มาร์ค ฮอฟฟ์แมนน์ นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนอร์ธ ดาโกต้า สหรัฐอเมริกา และทีมงาน ได้ค้นพบอันตรกิริยาสำคัญที่เกิดขึ้นนอกโลก ที่อาจช่วยไขปริศนาอีกหลายข้อในเอกภพ
ฮอฟฟ์แมนน์ นักเคมีเชิงคำนวณ และ ทรีฟ เฮลเกเคอร์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวนอร์เวย์ พร้อมด้วย อี.ไอ.เทรลเกรน และ เค.ลันจ์ จากนอร์เวย์ ได้ค้นพบอันตรกิริยาระดับโมเลกุลที่วงการวิทยาศาสตร์เคยไม่เข้าใจมาเป็นเวลาหลายสิบปี และยังไม่ได้รับการไขปริศนามาก่อน
การค้นพบครั้งนี้อาจเปลี่ยนโฉมหน้าวงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการก่อตัวของสารประกอบไปเลยก็เป็นได้ และยังช่วยตอบคำถามที่ว่า สถานที่อย่างดาวแคระขาว (แก่นของดาวที่หนาแน่นเป็นพิเศษ ที่เป็นช่วงท้ายๆของชั่วชีวิตดาวฤกษ์ส่วนใหญ่) เป็นเช่นไร
"เราได้ค้นพบการเกิดพันธะเคมีแบบใหม่" ฮอฟฟ์แมนน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังเรื่องทฤษฎีและโมเดลคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการก่อตัวของสารประกอบเคมี กล่าว
"นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว แต่ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นนะ มันเป็นพันธะเคมีรูปแบบใหม่ ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์ยังไม่เคยพบมาก่อน"
ฮอฟฟ์แมนน์และทีมงานได้เขียนกฎทางเคมีใหม่เพื่อการอธิบายว่า ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นเป็นเช่นไร ซึ่งก็ช่วยตอบคำถามหลายข้อที่นักวิทยาศาสตร์เคยสงสัยกันมาเป็นอย่างดี เป็นต้นว่า ดวงดาวเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีวิวัฒนาการอย่างไร และดับไปอย่างไร
งานของทีมวิจัยนี้ยังบอกได้ด้วยว่า สารประกอบบางอย่างในห้วงอวกาศอันห่างไกลนั้นก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร การค้นพบนี้จึงได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Science แล้ว
"การค้นพบของเราช่วยไขปริศนาทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์เกี่ยวกับสเปกตรัมของดาวแคระขาว" ฮอฟฟ์แมนน์อธิบายผลงาน
"ดาวแคระขาวมีสเปกตรัมที่เราคิดว่าน่าจะเกิดจากไฮโดรเจนและฮีเลียมที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นสารโพลิเมอร์ ซึ่งแน่นอนว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกของเราด้วย"
"มันเป็นไปได้บนดาวแคระขาวเพราะว่า สนามแม่เหล็กบนดาวแคระขาวนั้นใหญ่กว่าที่เกิดขึ้นบนโลกหลายเท่าตัว"
ดาวแคระขาวที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือ ดาวซีรีอุส บี ซึ่งเป็นดาวฝาแฝดคู่กับดาวที่สว่างสุดบนท้องฟ้าของเรา คือ ดาวซีรีอุส เอ นั่นเอง ขนาดของดาวซีรีอุส บีนั้นพอๆกับดวงอาทิตย์ของเรา แต่มีความหนาแน่นสูงกว่ามาก โดยเฉลี่ยแล้วจะหนาแน่นถึง 1.7 ตันต่อลูกบาศก์เซนติเมตร หรือเทียบเท่ากับน้ำหนัก 3,000 ปอนด์อัดแน่นเข้าไปในกล่องขนาดเท่ากับก้อนกาแฟหนึ่งก้อน
ฮอฟฟ์แมนน์และทีมงานอธิบายว่า กระบวนการสร้างพันธะเคมีลักษณะนี้เกิดขึ้นเพราะสนามแม่เหล็กเข้มข้นเหนี่ยวนำ
"มีการคาดการณ์กันว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้น แต่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้มาก่อน จนกระทั่งทีมเราได้อธิบายกระบวนการเกิดได้ ซึ่งก็เป็นโครงสร้างเชิงทฤษฎีและยังมีวิธีการคำนวณที่บอกที่มาที่ไปได้"
บนโลกนั้น แม้แต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์การทหารก็สามารถสร้างสนามแม่เหล็กได้เพียง 1,000 เทสลา (ตู้เย็นหนึ่งตู้สร้างสนามแม่เหล็กได้ 1 ใน 1,000 ของหน่วยเทสลาเท่านั้น) แต่ดาวซีรีอุส บี นั้นมีสนามแม่เหล็กที่สูงถึง 200,000 - 400,000 เทสลาเลยทีเดียว ซึ่งมากพอที่จะทำให้อันตรกิริยาทางอิเล็กตรอนเปลี่ยนไปได้ โดยอันตรกิริยานี้เป็นพระเอกในวงการเคมีและวัสดุศาสตร์บนโลกอยู่แล้ว
นอกจากนี้ สนามแม่เหล็กที่หนาแน่นระดับนั้นจะเปลี่ยนวิธีการรวมตัวของอะตอม และสามารถเปลี่ยนวงการเคมีที่เราเคยรู้กันมาที่โลกไปได้ด้วย
"เราพบว่า ก่อนที่เราค้นพบเรื่องนี้นั้น ทุกอย่างเป็นเพียงทฤษฎีที่เขียนไว้บนกระดาษเท่านั้นว่า เอกภพน่าจะเป็นอย่างนี้ๆ แต่งานของเรา เช่นที่ดาวแคระขาว เราก็จำลองสนามแม่เหล็กขึ้นมาได้"
แล้วนักวิทยาศาสตร์รู้ได้อย่างไรว่ามันถูกต้อง?
"เราสร้างแบบจำลองเชิงคำนวณที่อธิบายทฤษฎีที่เราตั้งขึ้นมาได้ โดยยึดตามหลักการฟิสิกส์ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทุกที่ในเอกภพ" ฮอฟฟ์แมนน์ตอบ
และโมเดลทางคอมพิวเตอร์นี้ก็พร้อมเปิดให้นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ใช้เพื่อทดสอบแบบจำลองการสังเกตการณ์ท้องฟ้าได้แล้ว

อ้างอิง: University of North Dakota (2012, December 7). New chemical reaction could explain how stars form, evolve, and eventually die. ScienceDaily. Retrieved December 9, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/12/121207174415.htm
งานวิจัย: K. K. Lange, E. I. Tellgren, M. R. Hoffmann, T. Helgaker. A Paramagnetic Bonding Mechanism for Diatomics in Strong Magnetic Fields. Science, 2012; 337 (6092): 327 DOI: 10.1126/science.1219703

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154719

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พืชโตอย่างไรเมื่อไร้แรงโน้มถ่วง?


