
ในยุคที่ผู้คนเร่งรีบจนไม่มีเวลาแม้แต่จะหันมายิ้มให้กัน ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันรวมไปถึงการให้อภัยกันดูเหมือนจะเลือนราง และกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งไปแล้วในสังคมไทยเรา ลองสังเกตดูง่ายๆ จากรอบๆ สังคมรอบๆ ข้างเรานี่ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นที่ทำงานของเรานี่ อุปสรรคและปัญหาต่างๆ ในการทำงาน บางครั้งมันก็ไม่ได้เลยร้ายเกินไป กว่าที่เราและเพื่อนร่วมงานจะช่วยกันแก้ไขได้ แต่ด้วยความที่ต้องการเอาชนะกัน ไม่ยอมลดราให้แก่กันจึงทำให้เกิดการโต้แย้งที่รุนแรง จนอาจจะทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปในอนาคต ในทางกลับกันนั้นถ้าเราหันมายิ้มให้แก่กัน ค่อยๆ อธิบายเหตุผล และลำดับความคิด ช่วยกันแก้ปัญหา และเต็มใจยอมรับความบกพร้องของตนเอง และผู้อื่นอย่างจริงใจ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น เห็นไหมว่า การยิ้มแย้มทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ลดปัญหาความขัดแย้ง อุปสรรคและอคติต่างๆ ที่มีอยู่ให้หมดไปได้ สามารถประสานงานได้อย่างราบรื่น สังคมรอบตัวเราก็จะเต็มไปด้วยบรรยากาศดีๆ จิตใจสงบเยือกเย็น จะทำอะไรก็เกิดสติสัมปชัญญะความรู้สึกตัว ไม่หลงลืม รู้สึกตัวอยู่เสมอทุกขณะ ดังนั้นก็ยังไม่สายเกินไปถ้าจะหัดให้ตนเองยิ้ม ลองยิ้มให้กับตนเองก่อน แล้วเผื่อแผ่ไปให้คนรอบข้าง เท่านี้ความสุขใจก้จะเกิดขึ้นอย่าง่ายๆ โดยที่เราไม่ต้องไขว่คว้าให้ยากเย็นเลย
ยิ้มอย่างไรให้เกิดผลดี ? • ยิ้มด้วยความจริงใจ มีแววตาสีหน้าที่อ่อนโยน ไม่ยิ้มเหมือนดูเสียดสีหรือเยาะเย้ยและยิ้มให้ถูกกาลเทศะ • ยิ้มให้กำลังใจตนเองเสมอ เพื่อสร้างความสบายใจให้กับตนเอง มีแรงสู้กับทุกปัญหาที่เข้ามา • ยิ้มทักทายและให้กำลังใจผู้อื่นอยู่เป็นประจำ ทักทาย พูดคุยอย่างสุขภาพแต่เป็นกันเองรู้จักที่จะพูดคำว่าขอโทษและไม่เป็นไรติดปากอยู่เสมอ
เราสามารถยิ้มให้กับครอบครัว ยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงาน ยิ้มให้กับคนรักหรือแม้กระทั้งยิ้มให้กับตนเอง เพิ่อเป็นการเสริมสร้างวัฒนธรรมที่ดีในกรอยู่ร่วมกันในสังคม สร้างสังคมน่าอยู่ที่มีแต่รอยยิ้มและความสุข ให้สมกับที่เมืองไทยของเราเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มตลอดไป

หลากหลายเหตุผลที่คนควรยิ้ม
.gif)
.gif)
.gif)
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43630
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น