วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โทรศัพท์มือถือ"งอได้" เรื่องจริงอิงวิทยาศาสตร์ พบกันปี 2013


จะเป็นอย่างไร หากโทรศัพท์ของคุณ สามารถม้วนได้ ทำตกได้ หรือเผลอเหยียบได้ โดยไม่เกิดความเสียหายแม้แต่นิดเดียว ขณะที่นักวิจัยกำลังคิดค้นโทรศัพท์ต้นแบบ ท่ามกลางข่าวลือว่ามันอาจเผยโฉมให้เราได้เห็นภายในปีหน้านี้
ได้เกิดข่าวลือหนาหูว่าค่ายโทรศัพท์ต่างๆ กำลังซุ่มพัฒนา"โทรศัพท์งอได้"กันอย่างขะมักเขม่น ทั้งแอลจี ฟิลิปส์ ชาร์ป โซนี่ และโนเกีย ขณะที่มีรายงานแย้มออกมาว่า "ซัมซุง" ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่งของโลก อาจเป็นรายแรกที่เปิดตัวโทรศัพท์ชนิดนี้
ซัมซุงได้เริ่มพัฒนาสมาร์ทโฟน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า flexible OLED (Organic Light Emitting Diode) และมั่นใจว่ามันจะเป็นโทรศัพท์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลก
โฆษกซัมซุงเผยว่า หน้าจอของโทรศัพท์รุ่นนี้ สามารถงอได้ ม้วนได้ และที่สำคัญ "ใช้ได้จริง" รวมถึงยังรับประกันความทนทานของวัสดุที่นำมาผลิต ซึ่งเป็นพลาสติกที่มีความบางกว่า เบากว่า และยืดหยุ่นกว่าเทคโนโลยีแอลซีดีที่ใช้ในปัจจุบัน 
คอนเซ็ปต์การสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความยืดหยุ่น มีการริเริ่มตั้งแต่ในช่วงยุค 1960 เมื่อมีการสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขึ้น เมื่อปี 2005 ฟิลิปส์ได้สาธิตการทำงานของหน้าจอต้นแบบที่สามารถม้วนได้ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งโดดเด่นมากนัก กระทั่งปัจจุบันที่เทคโนโลยีดังกล่าวเริ่มกลับมาสู่กระแสอีกครั้ง
อุปกรณ์คินเดิลของอเมซอนรุ่นแรก ใช้หน้าจอที่ยืดหยุ่นได้ แต่ปัญหาเดียวของมันก็คืออุปกรณ์ต่างๆที่อยู่เบื้องหลังหน้าจอ จำเป็นต้องมีกลไกชิ้นส่วนสำหรับช่วยยึด และเช่นเดียวกับอุปกรณ์อี-รีดเดอร์อื่นๆที่ผลิตตามมา ซึ่งใช้นวัตกรรม "E Ink" (electrophoretic ink) ที่พัฒนาโดยบริษัท E Ink จากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีหน้าจอขาว-ดำ และทำงานโดยการสะท้อนแสงธรรมชาติ แทนที่จะผลิตด้วยตนเอง ทำให้เกิดภาพคล้ายกับการอ่านหนังสือในกระดาษจริง
Sri Peruvemba ผู้บริหาร E Ink เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีเช่นนี้ราว 30 ล้านเครื่อง  เครื่องที่เก่าที่สุดที่ยังใช้การได้ผลิตตั้งแต่ปี 2006 เขากล่าวว่า E Ink เหมาะกับโทรศัพท์ธรรมดา, นาฬิกาข้อมือ, สมาร์ทเครดิต การ์ด, ป้ายสัญลักษณ์ และอื่นๆ
ส่วนสาเหตุที่มันยังไม่ถูกนำมาพัฒนามาใช้ในโทรศัพท์มือถือแบบยืดหยุ่นก็เพราะมันมีต้นทุนค่อนข้างสูง เนื่องจากการผลิตอุปกรณ์ที่มีความยืดหยุ่นอย่างสมบูณณ์นั้น ทั้งส่วนระนาบฟรอนทัลและแบคฟรอนทัลจะต้องมีความยืดหยุ่นเสมอกัน เช่นเดียวกับแบตเตอรี ฝาเครื่อง รวมถึงหน้าจอสัมผัส และอุปกรณ์อื่นๆ
ด้านบริษัทแอลจี ดิสเพลย์จากเกาหลีใต้ ได้เริ่มผลิตอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีหน้าจอยืดหยุ่นได้แบบ E Ink บ้างแล้ว โดยโฆษกแอลจีเผยว่า เทคโนโลยีแบบนี้จะทำให้โทรศัพท์มีความทนทานเป็นพิเศษ เนื่องจากอุบัติเหตุจากการทำโทรศัพท์ตกเป็นเรื่องที่เกิดได้เสมอ รูปร่างที่บางและน้ำหนักที่เบาของมันจะก่อให้เกิดการพัฒนาการออกแบบโทรศัพท์ในอนาคต
ด้าน ศ.แอนเดรีย เฟอร์รารี จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ กำลังพัฒนาหน้าจอยืดหยุ่นได้สำหรับอนาคต โดยใช้กราฟีน ซึ่งมีการผลิตเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2004 โดยอังเดร เกอิม และคอนสแตนติน โนโวเซลอฟ สองนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์
ในแวดวงวิทยาศาสตร์ขนานนามกราฟีน ว่าเป็น "วัสดุมหัศจรรย์" หรืออัญรูป(allotrope) ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของคาร์บอนเช่นเดียวกันกับเพชรและกราไฟต์ แต่ กราฟีนนั้นจะประกอบขึ้นด้วยอะตอมของคาร์บอนที่เกาะกันเป็นรูปหกเหลี่ยม ซึ่ง กาะอยู่บนระนาบเดียวกันไปเรื่อยๆ จนมีลักษณะเป็นแผ่นที่มีความกว้างและความ ยาวคล้ายกับแผงลวดตาข่ายที่ใช้ทำกรงสัตว์ ซึ่งถึงแม้ว่ากราฟีนจะมีความแกร่งกว่าเพชรก็ตาม แต่มันก็สามรถม้วนหรือพับได้ด้วย นักวิจัยเชื่อว่า ในอนาคตกราฟีนอาจนำมาใช้ทดแทนซิลิโคนได้ ที่อาจปฏิวัติวงการอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่ในอนาคต