รากพืชบนโลกที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่า ตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงนั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์ลองนำพืชไปปลูกบนสถานีอวกาศ กลับพบว่า แนวคิดนี้ ผิดเสียแล้ว!
เป็นที่ทราบกันดีว่า พืชเติบโตโดยขึ้นกับปัจจัยกระตุ้นหลายๆอย่าง และแรงโน้มถ่วงก็เป็นหนึ่งในนั้น
รากพืชบนโลกนั้นมีพฤติกรรมที่เรียกว่า "การเลื้อย" และ "การชอนไช" ที่คาดว่าน่าจะเป็นพฤติกรรมที่ขึ้นกับแรงโน้มถ่วง
แต่อย่างไรก็ตาม จากการทดลองปลูกพืชตระกูล Arabidopsis บนสถานีอวกาศนานาชาติกลับพบว่า ทฤษฎีนี้ผิด โดยการค้นพบนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ BMC Plant Biology แล้ว โดยได้อธิบายว่า "การเลื้อย" และ "การชอนไช" ที่เกิดขึ้นบนสถานีอวกาศนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงแต่อย่างใด
ในรากพืชนั้น การเลื้อยเป็นชุดของการเปลี่ยนแปลงทิศทางการงอกของรากในลักษณะที่กระเพื่อมอย่างสม่ำเสมอในช่วงที่รากกำลังเติบโต โดยนักวิทยาศาสตร์คิดว่า น่าจะเกิดขึ้นเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวางในขณะหาอาหาร และขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงด้วย ส่วนการชอนไชนั้น เป็นการเติบโตของรากแบบบิดตัวเพื่อให้โตในทางดิ่งได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเป็นการตอบสนองของรากต่อทิศทางของแรงโน้มถ่วง และเป็นกลไกเดียวกันที่ก่อให้เกิดการเลื้อยตามมาด้วย จะเห็นได้ว่า นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่า แรงโน้มถ่วงเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการนี้ ทั้งๆที่ยังไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการเติบโตของพืชในลักษณะนี้เท่าไหร่นัก
เพื่อทดสอบการเติบโตของรากพืชเมื่อไม่มีแรงโน้มถ่วงนั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟอร์ลิดา สหรัฐอเมริกา ได้ทดลองปลูกพืชสองชนิดในตระกูล  Arabidopsis thaliana คือ Wassilewskija (WS) and Columbia (Col-0) บนสถานีอวกาศนานาชาติ
พืชดังกล่าวเติบโตในหน่วยปลูกพืชที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการเจริญของพืชดีอยู่แล้ว และยังได้ติดตั้งระบบกล้องที่จะจับภาพของพืชทุก 6 ชั่วโมง และส่งสัญญาณภาพในเวลาจริงจากสถานีอวกาศนานาชาติมายังศูนย์ควบคุมภาคพื้นดินที่ศูนย์อวกาศเคนเนดี เพื่อทำการวิเคราะห์ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการศึกษาการตอบสนองต่อแสงในทางลบของรากพืชไว้ด้วย แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจคือทิศทางการเติบโตของรากพืช
นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อไม่มีแรงโน้มถ่วง แต่มีแสง รากอวกาศยังคงตอบสนองต่อแสงในทางลบ (พยายามจะไม่โผล่มาพบแสง) และเติบโตในทิศทางที่ตรงข้ามกับทิศทางที่ยิงแสงไป เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นบนโลก แต่การเติบโตที่ซับซ้อนคือการเลื้อยและการชอนไชนั้นก็ยังเกิดขึ้นเช่นเดียวกับบนโลก โดยในขณะที่ยานโคจรรอบโลกอยู่นั้น ต้นไม้แต่ละต้นก็ยังมีลักษณะการชอนไชที่เหมือนกับบนโลกเลย
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อทีมวิจัยได้ศึกษาองศาของการเลื้อยที่เกิดขึ้นบนอวกาศ กลับพบว่าไม่ตรงกับที่เกิดขึ้นบนโลก โดยในอวกาศนั้น การเลื้อยจะบอบบางกว่า ซึ่งก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า การเลื้อยและการชอนไชนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่แยกจากกันอีกด้วย และที่สำคัญคือ แรงโน้มถ่วงไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเลื้อยและการชอนไชเลย
แอนนา-ลิซ่า พอล และโรเบิร์ต เฟิร์ล นักวิทยาศาสตร์ในการทดลองครั้งนี้ให้ความเห็นว่า "แม้ว่าพืชจะตอบสนองต่อสิ่งเร้า คือ แรงโน้มถ่วง ได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า แรงโน่มถ่วงไม่ได้จำเป็นเลยกับการเจริญของราก ดูเหมือนว่าจะเป็นปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆมากกว่าที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรมว่าด้วยการงอกจากเมล็ด และเพิ่มโอกาสในการหาน้ำและสารอาหารที่เพียงพอต่อการอยู่รอดของมัน"

อ้างอิง: BioMed Central Limited (2012, December 7). What happens to plant growth when you remove gravity?. ScienceDaily. Retrieved December 9, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/12/121206203148.htm
งานวิจัย: Anna-Lisa Paul, Claire E. Amalfitano and Robert J. Ferl. Plant growth strategies are remodelled by spaceflight. BMC Plant Biology, (in press) 2012

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154720

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เทคโนโลยีใหม่สร้างไอน้ำ โดยไม่ต้องต้มน้ำ


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพียงแค่มีน้ำเปล่า อนุภาคนาโน และแสงอาทิตย์ก็สามารถสร้างไอน้ำได้

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยไรซ์ ในรัฐเท็กซัส มีเทคโนโลยีเจ๋งๆ เกี่ยวกับอนุภาคนาโนมาสาธิตกลไกการทำให้ได้ไอน้ำร้อนในชั่ววินาที โดยใช้แสงอาทิตย์กับน้ำผสมอนุภาคนาโน

งานวิจัยนี้ไม่ได้เป็นการลดจุดเดือดของน้ำ แต่เป็นการใช้แสงอาทิตย์ทำให้เกิดไอน้ำ โดยเทคโนโลยีนี้อาศัยการทำงานของอนุภาคขนาดเล็กในระดับนาโนเมตรของคาร์บอน และซิลิกอนไดออกไซด์ที่เคลือบด้วยอนุภาคทอง ที่มีขนาด 1 ใน 10 ของเส้นผมมนุษย์ ใส่ลงไปในน้ำเปล่า

