วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทฤษฎีกำเนิดนกสะเทือนหลังพบฟอสซิลใหม่



 
การค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิคครั้งล่าสุด นำมาซึ่งคำถามต่อทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมานานเรื่องจุดกำเนิดของสัตว์ปีกอย่าง นก
 
ดร.แกเรธ ไดค์ อาจารย์อาวุโสที่ สาขาบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลัง มหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน อังกฤษ ได้อธิบายถึงไดโนเสาร์มีขนนกปกคลุมขนาดความยาว 30 เซนติเมตร ซึ่งเชื่อกันว่า ไดโนเสาร์ที่คล้ายนกน่าจะวิวัฒนาการมา
 
หลายปีที่ผ่านมา นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อกันว่า นกวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์กลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า Theropods ตั้งแต่ยุคครีเทเชียสยุคต้นของโลก หรือเมื่อ 120-130 ล้านปีก่อน
 
แต่การค้นพบไดโนเสาร์มีขนนกคลุมในช่วงยุคจูราสสิคยุคกลางถึงปลายนั้น ทำให้ทฤษฎีที่เคยเชื่อกันมาถึงกับต้องสั่นสะเทือน
 
เพราะยุคจูราสสิคนั้นเป็นยุคที่มาก่อนยุคครีเทเชียสเสียอีก แต่จัดอยู่ในมหายุคมีโซโซอิกเช่นกัน
 
"ไดโนเสาร์นก"ล่าสุดที่ชื่อว่า Eosinopteryx นี้ นักวิจัยได้อธิบายละเอียดในวารสารวิชาการ Nature Communications แล้ว โดยได้กล่าวถึงรายละเอียดและหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติมด้วย
 
"การค้นพบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามต่อทฤษฎีเดิมที่เชื่อกันว่า Archaeopteryx เป็นบรรพบุรุษของนกที่นกยุคใหม่วิวัฒนาการมา" ดร.ไดค์ แห่งศูนย์สมุทรศาสตร์แห่งชาติ มหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตันเผย
 
"การค้นพบของเราบอกได้ว่า จุดกำเนิดของการบินอาจจะซับซ้อนมากกว่าที่เราคิดกันมาก็เป็นได้"
 
ฟอสซิลดังกล่าวถูกค้นพบทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ซึ่งระบุว่า ไดโนเสาร์ดังกล่าวเป็นไดโนเสาร์มีขนนกปลกคลุม แต่ไม่สามารถบินได้ เพราะว่าปีกที่แคบและมีโครงสร้างกระดูกที่เป็นอุปสรรคต่อการบิน
 
เท้าของไดโนเสาร์ยังเหมาะกับการเดินบนพื้นมากกว่า และมีขนนกคลุมเล็กน้อยที่บริเวณหางและขา ซึ่งอาจจะมีไว้เพื่อให้วิ่งได้เร็วขึ้น
 
อ้างอิง: University of Southampton (2013, January 24). New dinosaur fossil challenges bird flight origins theories. ScienceDaily. Retrieved January 27, 2013, from http://www.sciencedaily.com/releases/2013/01/130124091532.htm
งานวิจัย: Pascal Godefroit, Helena Demuynck, Gareth Dyke, Dongyu Hu, François Escuillié, Philippe Claeys. Reduced plumage and flight ability of a new Jurassic paravian theropod from China. Nature Communications, 2013; 4: 1394 DOI: 10.1038/ncomms2389

อ้างอิงข้อมูลจาก http://vcharkarn.com/vnews/154815

ยืนยันดาวหางชนกับสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เกิดพร้อมกัน



 
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ยังคงเป็นปริศนาสำหรับมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้ หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะดาวหางบ้าง อุกกาบาตบ้าง ภูเขาไฟระเบิดบ้าง สภาพอาการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ยังไม่มีใครทราบคำตอบที่ถูกต้อง
 
