วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฟิลิปส์ผุดหลังคาพลังแดด



แนวคิดในการนำแผงพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ มาใช้กับรถยนต์เป็นแนวคิดในอุดมคติของนักอนุ รักษ์สิ่งแวดล้อมที่ฟิลิป ปินส์ทำให้เกิดขึ้นจริงแล้ว

จากการร่วมมือกับยักษ์ใหญ่ด้านเคมีภัณฑ์ BASF เกิดเป็นหลังคารถที่เป็นทั้งแผงรับพลังแสงอาทิตย์ กระจกโปร่งที่ปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้าในตัวรถและให้แสงสว่างในตอนกลางคืน

หลังคาแผงพลังงานแสงอาทิตย์แบบ OLED จาก BASF จะเรืองแสงให้ความสว่างภายในรถเมื่อประตูเปิดหรือกดปุ่ม แต่เมื่อกดปิดจะสามารถมองทะลุเห็นทัศนียภาพภายนอก

ดร.เฟลิกซ์ หัวหน้าทีมด้าน OLED จาก BASF กล่าวว่า การผสมผสานดังกล่าวทำให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับพื้นที่เปิดโล่ง ขณะที่หลังคาพลังแดดจะชาร์จกระแสไฟฟ้าให้รถระหว่างวัน และให้แสงสว่างในเวลากลางคืน
อ้างอิงจาก http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdOREF5TURJMU5RPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1pMHdNaTB3TWc9PQ==

อังกฤษเจ๋งผลิตสบู่แม่เหล็ก

อังกฤษเจ๋งผลิตสบู่แม่เหล็ก





นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบริสตัลในอังกฤษ นำโดย ศ.จูเลียน อีสโท ประ สบความสำเร็จในการสังเคราะห์สบู่แม่เหล็กที่ขจัดน้ำมันรั่วในทะเลโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ได้เป็นครั้งแรกของโลก

สบู่แม่เหล็กดังกล่าวเกิดจากการนำเอาธาตุเหล็กเข้าไปร่วมทำปฏิกิริยาในกระบวนการสร้างสบู่จนสบู่ที่ได้มีเหล็กเป็นส่วนประกอบอยู่ในโมเลกุล จากนั้นนักวิจัยทดสอบเอาสบู่แม่เหล็กไปเทใส่ในหลอดทดลองที่มีน้ำกับน้ำมันผสมกัน ปรากฏว่าสบู่ละลายจับกับน้ำมันและเมื่อเอาแม่เหล็กไปจี้ สบู่ที่ลอยอยู่ในหลอดทดลองถูกแม่เหล็กดูดขึ้นมาได้

ความสำเร็จดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการแก้ปัญหาน้ำมันที่รั่วลงทะเล โดยเพียงแค่เอาสบู่แม่เหล็กแบบนี้ไปเทให้จับกับคราบน้ำมัน จากนั้นใช้แม่เหล็กดึงน้ำมันออกมากำจัดได้อย่างง่ายดาย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างสารตัวอื่นที่ถูกนักอนุรักษ์ต่อต้านในปัจจุบัน
อ้างอิงจาก http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNekF5TURJMU5RPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1pMHdNaTB3TWc9PQ==