อนุภาคนาโนที่ขนาดเล็ก เล็กกว่าความยาวคลื่นของแสงนี้เอง ทำให้อนุภาคสามารถดูดกลืนพลังงานจากแสงแทนที่จะกระเจิงแสง (scatter) ดังนั้น เมื่อนำแก้วน้ำที่ใส่อนุภาคนาโนลงไป แล้วใช้เลนส์รวมแสงอาทิตย์ส่องผ่านแก้ว อนุภาคจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ร้อนเพียงพอที่จะทำให้น้ำที่อยู่ล้อมรอบอนุภาคกลายเป็นไอ


จากนั้นไอน้ำก็เริ่มเกิดเป็นฟองอากาศล้อมรอบอนุภาคนาโนไว้ ฟองอากาศนี้จะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันน้ำเย็น ทำให้อนุภาคนาโนร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นไอ เมื่อถึงจุดหนึ่งฟองอากาศที่ล้อมรอบอนุภาคนาโนจะมีขนาดใหญ่มากพอและลอยตัวขึ้นสู่ผิวหน้าของน้ำ เมื่อไอความร้อนถูกปล่อยไปในอากาศอนุภาคนาโนก็จะตกลงสู่ก้นภาชนะ และเริ่มดูดกลืนพลังงานแสงอาทิตย์จนร้อนอีกครั้ง เป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยๆ

ความที่อนุภาคนาโนมีขนาดเล็กมากและมีจำนวนมาก ดังนั้นด้วยวิธีการนี้ถ้าต้องการจำลองการเดือดของของเหลวใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องนำไปต้มด้วยวิธีเดิมๆ อีกต่อไป  ถือว่าเป็นการบริหารจัดการกระบวนการต้มในระดับจุลภาค อีกทั้งอนุภาคนาโนที่ใช้ก็ไม่มีสูญสลายจึงไม่ต้องเติมหรือเปลี่ยนบ่อยๆ อีกด้วย

เทคโนโลยีนี้ไม่ได้แปลกประหลาดหรือบ้าแต่อย่างใด แต่กลับเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจในการนำไปผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในอนาคต เนื่องจากการใช้อนุภาคนาโนและแสงอาทิตย์สามารถสร้างแรงดันไอน้ำได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานเชื้อเพลิงในการต้มน้ำให้เดือดเพื่อให้กลายเป็นไอ ดังนั้นเทคโนโลยีนึ้จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดต้นการผลิตกระแสไฟฟ้า ลดการใช้พลังงาน อีกทั้งอนุภาคนาโนที่นำมาใช้นี้ สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ไม่มีวันหมด จึงสามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ ในอนาคตถ้ามีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในจริง คงจะถือเป็นการปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมในระดับโลกเป็นแน่

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154696

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เปลือกกล้วย!เรื่องธรรมดาที่เข้าสู่อุตสาหกรรมตรวจจับสารพิษ


แม้กล้วยจะข้อด้อยคือมีน้ำน้อย แต่นักวิจัยที่บราซิลก็พบข้อดีของมันเพิ่มอีกอย่างหนึ่งแล้ว นั่นคือการทำให้สามารถตรวจจับโลหะอย่างตะกั่วและทองแดงได้ง่ายขึ้น แม้จะมีปริมาณน้อยก็ตาม นับเป็นเทคโนโลยีราคาถูกและสะอาดที่จะเกิดขึ้นในวงการอุตสาหกรรมในอนาคต

(stock.xchng: Karen Andrews)

การศึกษาครั้งใหม่ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Industrial & Engineering Chemistry Research ระบุว่า เปลือกกล้วยสับสามารถที่จะดึงและกักเก็บตะกั่วและทองแดงที่อยู่ในแม่น้ำในปริมาณมากได้ นับว่าทำให้สามารถตรวจจับโลหะเป็นพิษได้ง่ายขึ้น 20 เท่า จากอุปกรณ์ง่ายๆนี้

การค้นพบครั้งนี้นำไปสู่ความหวังใหม่ของมนุษย์โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มีคุณภาพของน้ำต่ำ แต่ขาดแคลนเทคโนโลยีใหม่ๆในการตรวจจับสารพิษตามแหล่งน้ำ แต่ความหวังใหม่ที่ว่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าให้รีบปลอกกล้วยแล้วรุมโยนสู่แหล่งน้ำที่สกปรกเพื่อให้น้ำกลับมาใสสะอาดแต่อย่างใด แต่เทคนิคนี้หมายถึงว่า ซักวันหนึ่งอาจจะมีการนำเรื่องนี้ไปพัฒนาต่อไปโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ได้เทคโนโลยีตรวจจับสารพิษที่ราคาถูกและไม่เป็นพิษเองต่อไป

"สิ่งที่น่าแปลกใจเกิดขึ้นตอนที่ผมค้นพบความจุสสารของมัน สูงกว่าวัสดุอื่นๆที่คล้ายกันแต่สร้างมาจากปฏิกิริยาเคมีอย่างซิลิกาดัดแปลงอลูมิน่า และเซลลูโลส" กุสตาโว่ คาสโตร นักเคมีวิเคราะห์ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่โบตูคาตู ประเทศบราซิลกล่าว

"วัสดุเหล่านี้เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการโดยมีเป้าหมายอย่างเดียวกันคือกำจัดเหล็กออกจากน้ำ  แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่ต้นทุนในปัจจุบันยังสูง และในช่วงที่มีการเตรียมสารก็ยังก่อให้เกิดสารพิษขึ้นเองด้วยซ้ำ"

โลหะหนักอย่างทองแดงและตะกั่วนั้นเป็นสารเจือปนที่พบมากที่สุดในวงการอุตสาหกรรมและการเกษตร โดยส่งผลเสียต่อมนุษย์ได้หลายอย่าง ตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน ไปจนถึงทำลายตับและสมอง แถมยังยากที่จะตรวจจับด้วยเมื่อมีโดสที่ต่ำ

นักวิจัยจึงได้พยายามค้นหาวิธีที่สะดวกขึ้นในการที่จะตรวจจับและนำโลหะเหล่านี้ออกจากน้ำ โดยนักวิจัยได้ลองหยิบเอาสารธรรมชาติมาใช้หลายอย่าง ตั้งแต่อ้อยมะพร้าวเปลือกแอปเปิล และอื่นๆ จนกระทั่งคาสโตรและทีมงานได้ค้นพบว่า สิ่งที่เหมาะที่สุดคือ เปลือกกล้วย ที่อุดมไปด้วยโปรตีน ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วในการดักจับโลหะ