แต่ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ที่ศูนย์ธรณีกาลวิทยาเบิร์กลี่ย์ (BGC) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลี่ย์ และมหาวิทยาลัยหลายแห่งในเนเธอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร ได้ค้นพบช่วงเวลาที่แม่นยำที่สุดเท่าที่จะเคยค้นพบมาของเหตุการณ์ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อ 66 ล้านปีก่อน ตลอดจนเหตุการณ์เลวร้ายอื่นๆที่ตามมาในครานั้น
 
นักวิจัยเผยถึง ช่วงเวลาค่อนข้างที่จะใกล้เคียงมากๆ และพวกเขาก็เชื่อว่า น่าจะเป็นดาวหางหรืออุกกาบาต ที่เป็นสาเหตุทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปมากมายเพียงนั้น แม้อาจจะไม่ใช้สาเหตุทั้งหมดแต่ก็น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆ
 
"ผลกระทบครั้งนั้นทำให้โลกต้องมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่" พอล เรนน์ ศาสตราจารย์ที่เบิร์กลี่ย์ ผู้อำนวยงาน BGC เผย "เราได้แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ต่างๆสอดคล้องกันชนิดที่แบบแม่นยำมาก และปรากฏการณ์ดาวหางชนครั้งนั้นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ แต่ก็อาจจะไม่ได้มาจากผลจากดาวหางไปซะทั้งหมด"
 
การระบุวันได้แม่นยำในครั้งนี้ทำให้ข้อสงสัยที่ว่า การชนของดาวหางเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการสูญพันธุครั้งใหญ่ เดินทางมาถึงการได้คำตอบแล้ว โดยสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่ว่า เราไม่ค่อยพบฟอสซิลของไดโนเสาร์บนบกและในน้ำเลย เพราะมันหายไปในเวลาเพียงข้ามคืน
 
ตัวเลขล่าสุดที่เชื่อกันในปัจจุบันนั้นคือ 66,038,000 ปีก่อน ซึ่งขอบเขตการคลาดเคลื่อนอยู่ภายในช่วงของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่พอดี ดร.เรนน์จึงเชื่อว่า สองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Science แล้ว
 
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ถูกโยงเข้ากับเรื่องการพุ่งชนของดาวหางเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1980 โดยหลุยส์ อัลวาเรซ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลของเบิร์กลี่ย์ เป็นผู้เสนอทฤษฎีนี้ และเชื่อว่า หลุมอุกกาบาตความกว้าง 110 ไมล์ที่ชายฝั่งประเทศเม็กซิโกน่าจะเป็นผลที่หลงเหลือจากการพุ่งชนในครั้งนั้น หลุมดังกล่าวมีชื่อว่า Chicxulub และนักวิทยาศษสตร์คาดเดาว่า น่าจะเกิดจากดาวหางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 ไมล์ผ่านบรรยากาศของโลกเข้ามาพุ่งชนโลกอย่างแรง ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนและฝุ่นอิริเดียมกระจายทั่วโลก
 
งานของ ดร.เรนน์ คือการระบุวันให้แน่นอนว่าการสูนพันธุ์ครั้งใหญ่นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันแน่ โดยงานวิจัยได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อนเมื่อเขาสังเกตว่า วันที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เชื่อในครั้งนั้นขัดแย้งกับการประมาณการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ด้วยวิธีอื่นๆ ตลอดจนวันที่เกิดการชนของอุกกาบาติด้วย และสงสัยว่า บางที การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่อาจจะไม่ได้สอดคล้องหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อยู่เกิดขอบเขตข้อผิดพลาดของการประมาณวันที่ดาวหางพุ่งชนโลกก็เป็นได้
 
ในงานวิจัย ดร.เรนน์ และทีมงานจึงได้เริ่มจากการวัดแบบละเอียดและปรับปรุงวิธีการประมาณวันที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เรียกกันว่า เทคนิคอาร์กอน-อาร์กอน นักวิจัยได้รวบรวมเถ้าถ่านภูเขาไฟจากพื้นที่ Hell Creeek ในมอนตาน่า และวิเคราะห์ด้วยวิธีอาร์กอน-อาร์กอนแบบใหม่ในการวัดประเมินว่า วันที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ น่าจะเป็นวันไหนกันแน่ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ฟอสซิลของไดโนเสาร์จากหลายๆที่มาทำการศึกษาด้วยว่า ก่อนและหลังเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่นั้น ฟอสซิลได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร
 