ศ.เฟอร์รารี เปิดเผยว่า เขาและคณะกำลังร่วมกันพัฒนาวัสดุทำหรับผลิตเป็นหน้าจอที่มีความโปร่งแสงและยืดยุ่นได้ ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นโทรศัพท์ แทบเล็ต โทรทัศน์ และแผงโซลาร์เซลที่มีความยืดหยุ่นได้  โดยปัจจุบันเขาทำงานร่วมกับโนเกีย อดีตเบอร์หนึ่งผู้ผลิตมือถือของโลกเพื่อผลิตวัสดุต้นแบบ  และเสริมว่า ซัมซุงมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีด้านนี้มาก เขากล่าวว่า กราฟีนจะช่วยเสริมและสนับสนุนให้การทำงานของโทรศัพท์ยืดหยุ่นที่ใช้เทคโนโลยี OLED มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากในทางทฤษฎีแล้ว แม้แต่แบคเคอรีของโทรศัพท์รุ่นนี้ก็สามารถผลิตจากกราฟีนได้เช่นกัน


มติชน
260544

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154715

พบปฏิกิริยาสำคัญที่อาจไขปริศนาดวงดาว


มาร์ค ฮอฟฟ์แมนน์ นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนอร์ธ ดาโกต้า สหรัฐอเมริกา และทีมงาน ได้ค้นพบอันตรกิริยาสำคัญที่เกิดขึ้นนอกโลก ที่อาจช่วยไขปริศนาอีกหลายข้อในเอกภพ
ฮอฟฟ์แมนน์ นักเคมีเชิงคำนวณ และ ทรีฟ เฮลเกเคอร์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวนอร์เวย์ พร้อมด้วย อี.ไอ.เทรลเกรน และ เค.ลันจ์ จากนอร์เวย์ ได้ค้นพบอันตรกิริยาระดับโมเลกุลที่วงการวิทยาศาสตร์เคยไม่เข้าใจมาเป็นเวลาหลายสิบปี และยังไม่ได้รับการไขปริศนามาก่อน
การค้นพบครั้งนี้อาจเปลี่ยนโฉมหน้าวงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการก่อตัวของสารประกอบไปเลยก็เป็นได้ และยังช่วยตอบคำถามที่ว่า สถานที่อย่างดาวแคระขาว (แก่นของดาวที่หนาแน่นเป็นพิเศษ ที่เป็นช่วงท้ายๆของชั่วชีวิตดาวฤกษ์ส่วนใหญ่) เป็นเช่นไร
"เราได้ค้นพบการเกิดพันธะเคมีแบบใหม่" ฮอฟฟ์แมนน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังเรื่องทฤษฎีและโมเดลคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการก่อตัวของสารประกอบเคมี กล่าว
"นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว แต่ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นนะ มันเป็นพันธะเคมีรูปแบบใหม่ ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์ยังไม่เคยพบมาก่อน"
ฮอฟฟ์แมนน์และทีมงานได้เขียนกฎทางเคมีใหม่เพื่อการอธิบายว่า ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นเป็นเช่นไร ซึ่งก็ช่วยตอบคำถามหลายข้อที่นักวิทยาศาสตร์เคยสงสัยกันมาเป็นอย่างดี เป็นต้นว่า ดวงดาวเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีวิวัฒนาการอย่างไร และดับไปอย่างไร
งานของทีมวิจัยนี้ยังบอกได้ด้วยว่า สารประกอบบางอย่างในห้วงอวกาศอันห่างไกลนั้นก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร การค้นพบนี้จึงได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Science แล้ว