ฮือฮา! นักวิทย์กีวีจับ “โคตรกุ้ง” ได้นอกชายฝั่งนิวซีแลนด์

หลักคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                
           ความสุขนั้นเกิดขึ้นมาจากสิ่งที่พอเพียงเท่านั้น พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ตีความกันใหญ่ ไปบรรลุธรรมข้อหนึ่งตอนบวชนี่เอง  คือ วันหนึ่งอยากฉันน้ำชา ก็เอาถ้วยชามาตั้ง กาน้ำร้อน กระติกน้ำร้อน เอาชาใส่ อาจารย์สอนอยู่คำเดียวบอกว่า เวลาบวชนี่ไม่ต้องสอนอะไร ระดับด็อกเตอร์ถือสติไว้เป็นหลักทำอะไรให้มีสติ ๓วนาตลอด ทำอะไรให้ภาวนา ภาวนาคือสตินั่นเอง สติเราก็จับอยู่ถ้วยน้ำชา แล้วเราก็เอาชาใส่ เอาน้ำร้อนเทใส่ กระรอก 2 ตัว กำลังวิ่งไล่ สติละจากน้ำชาที่เติมนั้น ไปจับอยู่ที่กระรอก เพราเป็นคนชอบสัตว์ ก็ดูกระรอกวิ่งไล่กันเพลิน เหลียวกลับไปอีกทีหนึ่งน้ำล้นถ้วยชาล้นถ้วยชาเสร็จ เปื้อนโต๊ะ ไหลลงไปเปื้อนเสื่อที่ข้างล่าง วิ่งไปหยิบสบงซึ่งซักเอาไว้แล้ว มาซับแล้วเอาสบงไปใส่กระป๋องเพื่อจะซักต่ออีก กะว่าจะใส่พรุ่งนี้เช้า เป็นอันว่าชวดแล้วใส่ไม่ได้แล้ว

           เมื่อกี้นี้ถ้าสติจับอยู่ น้ำเต็มแก้วแล้วเราหยุด หมายความว่าเราพอแล้ว เศรษฐกิจพอเพียง  คือเต็มศักยภาพของแก้วแล้วเราหยุดแล้ว พอแล้ว เมื่อกี้เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะทำอะไรเกินพอ  เกินพอเสร็จน้ำชานั้น มันหกล้นลงไป สภาพน้ำชายังคงอยู่ แต่เราจะก้มลง ดูดบนพื้นไหม เสียดาย มันเป็นน้ำชาที่เสียแล้ว ยังไม่พอมันทำให้โต๊ะ ซึ่งเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย ต้องเสียไปด้วยต้องเปื้อนไปด้วย ทำให้เสื่ออยู่ข้างล่างเสียไปด้วย ทำให้สบงที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย ต้องถูกนำมาซับ แล้วต้องซักใหม่ไปเสียด้วย เท่านี้พวกเรา คงจะพอเห็นบ้างแล้วนะครับ ทำอะไรเกินพอนั้น เป็นการเกินตัว และเกินความต้องการที่พระท่านบอก การทำอะไร ตั้งอยู่บนฐาน ความโลภมันทำลายหมดเลย ในตัวของมัน ก็ทำลาย  แล้วยังทำลายสิ่งรอบข้างทั่วไปหมด นั่นคือ วิกฤตเศรษฐกิจของเราที่เกิดขึ้นเมื่อ ๖ ปีที่แล้ว พังทลายหมด มันเหมือนสร้างตึกที่พังถล่มทลายที่โคราชนี่

           พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งบอกว่า เรานั่งอยู่ในห้องประชุม ท่านผู้ว่าฯ นั่งอยู่ในห้อง หรือเวลาเรากลับไปบ้าน เราอยู่บนบ้านได้ มันไม่พังทลายเพราะอะไร ท่านรับสั่งถาม ไม่พังทลายเพราะอะไร เพราะเสาหรือเพดานหรือเปล่า หรือพื้น ไม่ใช่ทั้งสิ้น มันอยู่ด้วยสิ่งสิ่งหนึ่ง ซึ่งเราเคยเห็น แต่หลังจากสักพักหนึ่ง เราไม่เห็นอีกแล้ว แล้วเราไม่นึกถึงเขาเลย สิ่งนั้นเราเรียกว่าอะไร เสาเข็ม รากฐาน ตอนปลูกบ้านทุกคนเห็นหมด วางเสาเอก ตึกนี้เริ่มสร้างก็เห็น แต่ละเสา จะต้องถูกคำนวณ อย่างแน่ชัดว่า จะแบกน้ำหนักเท่าไหร่ ใช่ไหมครับ ถ้าใส่เยอะเกินไป เท่ากับปฏิบัติการไม่ฉลาดนัก เพราะเอาเงิน ไปจมอยู่ใต้ดิน เมื่อจะสร้างหอประชุมแค่นี้ ทำไมต้องฝังเยอะแยะ ก็ต้องฝังให้พอเหมาะ ฝังน้อยเกินไป ก็อย่างโรงแรมที่นี่ ที่พังครืนลงมา เห็นไหมครับ ฐานรากจะต้องพอดีกับน้ำหนัก ที่จะแบกรับไว้ นั่นคือความหมายของเศรษฐกิจ ต้องปูรากฐานของชีวิตเสียก่อน และเมื่อฐานรากของชีวิตเกิดขึ้นแล้ว เราก็คอยขยับไปเรื่อยๆ ถ้าจะต่อเติมขึ้นมา ก็ต้องเสริมรากฐาน เป็นระยะๆไป
                                   