นักวิจัยยังได้รวบรวมเอาสะเก็ดดาวจากไฮติและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีเดียวกันเพื่อประเมินว่า การชนของอุกกาบาตนั้นเกิดขึ้นเมื่อนานเท่าไหร่มาแล้ว จนกระทั่งได้ข้อมูลของวันที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่และการชนของดาวหางว่า เกิดขึ้นไม่ห่างกัน 11,000 ปี ซึ่งก็อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง
 
"เมื่อตอนที่เราเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้ ข้อมูลความคลาดเคลื่อนอยู่ในระดับบวกหรือลบหนึ่งล้านปี" วิลเลียม เคลเมนส์ นักวิจัยเผย "นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น คุณูปการที่พอลและทีมงานได้ทำคือความถูกต้องของช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้เราสามารถรวบรวมเอาความรู้ที่เราได้จากการศึกษาฟอสซิลและข้อมูลจากการศึกษาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ให้มาเป็นข้อมูลเดียวกันได้"
 
อย่างไรก็ตาม แม้เราจะพบว่า การชนของดาวหางและการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเวลาแทบจะเดียวกัน ดร.เรนน์ก็เตือนว่า การชนของดาวหางอาจจะไม่ได้เป็นสาเหตุทั้งหมดของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เพราะเรื่องสภาพอากาศในเวลานั้นก็มีเปลี่ยนแปลงมาเป็นล้านปีแล้ว
 
"ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ระบบนิเวศของโลกนั้นอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆมาก ฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆก็อาจจะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยเข้าไปสู่ยุคใหม่ได้"
 
ทางด้าน ดาร์เรน เอฟ. มาร์ค นักวิจัยในโครงการได้เสริมว่า "การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาธรณีกาลวิทยาที่แม่นยำอย่างมาก หลายคนคิดว่าการศึกษาให้แม่นยำเป็นเพียงแค่การเติมเพิ่มจุดทศนิยมลงไปให้กับตัวเลขเท่านั้น แต่มันน่าตื่นเต้นมากกว่านั้นเยอะ มันเหมือนกับการที่เรามีกล้องที่ละเอียดขึ้น มันทำให้เราศึกษาทางธรณีวิทยาได้ในความละเอียดที่สูง และสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของประวัติศาสตร์โลกได้อย่างลงตัว"
 
อ้างอิง: University of California - Berkeley (2013, February 7). New evidence suggests comet or asteroid impact was last straw for dinosaurs. ScienceDaily. Retrieved February 10, 2013, from http://www.sciencedaily.com/releases/2013/02/130207141444.htm
งานวิจัย:
1. P. R. Renne, A. L. Deino, F. J. Hilgen, K. F. Kuiper, D. F. Mark, W. S. Mitchell, L. E. Morgan, R. Mundil, J. Smit. Time Scales of Critical Events Around the Cretaceous-Paleogene Boundary. Science, 2013; 339 (6120): 684 DOI: 10.1126/science.1230492
2. H. Palike. Impact and Extinction. Science, 2013; 339 (6120): 655 DOI: 10.1126/science.1233948


อ้างอิงจาก http://vcharkarn.com/vnews/154847

ผงชูรส ทำให้อาหารอร่อยขึ้นอย่างไร


ด้วยชีวิตในสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน  ทำให้ใครหลายคนหันมารับประทานอาหารนอกบ้านกันมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ร้านอาหาร ภัตตาคาร หรือในโรงแรม   ซึ่งการกินข้าวนอกบ้านนั้นทำให้สะดวก รวดเร็ว เลือกกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ แถมไม่ต้องมานั่งล้างจานอีก  แต่ความสบายก็ต้องแลกกับข้อเสียที่ตามมา คือ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเค้าจะเอาอะไรมาให้เรากินบ้าง
 