นักวิจัยเริ่มต้นด้วยการนำน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเจือปนของทองแดงประจุบวกและตะกั่วไอออนมา 1 ฟลาสก์ จากนั้น ได้เติมเปลือกกล้วยอกแห้งลงไป จากนั้นคนให้เข้าใจ ผ่านไปไม่กี่นาที คาสโตรบอกว่า โลหะที่เจือปนในน้ำนั้นลดลงกว่าตอนก่อนทดลองอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่า เปลือกกล้วยนี้สามารถสร้างพันธะกับโลหะได้

เทคนิคนี้ยังใช้ได้ผลดีแม้ในน้ำที่ระดับ pH สูง ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อน้ำที่ไหลมาจากแหล่งอุตสาหกรรม โดยเปลือกกล้วยนั้นมีอำนาจในการดักจับมากกว่า 10 รอบของการนำกลับมาทดสอบใหม่ด้วยซ้ำ

"ถึงกระนั้น เปลือกกล้วยไม่สามารถใช้เพื่อดึงโลหะออกจากน้ำหรือทำให้สะอาดได้เลยตรงๆซะทีเดียว แต่มันจะมีความสามารถตรงที่จะทำให้โลหะและเหล็กเกาะกลุ่มกัน ทำให้ง่ายต่อการตรวจจับมากขึ้น" อาชอค แกดกิล วิศวกรสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ กล่าว

ตามระเบียบสำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกา ปริมาณตะกั่วสูงสุดในน้ำดื่มที่อนุญาตอยู่ที่ 15 ในพันล้านส่วน ระดับที่ต่ำนี้ทำให้เครื่องมือหลายประเภทเกิดข้อจำกัดเพราะไม่สามารถตรวจวัดปริมาณในระดับที่ต่ำนี้ได้ แต่ในการศึกษาครั้งใหม่นี้ เปลือกกล้วยได้เพิ่มความเข้มต้นของโลหะทั้งสองโดยใช้แฟกเตอร์เป็น 20 ทำให้ง่ายต่อการรับรู้ แม้จะใช้เครื่องมือธรรมดาๆเท่านั้น

"ใครก็ตามที่ใช้เครื่องมือที่ถือว่าไม่ไวเท่าไหร่ก็ยังพอใจกับการเพิ่มความเข้มข้นจากการเกาะกลุ่ม 20 ก้อนเข้าด้วยกัน อันเป็นสิ่งที่พวกเขาใฝ่หา" กาดกิลบอก

"นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงได้ พวกเขาจะใช้เรื่องนี้เป็นการเตรียมความเข้มต้นเริ่มต้น ดังนั้น จึงสามารถตรวจจับโลหะได้ในปริมาณมาก แม้จะใช้เครื่องมีที่มีข้อจำกัดในการตรวจจับมากก็ตาม"

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้กล้วยในการติดตามน้ำในโลกจริงนั้น กาดกิลก็ยังต้องการให้มีการทดสอบกล้วยหลายชนิด หลายสายพันธุ์มากกว่านี้ด้วย

"ผมอยากจะรู้ว่ากล้วยที่บังคลาเทศใช้ได้ผลแบบเดียวกับที่บราซิลหรือไม่ เคมีเป็นเรื่องที่พลิกไปพลิกมาได้นะ ผมก็อยากจะมั่นใจจริงๆว่าวิธีการวิเคราะห์นี้มันได้ผลจริง ก่อนที่จะนำไปปฏิบัติการจริงต่อไป"

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2011/03/24/3172832.htm

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/153653

ต้นไม้เรืองแสงอาจแทนที่เสาไฟเรืองแสงในอนาคต



ต้นไม้เรืองแสงนั้นมีความสามารถในการแทนที่เสาไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือก๊าซได้ ( รูปภาพจาก http://news.discovery.com )

แสงสีทองบนท้องถนนนั้นอาจจะถูกแทนที่ด้วยสีเขียวเรืองแสงจากใบไม้ในเร็ววันนี้ นักวิทยาศาสตร์จาก Academia Sinica และ National Cheng Kung University จากกรุงไทเปและไถหนานได้ทำการฝังอนุภาคนาโนเรื่องแสงที่คล้ายหอยเม่นสีทอง หรือที่เรียกกันว่า bio light emitting diodes ( bio LED ) ลงไปในใบไม้บนต้นไม้

อนุภาคนาโนใหม่นี้สามารถแทนที่ดวงไฟบนท้องถนนที่ให้พลังงานด้วยไฟฟ้าโดยไฟจากพลังงานชีวภาพที่ขจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศตลอด 24 ชั่วโมง

“ในอนาคตนั้น bio-LED สามารถที่จะถูกนำมาใช้ทำให้ต้นไม้ริมทางเรืองแสงตอนกลางคืนได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานดูดกลืนคาร์บอนไดออกไซด์เนื่องจากการเครื่องแสงของ bio-LED นั้นจะทำให้คลอโรพลาสต์เริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสง” Yen-Hsun Su กล่าวในการสัมภาษณ์กับรายการ Chemistry World

อนุภาคนาโนสีทองที่รูปร่างคล้ายห่อยเม่นนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนวัสดุที่ปกติจะดูดกลืนแสงนั้นให้เปล่งแสงออกมาแทน

คลอโรฟิลนั้นเป็นหยดสีจากการสังเคราะห์แสงที่มอบสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์แก่ใบไม้นั้นเป็นรู้กันอย่างกว้างขวางถึงความสามารถในการดูดกลืนแสดงในช่วงความยาวคลื่นช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตามในบางสถานการณ์เช่นเมื่อเจอกับแสงสีม่วงนั้น คลอโรฟิลจะสามารถส่องแสงด้วยตัวเองได้ ซึ่งเมื่อเผชิญกับแสงที่มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 400 นาโนเมตรนั้น คลอโรฟิลที่ปกติจะเป็นสีเขียวนั้นจะส่องแสงสีแดงออกมา

แต่แสงสีม่วงนั้นก็มักจะหายากเช่นกันโดยเฉพาะเวลากลางคืนซึ่งใบไม้เรืองแสงนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ขับขี่ยานพาหนะและคนเดินถนน นักวิทยาศาสตร์จำเป็นที่จะต้องมีแหล่งของแสงสีม่วง ซึ่งก็ได้พบมันในอนุภาคนาโนสีทองนี้

เมื่อแสงที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นและมองเห็นได้ด้วยสายตาของมนุษย์กระทบเข้ากับอนุภาคนาโนสีทองนั้นแล้ว อนุภาคเหล่านั้นก็จะตื่นตัวและเริ่มที่จะส่องแสงสีม่วงออกมา ซึ่งแสงดังกล่าวจะไปตกกระทบกับคลอโรฟิลอีกที ซึ่งจะทำให้คลอโรฟิลนั้นตื่นตัวและส่องแสงสีแดงออกมาเช่นกัน