           เมื่อเราเกิดความร่ำรวยขึ้นมาโดยไม่มีรากฐานเพราะว่าฐานเงินยืมเขามา ฐานเทคโนโลยีซื้อเขามา ฐานคนเอาคนอื่น เข้ามาบริหาร วันใดวันหนึ่งตอนฟองสบู่แตก เขาเห็นเมืองไทยไม่น่าอยู่แล้ว จุกจิก จู้จี้คอรัปชั่นกินโกงฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้การดำเนินงาน ของเขาติดขัดทั้งปวง ต้นทุนเขาสูง ดังนั้นไปประเทศเวียดนามดีกว่า ไปประเทศจีนดีกว่า แล้วเราเหลืออะไร เหลือที่เราเรียกว่าฟองสบู่ ไปเจาะข้างในปรากฏว่า มีแต่อากาศ ไม่มีอะไรสักอย่าง

           จำได้ไหมเมื่อ ๖ ปีที่แล้ว เราพูดว่าไง ดีใจเวลามีรายงานการลงทุนเข้ามาอีกแสนล้านแล้ว มีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาตั้งโรงงาน มหึมาที่โคราช มีโรงงานนั้น โรงงานนี้ตั้งขึ้นมา ดีใจหอโตๆ ตึกใหญ่ๆ สร้างขึ้น สำนักงานใหญ่ๆ ตัวอาคารเยอะแยะ แต่พอฟองสบู่แตก วันนี้เราพูดเรื่องอะไร SME เล็กๆ ทำไมไม่พูดเหมือนตอนแรก มันโตจนกระทั่งแตกแล้ว พอแตกแล้ว ที่นี้ไม่เอาแล้ว เพิ่งรู้ตัว ว่าถนัดของเล็ก แปลกประหลาดไหม เจ็บตัวแล้วถึงฉลาด อย่างภาษาโบราณเขาว่า เห็นโลงแล้ว ยังไม่หลั่งน้ำตา จนกระทั่งโลงแตกแล้ว ไม่มีน้ำตาจะหลั่ง ตอนนี้เหือดแห้ง
                                
           สิ่งที่ผมพูดคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาให้เห็นเป็นบทเรียน พอ SME เสร็จแล้ว นึกถึกอะไร นึกถึงเกษตร ที่เททิ้งไป เริ่มกลับมาแล้ว ข้าว เราอยู่ได้เพราะข้าว ตอนนี้อยากจะเขกบาลนัก ตอนแรกไม่เคยคิดเลย กินเอากินเอา กินทิ้งกินขว้างด้วย พวกผู้ใหญ่ ในบ้าน ในเมืองจับดำนาให้หมด เกี่ยวข้าวให้หมด จะได้รู้ว่าแต่ละเม็ดที่อยู่ในจานนั้น มันเหนื่อยยากแค่ไหน ผมพูดเป็นประจำเลย โดนดำนาโดนไถนาเกี่ยวข้าวเป็นประจำอยู่แล้ว คงเห็นภาพปรากฏอยู่เรื่อยๆ ผมเป็นคนจังหวัดเพชรบุรี บ้านผมทำนาอยู่แล้ว โธ่ กว่าจะได้มาสักกำมือนี่นะ เหงื่อกาฬมันไหล เกี่ยวไม่เป็นเสียอีก เอ ทำไมคนอื่นเกี่ยวฉับๆ ชาวบ้านเขาไปยืนดูเราเกี่ยว หัวเราะกัน เราก็นึกเขาคงเชียร์เรา เกี่ยวใหญ่ เหงื่อกาฬโชกเลย พอเกี่ยวกันหมด เขาบอกอาจารย์ ทีหลังไม่ต้องเกี่ยวถึงโคนอย่างนั้นมันตัดยาก เกี่ยวแค่ครึ่งต้นก็พอ นี่เล่นโคนเลย โคนมันก็หนา นี่คือตัวอย่าง ของความเซ่อ แทนที่จะบอกเรา เสียทันที รอให้เกี่ยวเสร็จถึงบอก ถือเป็นบทเรียน รวบข้างบนง่ายกว่าตั้งเยอะ เพราะต้นมันนิ่มอยู่ นี่ทะลึ่งไปเกี่ยวตรงโคน ตอนนี้พอหันกลับมาเรื่องเกษตร แต่มันค่อนข้าง จะสายไปหรือเปล่า