       เพื่อความอร่อยทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ   แน่นอนว่าหนึ่งในเครื่องปรุงนั้นก็คือ ผงชูรส นั่นเอง แทบจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำอาหารเลยทีเดียว มีนักวิชาการบางท่านได้บอกไว้ว่า ปริมาณที่เหมาะสมของการใช้ผงชูรส คือ ประมาณปลายช้อนเท่านั้น  แต่เท่าที่เคยเห็นแม่ครัวส่วนใหญ่ก็ตวัดกันเป็นช้อนๆ แน่นอนว่าหากกินเรื่อยๆ สะสมไปในระยะยาวเป็นอันตรายแน่นอน
 

 
      ผงชูรส คือ สารเคมีชนิดหนึ่ง ชื่อว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมท (MSG) รูปร่างภายนอกเป็นผงผลึกสีขาว ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น โดยโมโมโซเดียมกลูตาเมทเป็นเกลือของกรดกลูตามิก ซึ่งกรดอะมิโนชนิดนี้ก็เป็นองค์ประกอบที่อยู่ในโปรตีนทั่วไปทั้งจากพืชและสัตว์

      
จุดเริ่มต้นของ "ผงชูรส" มาจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ เกิดจากการค้นพบรสชาติที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเล เรียกว่า รสอูมามิ หรือ รสอร่อย ซึ่งค้นพบมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มมีการผลิตผงชูรสในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น แต่ในภายหลังได้เปลี่ยนทั้งวัตถุดิบและวิธีการผลิต ปัจจุบันผงชูรสผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง ผ่านกระบวนการทางเคมีหลายขั้นตอนทั้งหมักและใช้สารเคมีหลายตัว เพราะฉะนั้นกินเข้าไปมากๆ เป็นอันตรายแน่นอน  แม้ว่าส่วนประกอบหลักจะมาจากธรรมชาติก็ตาม
 
         
ผงชูรสช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นจริงหรือ?
 
            จริง ๆ แล้วผงชูรสไม่ได้ช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นเลยค่ะ  เพราะผงชูรสไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร และไม่มีรสชาติเป็นของตัวเอง เหมือนน้ำปลา น้ำตาล แต่ที่เรารู้สึกอร่อยขึ้นเพราะ คุณสมบัติของมันจะไปกระตุ้นประสาทในปากและลำคอ กระตุ้นต่อมรับรสที่ลิ้นให้ขยายตัวจึงรับรสได้ไวกว่าปกติ  เวลากินจะช่วยให้รสต่างๆ ค้างอยู่ในปากนานขึ้นกว่าเดิม เราจะรู้สึกว่ารสชาติมันกลมกล่อมขึ้นนั่นเอง
           
      การรับผงชูรสเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป ส่งผลเสียหลายอย่าง   ในระยะสั้นที่เห็นผลได้ทันทีก็คือ จะรู้สึกลิ้นชา หิวน้ำมากๆ อาการนี้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่หากเกิดแพ้หรือกินมากเกินไปจนที่ร่างกายจะรับได้ก็ยังมีอาการอื่นๆ อีก เช่น ร้อนที่หน้า แน่นหน้าอก ปวดหัว อยากอาเจียน มีผื่นขึ้น หรือไมเกรนขึ้นได้เลยทีเดียว 
 
 
 
           นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อระบบประสาทส่วนอื่นๆ ในร่างกาย  ไล่ตั้งแต่ระบบสมอง ระบบควบคุมน้ำตาล ระบบสมดุล เคยมีการทดลองในหนูเพื่อตรวจสอบอันตรายจากผงชูรส พบว่าถ้าให้ผงชูรสในปริมาณมาก คือ 1 กรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะทำลายสมองของหนู 100%   แต่ถ้าปริมาณผงชูรสลดลงเหลือ 0.5 สมองจะถูกทำลายครึ่งนึง และถ้าลดลงเหลือ 0.25 จะไม่มีผลกระทบใดๆ เกิดขึ้น  
 
 
 