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ตีพิมพ์งานของพวกเขาลงในวารสาร Nanoscale นั้นหวังว่าต้นไม้ที่ใส่อนุภาคนาโนสีทองนี้เข้าไปจะให้แสงเพียงพอที่จะแทนที่ไฟบนถนนที่ใช้ไฟฟ้าหรือก๊าซเป็นพลังงานได้

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นั้นผลยังถูกจำกัดอยู่แค่ตัวอย่างทดลองของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นพืชน้ำที่รู้จักกันในนาม Bacopa caroliniana เท่านั้น การขยายผลไปสู่พืชบนดินเช่นต้นที่ถูกปลูกเรียงกันอยู่บนถนนนั้นควรที่จะเป็นไปได้โดยการทำการค้นคว้าเพิ่มเติม จากคำกล่าวของ  Krishanu Ray ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์จาก University of Maryland 

“พวกมันสามารถใช้เป็นไฟบนท้องถนนได้อย่างแน่นอน” Ray กล่าว “แต่หนทางนั้นก็ยังอีกยาวไกล”





ที่มา : http://news.discovery.com/tech/glowing-trees-to-replace-glowing-lights.html

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/153427

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นักวิทย์ออสซี่คิดค้นกล้ามเนื้อขนาดนาโน



The discovery overcome the challenge of how to propel nanobots in the bloodstream (Source: Intelligent Polymer Research Institute)

 นักวิทยาศาสตร์เมืองออสซี่ได้ค้นพบ เส้นใยนาโนทิวบ์ที่บิดได้อย่างกล้ามเนื้อของงวงช้าง นำมาซึ่งความหวังในการสร้าง นาโนบอท หรือหุ่นยนต์ระดับนาโนที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ในวันข้างหน้า
 ศาสตราจารย์กีออฟ สปิงค์ส แห่งสถาบันวิจัยโพลิเมอร์อัจฉริยะ มหาวิทยาลัยวูลลองกอง ประเทศออสเตรเลีย และทีมงานได้รายงานการค้นพบนี้ในวารสารวิชาการ Science แล้ว
 "เราได้สร้างวัสดุชนิดใหม่ที่สามารถเกิดการหมุนได้เมื่อเราใส่กระแสไฟฟ้าไปให้" ศาสตราจารย์สปิงค์สอธิบาย
 "สิ่งที่เราได้ค้นพบนี้มีคุณสมบัติค่อนข้างจะคล้ายกับกล้ามเนื้องวงของช้าง หรือลิ้นของจิ้งจก หรือแม้แต่แฟลเจลล่าของแบคทีเรีย"
 เมื่อ 4 ปีก่อนนั้น ทีมนักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่สถาบันนาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคซัส ที่ดัลลัส สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มสร้างเส้นด้ายแบบละเอียด ด้วยคาร์บอนนาโนทิวบ์ทั้งอัน เป็นเส้นด้ายของคาร์บอนที่มีขนาดเล็กที่สามารถใช้กระแสไฟฟ้าในการควบคุมการบิดตัวได้ เพื่อการต่อยอดไปสร้างเส้นใยอัจฉริยะในอนาคต
 "ในงานวิจัยครั้งนั้น พวกเขาพยายามจะมองหาเส้นใยเอนกประสงค์ที่สามารถนำไปสร้างแบตเตอรี่ เสาอากาศ หรือนำไปใช้ในระบบป้องกันขีปนาวุธ"
 ยาวาด โฟโรกี หนึ่งในทีมนักวิจัยครั้งล่าสุดนี้ได้นำเส้นใยคาร์บอนนาโนทิวบ์ที่มีความยาวสั้นมาทำการทดลองและได้ค้นพบวัสดุที่หมุนได้เมื่อใส่กระแสไฟฟ้าเข้าไปให้ในขณะที่มันกำลังอยู่ในสารละลายอิเล็กโตรไลท์ (สารละลายที่เป็นตัวนำไฟฟ้า)
 ถ้าเรากลับขั้วของกระแสไฟฟ้า มันก็จะหมุนกลับไปอีกทิศทางหนึ่ง" ศาสตราจารย์สปิงค์สกล่าว
 โดยธรรมชาติแล้ว การบิดตัวของกล้ามเนื้ออย่างหนวดของปลาหมึกนั้นจะเกี่ยวข้องกับเส้นใยรูปร่างขดตัวของมัน ซึ่งเส้นใยนี้จะสามารถหมุนได้จากตัวแกนไร้กระดูกตรงกลางของตัวมัน
 สำหรับการบิดตัวของคาร์บอนนาโนทิวบ์ของนักวิจัยนั้น จะเกิดจากการที่วัสดุดังกล่าวได้รับกระแสไฟฟ้ามากขึ้น ผ่านทางการใส่กระแสไฟฟ้าลงไปในสารละลายอิเล็กโตรไลท์มากขึ้น
Professor Geoffrey M. Spinks ศาสตราจารย์สปิงค์สกล่าวว่า วัสดุนี้เป็นวัสดุที่หมุนได้เยอะมาก สามารถหมุนได้เร็วถึง 600 รอบต่อวินาที หรือและค่าการหมุนต่อเซนติเมตรของเส้นใยชนิดนี้คิดเป็น 1,000 เท่าของเส้นใยชนิดอื่นๆเลยทีเดียว
 ในวารสารวิชาการนั้น ศาสตราจารย์สปิงค์สและทีมงานได้ระบุว่า วัสดุดังกล่าวสามารถนำไปสร้างเป็นที่กวนสารที่เล็กระดับมิลลิเมตรได้ด้วย แต่หลังจากนี้ นักวิจัยก็หวังว่า วัสดุนี้จะสามารถนำไปสร้างเครื่องจักรที่เล็กระดับไมโครกันต่อไป
 "โดยทั่วไปแล้ว งานชิ้นนี้จะมีประโยชน์มากถ้าคุณกำลังต้องการการเคลื่อนไหวทางกลในพื้นที่ที่จำกัด เพราะการสร้างมอเตอร์แบบที่เคยทำๆมานั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากในพื้นที่แบบนี้"
 นักวิจัยยังกล่าวด้วยว่า วัสดุชนิดนี้สามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ เช่น เลนส์ซูมในโทรศัพท์มือถือ
 แต่สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้และมีประโยชน์มาก น่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาหุ่นยนต์ระดับนาโนที่จะนำส่งยา กำจัดสิ่งแปลกปลอม ต่อสู้กับมะเร็งในร่างกายของมนุษย์ ในอนาคตข้างหน้า เนื่องจากในปัจจุบันนั้นสิ่งที่เป็นเรื่องท้าทายการใช้หุ่นยนต์ระดับนาโนในร่างกายของมนุษย์ก็คือเรื่องที่ว่ามันจะเคลื่อนไหวในกระแสเลือดของมนุษย์ได้อย่างไร
 ศาสตราจารย์สปิงค์สบอกว่า กล้ามเนื้อเทียมจากการใช้วัสดุเหล่านี้น่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เช่น อาจจะสร้างเป็นแฟกเจลลา (ตัวโบกพัดเพื่อการเคลื่อนไหว เช่น ในแบคทีเรีย) ของหุ่นยนต์ที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในกระแสเลือดได้
 ปัจจุบัน นักวิจัยกลุ่มนี้กำลังทำวิจัยในเรื่องการใช้วัสดุในการฝังอุปกรณ์การแพทย์เข้าไปในกล้ามเนื้อประสาทหูคลอเคลีย ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ละเอียดอ่อนที่มีพื้นที่จำกัดมาก และเป้าหมายในระยะยาวของนักวิจัยก็คือการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ที่จะให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ได้ นอกจากนี้ยังจะพัฒนาปลอกแขนที่จะช่วยเคลื่อนไหวหรือแม้แต่นวดให้กับผู้สวมใส่ให้ได้
 ส่วนในเรื่องความปลอดภัยนั้น นักวิจัยทิ้งท้ายว่า "ก็ยังมีงานที่จะต้องทำอีกเยอะเพื่อจะตัดสินใจว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะปลอดภัยหรือไม่ หรือสถานการณ์แบบไหนที่มันจะปลอดภัย เช่นเดียวกับการค้นพบสารเคมีแบบอื่นๆนั่นแหละ"