"การค้นพบของเราช่วยไขปริศนาทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์เกี่ยวกับสเปกตรัมของดาวแคระขาว" ฮอฟฟ์แมนน์อธิบายผลงาน
"ดาวแคระขาวมีสเปกตรัมที่เราคิดว่าน่าจะเกิดจากไฮโดรเจนและฮีเลียมที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นสารโพลิเมอร์ ซึ่งแน่นอนว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกของเราด้วย"
"มันเป็นไปได้บนดาวแคระขาวเพราะว่า สนามแม่เหล็กบนดาวแคระขาวนั้นใหญ่กว่าที่เกิดขึ้นบนโลกหลายเท่าตัว"
ดาวแคระขาวที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือ ดาวซีรีอุส บี ซึ่งเป็นดาวฝาแฝดคู่กับดาวที่สว่างสุดบนท้องฟ้าของเรา คือ ดาวซีรีอุส เอ นั่นเอง ขนาดของดาวซีรีอุส บีนั้นพอๆกับดวงอาทิตย์ของเรา แต่มีความหนาแน่นสูงกว่ามาก โดยเฉลี่ยแล้วจะหนาแน่นถึง 1.7 ตันต่อลูกบาศก์เซนติเมตร หรือเทียบเท่ากับน้ำหนัก 3,000 ปอนด์อัดแน่นเข้าไปในกล่องขนาดเท่ากับก้อนกาแฟหนึ่งก้อน
ฮอฟฟ์แมนน์และทีมงานอธิบายว่า กระบวนการสร้างพันธะเคมีลักษณะนี้เกิดขึ้นเพราะสนามแม่เหล็กเข้มข้นเหนี่ยวนำ
"มีการคาดการณ์กันว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้น แต่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้มาก่อน จนกระทั่งทีมเราได้อธิบายกระบวนการเกิดได้ ซึ่งก็เป็นโครงสร้างเชิงทฤษฎีและยังมีวิธีการคำนวณที่บอกที่มาที่ไปได้"
บนโลกนั้น แม้แต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์การทหารก็สามารถสร้างสนามแม่เหล็กได้เพียง 1,000 เทสลา (ตู้เย็นหนึ่งตู้สร้างสนามแม่เหล็กได้ 1 ใน 1,000 ของหน่วยเทสลาเท่านั้น) แต่ดาวซีรีอุส บี นั้นมีสนามแม่เหล็กที่สูงถึง 200,000 - 400,000 เทสลาเลยทีเดียว ซึ่งมากพอที่จะทำให้อันตรกิริยาทางอิเล็กตรอนเปลี่ยนไปได้ โดยอันตรกิริยานี้เป็นพระเอกในวงการเคมีและวัสดุศาสตร์บนโลกอยู่แล้ว
นอกจากนี้ สนามแม่เหล็กที่หนาแน่นระดับนั้นจะเปลี่ยนวิธีการรวมตัวของอะตอม และสามารถเปลี่ยนวงการเคมีที่เราเคยรู้กันมาที่โลกไปได้ด้วย
"เราพบว่า ก่อนที่เราค้นพบเรื่องนี้นั้น ทุกอย่างเป็นเพียงทฤษฎีที่เขียนไว้บนกระดาษเท่านั้นว่า เอกภพน่าจะเป็นอย่างนี้ๆ แต่งานของเรา เช่นที่ดาวแคระขาว เราก็จำลองสนามแม่เหล็กขึ้นมาได้"
แล้วนักวิทยาศาสตร์รู้ได้อย่างไรว่ามันถูกต้อง?
"เราสร้างแบบจำลองเชิงคำนวณที่อธิบายทฤษฎีที่เราตั้งขึ้นมาได้ โดยยึดตามหลักการฟิสิกส์ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทุกที่ในเอกภพ" ฮอฟฟ์แมนน์ตอบ
และโมเดลทางคอมพิวเตอร์นี้ก็พร้อมเปิดให้นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ใช้เพื่อทดสอบแบบจำลองการสังเกตการณ์ท้องฟ้าได้แล้ว