           เมื่อรู้แบบนี้แล้ว  ก็คงไม่มีใครอยากรับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรสแล้วใช่มั๊ยคะ  แต่ในชีวิตประจำวันเราเลี่ยงค่อนข้างยาก   ไม่ว่าจะเป็นอาหารตามร้านต่างๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  หรือแม้แต่ขนมคบเคี้ยว   เพราะฉะนั้นทางเลี่ยงง่ายที่สุดคือ ถ้ามีโอกาสก็ลองทำกับข้าวทานเองที่บ้าน แล้วลองไม่ใส่ผงชูรสดูบ้าง  ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่มาทานอาหารที่อาจจะไม่อร่อยที่สุด แต่ปลอดภัยที่สุดกันดูค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44373

นักวิจัยค้นพบโปรตีนที่เป็นกุญแจสำคัญของการแพร่กระจายเซลล์มะเร็ง


ถ้าเซลล์มะเร็งไม่มีการแพร่กระจาย เช่นเดียวกับเนื้องอกหลายๆ ชนิด ก็จะไม่มีใครตายเพราะโรคมะเร็งอีกต่อไป

 Zhi-Ren Liu ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา แห่งมหาวิทยาลัย Georgia State University ใน Atlanta กล่าวว่าในหลายๆ กรณีก้อนเนื้อหรือมะเร็งจะไม่ไปรบกวนการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่เมื่อไหร่ที่เซลล์มะเร็งเหล่านั้นแพร่กระจายออกไป มันจะไปรบกวนระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ และนี่เองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ศาสตราจารย์ Liu และคณะนักวิจัยได้ค้นพบวิธียับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็งโดยการรบกวนการสื่อสารระหว่างโปรตีนสองชนิดที่อยู่ภายในเซลล์

โปรตีน p68 และ calcium calmodulin โปรตีนทั้งสองตัวนี้ทำหน้าที่เหมือนสวิทช์เปิดปิดกระบวนการทำงานของเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่หรือการรักษาและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญโปรตีนทั้งสองชนิดนี้คอยสนับสนุนการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

นักวิจัยได้ยับยั้งการสื่อสารระหว่างโปรตีนทั้งสองชนิดนี้โดยการสร้างเปปไทด์ที่เชื่อมกับโมเลกุลเดิมขึ้นเพื่อป้องกันการทำปฏิกริยาของโปรตีนทั้งสองชนิด

ผลที่ได้พบว่า "สามารถป้องกันหรือลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้"   โดยสามารถลดการแพร่กระจายของมะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านมระยะที่ 1 ในหนูได้มากถึง 90% อีกทั้งขนาดของมะเร็งก็ยังมีขนาดที่เล็กมากๆ และยังมีอีกหลายๆ กรณีที่พบว่าไม่มีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง

แต่งานวิจัยนี้ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น คณะนักวิจัยยังมีแผนที่จะพัฒนายาเพื่อป้องกันการจับกันของโปรตีน p68 และ calmodulin เพื่อผลิตยาที่สามารถป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.voanews.com/content/scientists-say-they-have-discovered-key-to-cancers-spread/1594748.html

ติดตามอ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ http://www.nature.com/ncomms/journal/v4/n1/full/ncomms2345.html

 
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154849

แนวคิดการเมืองเปลี่ยนสมองของคนได้



 
ทีมนักวิทยาศาสตร์การเมืองและนักประสาทวิทยา ได้แสดงให้เห็นว่า ความเป็นเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยมใช้สมองคนละส่วนกันในขณะที่ทำการตัดสินใจที่เสี่ยง และหลักการนี้น่าจะนำไปใช้เพื่อทำนายได้ว่า คนๆหนึ่งมีแนวโน้มที่จะชอบพรรคการเมืองแบบใด
 
การศึกษาครั้้งใหม่นี้เผยว่า แม้ว่ายีนและการถ่ายทอดจากพ่อแม่จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดฟังก์ชันการทำงานของสมอง แต่การจะชอบพรรครีพับลีกันหรือจะชอบเดโมแครทนั้นก็สามารถเปลี่ยนฟังก์ชันการทำงานของสมองได้เช่นกัน
 