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2011/10/14/3336939.htm

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154036

พบแล้ว!กาแลกซี่ที่ไกลจากโลกมากที่สุด


"เลนส์ซูม"จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและสปิตเซอร์ของนาซ่าทำให้นักดาราศาสตร์ค้นพบกาแลกซี่ที่น่าจะอยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา
กาแลกซี่ที่ไกลที่สุดนี้เป็นกระจุกขนาดเล็กๆที่มีขนาดเพียงเสี้ยวเล็กๆของกาแลกซี่ของเรา แต่มีอายุเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของอายุเอกภพของเรา (13.7 พันล้านปี) โดยนักดาราศาสตร์ตั้งชื่อชั่วคราวว่า MACS0647-JD และมีอายุหลังจากการระเบิดบิ๊กแบงเพียงแค่ 420 ล้านปีเท่านั้น โดยบิ๊กแบงคือสิ่งที่นักดาราศาสตร์เชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของเอกภพของเรา และแสงของกาแลกซี่ดังกล่าวต้องใช้เวลานานถึง 13.3 พันล้านปีจึงจะเดินทางมาถึงโลกของเรา
การค้นพบครั้งนี้เป็นการค้นพบชิ้นล่าสุดจากโปรแกรมที่ใช้"เลนส์ซูมธรรมชาติ"ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ทำให้ได้ข้อมูลของกาแลกซี่ที่อยู่ไกลหรือกาแลกซี่ในยุคแรก โดยกลุ่ม Cluster Lensing And Supernova Survey with Hubble (CLASH) เป็นกลุ่มการรวมตัวของนักดาราศาสตร์จากนานาชาติ นำโดย มาร์ค โพสต์แมน แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศที่บัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษากาแลกซี่ที่อยู่ห่างไกล สำหรับเทคนิคในการศึกษานั้น นักดาราศาสตร์ได้ใช้กระจุกกาแลกซี่ขนาดใหญ่เป็นกล้องโทรทรรศน์คอสมิคที่จะช่วยขยายกาแลกซี่ที่อยู่หลังกระจุกกาแลกซี่นั้นออกไปอีกนั้น ให้คนบนโลกสามารถเห็นได้ โดยเทคนิคนี้มีชื่อว่า เลนส์ความโน้มถ่วง นั่นเอง
แสงจาก MACS0647-JD ตลอดระยะทาง 8 พันล้านปีที่เดินทางมายังโลกนั้น ต้องผ่านกระจุกกาแกลซี่ MACS J0647+7015 ด้วย ซึ่งหากไม่มีกำลังขยายจากกระจุกกาแลกซี่ นักดาราศาสตร์คงไม่มีทางได้เห็นกาแลกซี่ที่อยู่ห่างไกลระดับนี้ และทีมวิจัยของ CLASH ก็เน้นการศึกษาโดยใช้เลนส์ความโน้มถ่วงนี้ในการศึกษาภาพขยายของ MACS0647-JD จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งจะได้ภาพที่ชัดเจนกว่าเดิมถึง 7-8 เท่า จนนักดาราศาสตร์ได้ข้อมูลมากจนถึงระดับที่มั่นใจมากขึ้น
"กระจุกกาแลกซี่นี้ทำในสิ่งที่กล้องโทรทรรศน์ที่คนสร้างขึ้นมาเองทำไม่ได้" โพสต์แมนอธิบาย "ถ้าไม่มีกำลังขยายที่ว่านี้ เราจะต้องใช้พลังของเฮอร์คิวลิสในการศึกษากาแลกซี่"
MACS0647-JD เป็นกาแลกซี่ที่เล็กมาก และอาจจะเป็นจุดแรกๆของการก่อตัวของกาแลกซี่ขนาดใหญ่อื่นๆอีก จากการวิเคราะห์ทำให้เราได้ทราบว่า กาแลกซี่นี้มีขนาดเล็กกว่า 600 ปีแสง และเมื่อวิเคราะห์จากกาแลกซี่ที่อยู่ใกล้ๆกันนั้น นักดาราศาสตร์คำนวณได้ว่า กาแลกซี่ธรรมดาๆที่อายุใกล้ๆกันน่าจะมีขนาดประมาณ 2,000 ปีแสง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว กาแลกซี่นี้จึงน่าจะเป็นกาแลกซี่ขนาดเล็กในยุคนั้น เหมือนที่กลุ่มเมฆแมคเจลแลนใหญ่ที่เป็นกาแลกซี่แคระที่อยู่ใกล้โลกเรามีขนาด 14,000 ปีแสง ขณะที่กาแลกซี่ทางช้างเผือกของเรามีขนาด 150,000 ปีแสง
"วัตถุชิ้นนี้น่าจะเป็นวัตถุต้นกำเนิดของกาแลกซี่อีกหลายๆกาแลกซี่" ดัน โค หนึ่งในทีมวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศอธิบาย "และอีก 13 พันล้านปีต่อมา ก็อาจจะมีการผนวกรวมกันกาแลกซี่หรือกับเศษกาแลกซี่อื่นๆอีกเป็นโหล หรือร้อยครั้ง หรือหลายพันครั้ง"
กาแลกซี่ชนิดนี้ถูกสังเกตการณ์ด้วยฟิลเตอร์ 17 ตัวในช่วงคลื่นใกล้อุลตราไวโอเล็ตไปจนถึงช่วงคลื่นใกล้อินฟราเรด และจากกล้องมุมกว้าง 3 ของฮับเบิล และกล้องโทรทรรศน์ล้ำสมัย จนกระทั่งได้ค้นพบกาแลกซี่ดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ และได้เก็บข้อมูลจากเลนส์ความโน้มถ่วงนี้เรื่อยมา
แม้อันที่จริงแล้ว กลุ่ม CLASH จะพบกาแลกซี่ที่คล้ายๆกันมากถึง 17 กาแลกซี่ แต่กาแลกซี่ดังกล่าวนี้เป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลที่สุด หรือ มีความถี่เบนไปทางสีแดงมากที่สุดนั่นเอง