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/41034

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ยิ้มเมื่อใด ก็สุขใจเมื่อนั้น

อย่าบอกนะว่าคุณกำลังเครียด ถ้าไม่ลองยิ้มเสียบ้าง ยิ้มเป็นภาษาสากลที่คนทุกชาติทุกภาษาสามารถใช้สื่อสารกันได้โดยไม่ต้องแปลความหมาย รอยยิ้มบนใบหน้าของเราก็เปรียบเสมือนอัญมณี ราคาแพงที่สามารนำมาประดับใบหน้าได้โดยไม่ต้องหาซื้อ และรอยยิ้มที่สดใสยังช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร ทำให้โลกสดใสขึ้นจนผู้อื่นที่อยู่รายรอบเกิดความไว้วางใจ อยากเข้ามาทำความรู้จักพูดคุยด้วย เพราะนั้นแสดงว่าเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี สนุกสนานร่างเริง เปิดเผย เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย จึงไม่แปลกที่ผู้ที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลาจะมีเสน่ห์และสามารถสร้างความประทับใจต่อผู้ที่พบเห็นได้ไม่แพ้การแต่งกายหรือมีเครื่องประดับหรูหราหลากสีสันเลยทีเดียว

              ในยุคที่ผู้คนเร่งรีบจนไม่มีเวลาแม้แต่จะหันมายิ้มให้กัน ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันรวมไปถึงการให้อภัยกันดูเหมือนจะเลือนราง และกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งไปแล้วในสังคมไทยเรา ลองสังเกตดูง่ายๆ จากรอบๆ สังคมรอบๆ ข้างเรานี่ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นที่ทำงานของเรานี่ อุปสรรคและปัญหาต่างๆ ในการทำงาน บางครั้งมันก็ไม่ได้เลยร้ายเกินไป กว่าที่เราและเพื่อนร่วมงานจะช่วยกันแก้ไขได้ แต่ด้วยความที่ต้องการเอาชนะกัน ไม่ยอมลดราให้แก่กันจึงทำให้เกิดการโต้แย้งที่รุนแรง จนอาจจะทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปในอนาคต ในทางกลับกันนั้นถ้าเราหันมายิ้มให้แก่กัน ค่อยๆ อธิบายเหตุผล และลำดับความคิด ช่วยกันแก้ปัญหา และเต็มใจยอมรับความบกพร้องของตนเอง และผู้อื่นอย่างจริงใจ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น เห็นไหมว่า การยิ้มแย้มทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ลดปัญหาความขัดแย้ง อุปสรรคและอคติต่างๆ ที่มีอยู่ให้หมดไปได้ สามารถประสานงานได้อย่างราบรื่น สังคมรอบตัวเราก็จะเต็มไปด้วยบรรยากาศดีๆ จิตใจสงบเยือกเย็น จะทำอะไรก็เกิดสติสัมปชัญญะความรู้สึกตัว ไม่หลงลืม รู้สึกตัวอยู่เสมอทุกขณะ ดังนั้นก็ยังไม่สายเกินไปถ้าจะหัดให้ตนเองยิ้ม ลองยิ้มให้กับตนเองก่อน แล้วเผื่อแผ่ไปให้คนรอบข้าง เท่านี้ความสุขใจก้จะเกิดขึ้นอย่าง่ายๆ โดยที่เราไม่ต้องไขว่คว้าให้ยากเย็นเลย
ยิ้มอย่างไรให้เกิดผลดี ?               • ยิ้มด้วยความจริงใจ มีแววตาสีหน้าที่อ่อนโยน ไม่ยิ้มเหมือนดูเสียดสีหรือเยาะเย้ยและยิ้มให้ถูกกาลเทศะ               • ยิ้มให้กำลังใจตนเองเสมอ เพื่อสร้างความสบายใจให้กับตนเอง มีแรงสู้กับทุกปัญหาที่เข้ามา              • ยิ้มทักทายและให้กำลังใจผู้อื่นอยู่เป็นประจำ ทักทาย พูดคุยอย่างสุขภาพแต่เป็นกันเองรู้จักที่จะพูดคำว่าขอโทษและไม่เป็นไรติดปากอยู่เสมอ
              เราสามารถยิ้มให้กับครอบครัว ยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงาน ยิ้มให้กับคนรักหรือแม้กระทั้งยิ้มให้กับตนเอง เพิ่อเป็นการเสริมสร้างวัฒนธรรมที่ดีในกรอยู่ร่วมกันในสังคม สร้างสังคมน่าอยู่ที่มีแต่รอยยิ้มและความสุข ให้สมกับที่เมืองไทยของเราเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มตลอดไป