ดร.ดาร์เรน ชเรเบอร์ นักวิจัยด้านประสาทการเมืองวิทยา มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้ทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก โดยผลงานครั้งนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ PLOS ONE แล้ว
 
ในการทดลองเบื้องต้นนั้น นักวิจัยให้อาสาสมัครเล่นเกมพนันง่ายๆเกมหนึ่งแล้ววัดกิจกรรมในสมองไปด้วย โดย ดร.ชเรเบอร์ และทีมงานมีข้อมูลว่าบุคคลๆนั้นลงทะเบียนว่าชื่นชอบพรรคใดเป็นพิเศษด้วย
 
ในการทดลองครั้งใหม่ มีผู้เข้าร่วมทดลอง 82 คน ให้มาเล่นเกมพนันเกมหนึ่ง และผลจากการทดลองครั้งนี้ นักวิจัยได้ทราบว่า ฝ่ายรีพับลีกันและเดโมแครทมีกิจกรรมทางสมองที่แตกต่างกันเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความเสี่ยง
 
โดยฝ่ายเดโมแครทจะมีกิจกรรมของสมองในส่วนอินซูล่า (ส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมและการรับรู้ตนเอง) ที่มากกว่า ขณะที่ฝ่ายรีพับลีกันจะมีกิจกรรมในสมองส่วนอไมกดาล่า (ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ในแง่ลบ รวมถึงระบบที่ตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะหนี) ที่มากกว่า ทำให้ผลที่ออกมาสรุปได้ว่า การเป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมทำให้เกิดกระบวนการรับรู้ที่แตกต่างกันเมื่อต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง
 
นอกจากนี้ กิจกรรมของสมองในช่วงทั้งสองส่วนนี้ยังสามารถใช้เพื่อทำนายได้ว่า บุคคลนี้จะเป็นรีพับลีกันหรือเดโมแครทด้วยความแม่นยำถึง 82.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับแบบจำลองทางการเมืองดั้งเดิมที่ทำนายเอาความชอบของพ่อกับของแม่มาทำนายความชอบทางการเมืองของลูกที่เชื่อกันมาอย่างยาวนานแล้ว แบบจำลองดังกล่าวมีความถูกต้องเพียง 69.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และแบบจำลองอีกแบบที่ทำนายโดยอาศัยโครงสร้างของสมองก็สามารถทำนายความเป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมได้เพียงแค่ 71.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น แบบจำลองนี้ยังสามารถเอาชนะแบบจำลองที่ทำนายแนวคิดทางการเมืองด้วยยีนอีกด้วย
 
ดร.ชเรเบอร์เผยว่า "แม้ว่ายีนจะทำให้เกิดความแตกต่างทางแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ความชื่นชอบทางการเมืองที่อธิบายด้วยกิจกรรมของสมองส่วนอไมกดาล่าและอินซูล่ากลับมีความแม่นยำมากกว่า ซึ่งสามารถบอกได้ว่า ความชื่นชอบทางการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นอาจจะเปลี่ยนสมองได้ ไม่ใช่แค่จะมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมอย่างเดียว"
 
ผลการทดลองครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจได้มากขึ้นว่า คนที่เป็นเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยมจะคิดแตกต่างกันอย่างไร
 
"การที่เราสามารถทำนายความชื่นชอบพรรคการเมืองได้จากการดูกิจกรรมในสมองขณะที่กำลังเล่นเกมพนันนั้น อาจจะกำลังบอกเราว่า นี่อาจจะเป็นเครื่องมือในการศึกษาการเมืองที่ทรงพลังมากกว่าวิธีที่เคยทำกันมาก็ได้นะ"
 
อ้างอิง: University of Exeter (2013, February 13). Red brain, blue brain: Republicans and Democrats process risk differently, research finds. ScienceDaily. Retrieved February 17, 2013, from http://www.sciencedaily.com/releases/2013/02/130213173131.htm
งานวิจัย: Darren Schreiber, Greg Fonzo, Alan N. Simmons, Christopher T. Dawes, Taru Flagan, James H. Fowler, Martin P. Paulus. Red Brain, Blue Brain: Evaluative Processes Differ in Democrats and Republicans. PLoS ONE, 2013; 8 (2): e52970 DOI: 10.1371/journal.pone.0052970