"MACS0647-JD เป็นวัตถุที่แดงมาก ฉายแสงอยู่ในช่วงคลื่นทางแดงเท่านั้น ดังนั้น มันจึงอยู่ไกลมาก จึงเป็นการเลื่อนคลื่นไปในทางสีแดงที่สูงมาก หรือถ้าคิดอีกแบบหนึ่ง อาจจะเกิดจากการรวมตัวกันของสองกาแลกซี่ก้ได้ เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ทั้งหมดอยู่"
นอกจากนี้ ทีม CLASH ยังได้ถ่ายภาพของกาแลกซี่อีก 8 แห่งที่ได้มาจากเลนส์ความโน้มถ่วงจากกระจุกกาแลกซี่ จนกระทั่งคำนวณมวลของกระจุกกาแลกซี่ออกมากได้ และอาจนำไปสู่การระบุการมีอยู่ของสสารมืดในกระจุกกาแลกซี่ดังกล่าว
"นี่เป็นปริศนาใหญ่เลยล่ะ เราจะต้องระบุให้ได้ว่ามวลของกระจุกกาแลกซี่เป็นเท่าไหร่จึงจะทำให้เรามองเห็นแสงของกาแลกซี่ที่อยู่ด้านหลังที่เราสำรวจเจอแต่ละอันได้" โค กล่าวต่อ
โคและทีมงานใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาอย่างเป็นระบบเผื่อว่าจะมีคำอธิบายอื่นๆของกาแลกซี่ที่ค้นพบนี้ เพราะบางทีอาจจะเป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์สีน้ำตาล ดาวแดง ซากกาแลกซี่ ฝุ่นกาแลกซี่ หรือกาแลกซี่ระยะกลางๆก็เป็นไปได้ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ได้สรุปออกมาแล้วว่า เป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลออกไปแน่นอน โดยงานวิจัยนี้กำลังจะได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ The Astrophysical Journal ในเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ ภาพของกาแลกซี่จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ ยังทำให้นักดาราศาสตร์สามารถวิเคราะห์เพิ่มเติมได้อีก และได้ยืนยันว่า กาแลกซี่นี้อยู่ไกลจริง จากนี้ไป ทีมวิจัยวางแผนไว้ว่า จะใช้กล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์สังเกตการณ์กาแลกซี่ให้ลึกลงไปอีก จนมั่นใจได้ว่า อายุที่แท้จริงของกาแลกซี่นี้เป็นเท่าไหร่ และมีส่วนประกอบเป็นอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม MACS0647-JD ยังจัดว่าเป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลจนกล้องโทรทรรศน์ที่มีอยู่ในปัจจุบันสังเกตการณ์ได้ยาก และยากที่จะระบุแสงสีของกาแลกซี่ แต่โคก็มั่นใจว่า กาแลกซี่ที่ค้นพบนี้เป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลที่สุดแล้ว
"ภาพของกาแลกซี่ที่ได้จากเลนส์ความโน้มถ่วงทั้งสามภาพออกมาค่อนข้างตรงกัน และอยู่ในตำแหน่งที่คุณสามารถคำนวณและคาดเดาออกมาได้ว่ามันจะอยู่ตำแหน่งนั้น โดยใช้โมเดลเลนส์ความโน้มถ่วงจากกระจุกกาแลกซี่ของเรา"
ก่อนหน้านี้ ทีม CLASH ก็เคยค้นพบกาแลกซี่ที่มีอายุขนาด 490 ล้านปีมาแล้ว โดยอายุมากกว่าเจ้าของสถิติปัจจุบันเพียงแค่ 70 ปีเท่าน้น และทีมวิจัยก็หวังว่า ต่อไป ฮับเบิลจะช่วยให้สามารถค้นพบกาแลกซี่จิ๋วนี้ได้มากขึ้นไปอีก

อ้างอิง: Space Telescope Science Institute (STScI) (2012, November 15). Candidate for most distant galaxy discovered. ScienceDaily. Retrieved November 17, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/11/121115141456.htm

อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154659

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

น้ำตาโลมา: น้ำตาที่ไม่ใช่น้ำตา


โลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ฉลาดและเป็นมิตรกับมนุษย์ เมื่อมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับโลมาจึงมักสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้พบเห็นอยู่เสมอ
เช่น ภาพ "น้ำตาโลมา..." "Tears of Dolphin" ที่โพสต์โดยเพจ "A call for Animal Rights" Walk Rally ใครเห็นก็คงสงสาร



           คำบรรยายภาพเป็นการกล่าวขอบพระคุณกรมทรัพยากรทะเล และชายฝั่ง ประเทศไทย ที่ช่วยโลมาหัวบาตร หลังเรียบ (Finless Porpoise) ที่เกยตื้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่ทราบด้วยเหตุอันใด ภาพนี้ถูกเผยแพร่ไปยังเว็บอื่นๆ โดยมีเนื้อหาว่า "เป็นภาพของปลาโลมาตัวหนึ่งถูกจับขึ้นมาบนบกเพื่อเตรียมขึ้นเขียงแล่เนื้อ มันจึงหลั่งน้ำตาออกมาอย่างน่าสงสารประหนึ่งว่ารู้ชะตากรรมของตัวเอง" และเนื้อหาที่สะเทือนอารมณ์ลักษณะนี้มักจะเผยแพร่ไปได้เร็วเสมอhttp://fb.kapook.com/pet-47436.html (แก้ไขแล้ว)
http://board.postjung.com/633241.html