หลากหลายเหตุผลที่คนควรยิ้ม

ยิ้มป้องกันโรคภัย
             
จากการวิจัยในแบบยิ้มๆ พบว่า การยิ้มทำใหสุขภาพร่างกายแข็งแรง ข่วยบำรุงสมอง สามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นจากอาการเจ็บป่วยเร็วขึ้นกว่าปกติเรพาะจิตใจเป็นสุข รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์จึงดีและช่วยให้มองโลกในแง่ดีขึ้น การยิ้มเป็นประจำช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด โดยร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟีนไปสมอง สร้างอารมณ์ให้แจ่มใสและยิ่งทำให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้น การยิ้มกว้างๆเพิ่มรอบย่นมุมปาก เป็นการเพิ่มรูปลักษณ์ด้านบวก นอกจากนี้ การยิ้มในเวลาที่เรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันยังช่วยเพิ่มความกล้าหาญในจิตใจด้วย ช่วยให้มีความกล้าและมีพลังในการที่จะชนะอุปสรรคต่างๆมากขึ้น หรือที่เรียกว่า ยิ้มได้เมื่อภัยมานั่นเอง
ยิ้มกับครอบครัว
              สำหรับคนที่นิยมชมชอบหยิบยื่นรอยยิ้มให้กันและกันนั้น จะช่วยให้บ้านเต็มไปด้วยบรรยากาศสดชื่นน่าอยู่ ปลอดโปร่ง ทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความรักความผูกพันเพิ่มขึ้น ถ้อยทีถ้อยอาศัยพร้อมที่จะร่วมเผชิญปัญหาและอุสรรคต่างๆด้วยกันเกิดเป็นความอบอุ่นใจ และมีความสุข รายยิ้มที่แจ่มใสจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดลดความบาดหมางและลดปัญหาต่างๆ ในครอบครัวให้น้เอยลง ส่งผลให้เต็กๆ ที่เติบโตมาในครอบครัวสุขสันต์นี้กลายเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมต่อไปอีกด้วย

ยิ้มสร้างมิตรภาพ
              คงไม่มีใครที่อยากเดินเข้าไปพูดคุยกับคนที่หน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา ลองหัดยิ้มแย้มแบบจริงใจให้เป็นนิสัยจะสามารถสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรูและทำให้เราน่าคบหามากยิ่งขึ้น จนอาจนำพามิตรภาพจากเพื่อนดีๆ มาสู้ตัวเราได้อย่างมากมาย



อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43630