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154854

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รู้ไหม...โบท็อกซ์ มาจากไส้กรอก


ขอเล่าถึงยาตัวหนึ่งที่นำมาใช้มากมายหลายอย่าง โดยจะเริ่มตั้งแต่ประวัติการค้นพบยาตัวนี้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า ในวงการแพทย์นั้นบางครั้งกว่าจะได้ยาตัวใหม่ ๆ มา ต้องอาศัยความรู้และความช่างสังเกตของแพทย์และนักวิจัยต่อเนื่องกันมายาวนานทีเดียว และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ "โบท็อกซ์" แต่ชื่อที่แท้จริงคือ"สารพิษโบทูลินัม"
การค้นพบยา "สารพิษโบทูลินัม"
             เชื่อไหมว่า สารพิษโบทูลินัมนี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก "ไส้กรอก" และแรกเริ่มนั้นไส้กรอกก็เกิดจากความมัธยัสถ์ โดยพ่อค้าเนื้อสัตว์จะเก็บเศษเนื้อ เครื่องใน เลือด และไขมัน ซึ่งเป็นส่วนที่ขายไม่ได้แต่ยังกินได้ มาในวัตถุสำหรับหุ้มห่อ ซึ่งแต่เดิมมักเป็นไส้วัว ไส้ควาย ปัจจุบันมีไส้กรอกหลายอย่าง และเกิดจากการปรุงแต่งเนื้อสัตว์ นำมาบดรวมกับเกลือ สมุนไพร เครื่องเทศ หรือส่วนผสมอื่น ๆ แล้วบรรจุเข้าไปในไส้ของสัตว์ หรือวัสดุสังเคราะห์ และเก็บรักษาไว้ด้วยกรรมวิธีที่ไม่ทำให้เน่า

             ชนชาติแรกที่ทำไส้กรอกกินเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาลคือชาวสุเมเรียน ในยุคอาณาจักรโรมันและกรีก มีการเฉลิมฉลองด้วยการกินไส้กรอก โดยเฉพาะในเทศกาลลูเพอร์คาเลีย (Lupercalia) ของชาวโรมันในยุคที่จักรพรรดินีโรครองราชย์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งความรักในวันที่ 14 ถึง 15 กุมภาพันธ์ โดยก่อนมีเทศกาล 1 วันจะมีการจับฉลากของหนุ่มสาว ใครได้ชื่อใครจะได้คนคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมเที่ยวตลอดช่วงเทศกาล จึงเป็นที่มาของการพบปะของหนุ่มสาวและเกิดความรัก

             ต่อมามีการเปลี่ยนเทศกาลนอกรีตนี้ให้มาอยู่ในคริสต์ศาสนา ชื่อจึงถูกเปลี่ยนเป็นวันวาเลนไทน์ และจัดในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ (แสดงว่าที่ให้ดอกกุหลาบแดง ให้ช็อกโกแลตกันในวันแห่งความรักยุคนี้ก็ไม่ถูกต้อง น่าจะเปลี่ยนเป็นให้ไส้กรอกหรือให้กุนเชียงกันมากกว่า)
มีคำสั่งห้ามกินไส้กรอก
             ค.ศ.325 จักรพรรดิคอนสแตนตินซึ่งเป็นจักรพรรดิโรมันที่เป็นคริสเตียนองค์แรกได้ห้ามจัดเทศกาลลูเพอร์คาเลีย และห้ามกินไส้กรอก... ต่อมาในยุคราว 1,200 ปีที่ผ่านมา จักรพรรดิลีโอที่ 5 แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์มีราชโองการว่า "ผู้ใดที่ทำไส้กรอกจักต้องถูกโบยจนเนื้อแตก กร้อนผมให้โล้นเลี่ยน และเนรเทศออกไปเสียจากอาณาจักรแห่งนี้ตลอดกาล