           ที่จริงแล้วภาพโลมานี้เป็นเหตุการณ์ช่วยเหลือโลมาหลังเรียบเกยตื้น ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเมื่อพฤษภาคม ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการล่าโลมาแต่อย่างใดhttp://news.xinhuanet.com/society/2011-05/27/c_13897142.htm 
http://www.weather.com.cn/news/1343897.shtml

           และไหนๆ ก็มีข่าวเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลมามากขึ้นอีกนิดเกี่ยวกับ น้ำตาที่เห็นในภาพ
           โลมาและวาฬ จัดอยู่ในกลุ่ม Cetacean หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่วิวัฒนาการกลับไปอยู่ในทะเล (marine mammal) น้ำตาของสัตว์ในกลุ่มนี้มีลักษณะหนืดคล้ายครีม ทำหน้าที่เคลือบกระจกตา (Cornea) เพื่อป้องกันจากเกลือที่อยู่ในน้ำทะเล ต่างจากน้ำตาของคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่เป็นน้ำใสๆ
ฉะนั้นที่เห็นไหลเป็นหยดๆ ออกจาตาโลมาในภาพ ไม่น่าใช่น้ำตา
http://en.wikipedia.org/wiki/Cetacea#Vision.2C_hearing_and_echolocation
http://www.sarkanniemi.fi/akatemiat/dolphin_anatomy.html

          บทความหนึ่งในเพจ "A call for Animal Rights" Walk Rally ได้ระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "โลมาไม่เคยยิ้ม โลมาไม่มีกล้ามเนื้อสำหรับยิ้ม" อาจเพราะรูปทรงกะโหลกของโลมาทีทำให้รูปปากของมันคล้ายกับการยิ้มของคน คนจึงตัดสินจากมุมมองของตัวเองว่าโลมายิ้ม ทั้งที่จริงอาจไม่ใช่
          เช่นกัน การที่เราเห็นว่ามีน้ำเหลวๆ หยดออกมาจากตาโลมามันคล้ายกับการร้องไห้ของคน เราจึงคิดไปเองว่ามันร้องไห้

         สรุปคือ เราไม่สามารถเอาลักษณะภายนอกแบบที่เราคุ้นเคยไปตัดสินอารมณ์ความรู้สึกของสัตว์ โลมาอาจจะร้องไห้อยู่ก็ได้ แต่เราไม่สามารถบอกได้จากน้ำที่ไหลจากตา หรือโลมาอาจจะดีใจอยู่ก็ได้แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันดีใจโดยดูจากรอยยิ้มของมัน สัตว์อาจไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์แบบเดียวกับมนุษย์

         สุดท้าย ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้จ้องจะจับผิดหรือคัดค้านการรณรงค์เรื่องสิทธิ์ของสัตว์แต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่าการล่าโลมาก็ดูโหดร้ายน่าส่งสาร แต่ปล่อยให้อารมณ์ที่รุนแรงบดบัง ก็จะมองไม่เห็นความจริง การทราบข้อข้อเท็จจริง จะทำให้เราแสดงความเห็นใจหรือให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม

อย่าเพียงแค่...น้ำตาจะไหลขอแชร์นะครับ

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/114084/6/#P6

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

รา Geomyces destructans สาเหตุโรคจมูกสีขาวในค้างคาว


เป็นเชื้อราที่ชอบความเย็น (Psychrophilic fungi) ซึ่งเป็นเชื้อราที่ก่อสาเหตุทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ ชื่อว่าโรคจมูกสีขาว (White-Nose Syndrome หรือ WNS) ในค้างคาวทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา 


โรคดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ถ้ำโฮเวสเป็นสถานท่องเที่ยวยอดนิยม  มีการรายงานการตายของค้างคาวตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา พบว่า มีการตายของค้างคาวมากกว่า 1,000,000ตายจากโรคที่เกิดจากราชนิดนี้   โรคจมูกสีขาวจากการติดเชื้อ G. destructans ยังได้รับการรายงานอีกด้วยในยุโรปเช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิส ฮังการี สาธารณรัฐเช็กและสโลวาก

ภาพจาก http://www.news.wisc.edu/19956



ลักษณะและการเจริญเติบโตเป็นอย่างไร
?

พบว่าบนอาหารเลี้ยงเชื้อ  ราGeomyces destructans มีความแตกต่างจากราชนิดอื่น ๆในสกุลเดียวกัน คือ สปอร์มีรูปแบบโค้ง และ มีการเจริญเติบโตช้ามาก หรือ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 24องศาเซลเซียส โดย G. destructans มีช่วงการเจริญเติบโตที่ดีที่สุดประมาณ 4 ถึง 15 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิเดียวกันของการจำศีลของค้างคาวในสหรัฐอเมริกา

 

 

ลักษณะอาการของโรคเป็นอย่างไร?



เป็นลักษณะของกลุ่มราสร้างโครงสร้างคล้ายฝอยสีขาวมาปกคลุมรอบๆปาก จมูกค้างคาวและรวมทั้งรอยสีขาวที่กัดกินเนื้อบริเวณปีกอีกด้วย ทำให้หายใจไม่ได้และมีอาการระคายเคืองในค้างคาว รอยแผลที่ปีกอาจทำให้ค้างคาวไม่สามารถบินได้สะดวก อีกทั้งการตื่นบ่อยๆในระหว่างช่วงการจำศีลทำให้ค้างคาวสูญเสียพลังงานจำพวกไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายสูญเสียและทำให้พวกมันขาดอาหารและหนาวตายในที่สุด


 

การแพร่การจายของ G. destructans มาจากที่ไหน และอย่างไร?



โรคจมูกขาว จาก G. destructans ไม่เคยมีรายงานมาก่อนในทวีปอเมริกาเหนือก่อนที่มีการระบาดของโรคจมูกขาว ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยของการแพร่กระจายของโรคโดยการย้ายถิ่นฐานของค้างคาวที่ติดเชื้อระหว่างทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือโดยการบินข้ามมหาสมุทรของค้างคาว   แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าการแพร่การจายของ G. destructans อาจเกิดจากมนุษย์เป็นพาหะ ในลักษณะนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่เดินทางมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้ นำเชื้อรา ติดมา หรือ ปนเปื้อนเชื้อรา บนเสื้อผ้าหรือกระเป๋าเดินทาง และนำมาแพร่ขยาย ติดเชื้อสู่ค้างคาวดังกล่าว

 

ภาพจาก http://cavingnews.com/

อ้างอิง
 Blehert et al. 2009. Bat white-nose syndrome: an emerging fungal pathogen? Science, 323:227

Gargas, A, et al. 2009. Geomyces destructans sp. nov. associated with bat white-nose syndrome. Mycotaxon , 108:147-154

เรียบเรียง: Nattawut Boonyuen


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/115699