             "ท้ายที่สุดพระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ต่อมาจักรพรรดิลิโอที่ 6 มีคำสั่งว่าการทำไส้กรอกเลือดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่การสั่งห้ามครั้งนี้มีเหตุมีผลที่ฟังขึ้น เพราะทรงระบุว่า "การกินไส้กรอกที่มีเลือดเป็นส่วนผสมทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้"

             ออตโท ฟอน บิสมาร์ก (Otto von Bismatrck) ซึ่งเป็นผู้รวมเยอรมนีกับรัสเซียเข้าด้วยกัน และสถาปนาจักรวรรดิเยอรมนีขึ้น เป็นบุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 บิสมาร์ก เคยกล่าวว่า "อย่าไปรู้เบื้องหลังของการทำไส้กรอกและการออกกฎหมายเลย มันก็สกปรกเละเทะพอกันนั่นแหละ"

จุดกำเนิดของยา "สารพิษโบทูลินัม"
             สมัยสงครามนโปเลียนมีผู้คนพากันล้มตายจากอาหารเป็นพิษ และมักเป็นหลังกินไส้กรอก จึงเรียกกันว่า "โรคพิษจากไส้กรอก"  ผู้ที่ให้ความสนใจศึกษาเรื่องนี้คือแพทย์ชาวยอรมนี ชื่อ คุณหมอจัสทินัส เคอร์เนอร์ (Justirus Kerner) ท่านเป็นคนแรกที่สงสัยว่าพิษจากไส้กรอกนั้นน่าจะมาจากการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งได้ทดลองให้ลองกินไส้กรอกแก่สัตว์หลายชนิด และตัวท่านก็ลองกินไส้กรอกด้วยตนเอง

             การทดลองในตัวเองนั้นในยุคก่อนพอเป็นที่ยอมรับกันได้ แต่ในปัจจุบันมักถือว่าผิดจริยธรรมทางการแพทย์ ต่อมาใน ค.ศ.1815 จัสทินัส เคอร์เนอร์ จึงรายงานว่าไส้กรอกอาจก่อพิษจนเป็นอัมพาตได้

             โรคพิษจากไส้กรอกนี้มีชื่อทางการแพทย์ว่า botulism มาจากภาษาละตินว่า botulus ที่แปลว่า ไส้กรอก

             ค.ศ.1822 คุณหมอเคอร์เนอร์ได้ตีพิมพ์งานวิจัยหลายฉบับนำเสนอว่า พิษที่สกัดจากไส้กรอกทำให้เกิดอาการอ่อนแรงและเหงื่อไม่ออก และได้เสนอว่า สารพิษตัวนี้ในปริมาณเล็กน้อยอาจใช้รักษาความผิดปกติต่าง ๆ ของระบบประสาทได้ นับว่าเป็นพยากรณ์ที่แม่นยำมาก เพราะทำนายล่วงหน้าเกือบ 200 ปี ปัจจุบันมีการนำสารพิษนี้มาใช้ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงรักษาตาเหล่ ตาเข ต่อมาจึงนำใช้กับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าจะลดลง และยังนำมาฉีดรักแร้ ฝ่ามือฝ่าเท้าในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก

             นพ.จัสทินัส เคอร์เนอร์ จึงสมควรรับชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง "สารพิษโบทูลินัม" ที่รู้จักกันดีในยุคนี้ เพราะเยอรมนีขึ้นชื่อเรื่องไส้กรอก และสารพิษตัวนี้ก็พบในอาหารไทยเหมือนกัน นั่นคือหน่อไม้บรรจุปี๊บ

             เล่ามาค่อนข้างยาว เพราะอยากให้รู้ภาพรวมของยาบางตัวนั้นเป็นผลขององค์ความรู้และงานวิจัยที่สะสมต่อเนื่องมานานนับ 200 ปี

ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของหมอชาวบ้านกับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม
โดย นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
www.doctor.or.th

อ้างอิงข้้อมูลจาก  http://www.vcharkarn.com/varticle/44377