อ้างอิง: University of North Dakota (2012, December 7). New chemical reaction could explain how stars form, evolve, and eventually die. ScienceDaily. Retrieved December 9, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/12/121207174415.htm
งานวิจัย: K. K. Lange, E. I. Tellgren, M. R. Hoffmann, T. Helgaker. A Paramagnetic Bonding Mechanism for Diatomics in Strong Magnetic Fields. Science, 2012; 337 (6092): 327 DOI: 10.1126/science.1219703

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154719

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พืชโตอย่างไรเมื่อไร้แรงโน้มถ่วง?


รากพืชบนโลกที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่า ตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงนั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์ลองนำพืชไปปลูกบนสถานีอวกาศ กลับพบว่า แนวคิดนี้ ผิดเสียแล้ว!
เป็นที่ทราบกันดีว่า พืชเติบโตโดยขึ้นกับปัจจัยกระตุ้นหลายๆอย่าง และแรงโน้มถ่วงก็เป็นหนึ่งในนั้น
รากพืชบนโลกนั้นมีพฤติกรรมที่เรียกว่า "การเลื้อย" และ "การชอนไช" ที่คาดว่าน่าจะเป็นพฤติกรรมที่ขึ้นกับแรงโน้มถ่วง
แต่อย่างไรก็ตาม จากการทดลองปลูกพืชตระกูล Arabidopsis บนสถานีอวกาศนานาชาติกลับพบว่า ทฤษฎีนี้ผิด โดยการค้นพบนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ BMC Plant Biology แล้ว โดยได้อธิบายว่า "การเลื้อย" และ "การชอนไช" ที่เกิดขึ้นบนสถานีอวกาศนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงแต่อย่างใด
ในรากพืชนั้น การเลื้อยเป็นชุดของการเปลี่ยนแปลงทิศทางการงอกของรากในลักษณะที่กระเพื่อมอย่างสม่ำเสมอในช่วงที่รากกำลังเติบโต โดยนักวิทยาศาสตร์คิดว่า น่าจะเกิดขึ้นเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวางในขณะหาอาหาร และขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงด้วย ส่วนการชอนไชนั้น เป็นการเติบโตของรากแบบบิดตัวเพื่อให้โตในทางดิ่งได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเป็นการตอบสนองของรากต่อทิศทางของแรงโน้มถ่วง และเป็นกลไกเดียวกันที่ก่อให้เกิดการเลื้อยตามมาด้วย จะเห็นได้ว่า นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่า แรงโน้มถ่วงเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการนี้ ทั้งๆที่ยังไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการเติบโตของพืชในลักษณะนี้เท่าไหร่นัก
เพื่อทดสอบการเติบโตของรากพืชเมื่อไม่มีแรงโน้มถ่วงนั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟอร์ลิดา สหรัฐอเมริกา ได้ทดลองปลูกพืชสองชนิดในตระกูล  Arabidopsis thaliana คือ Wassilewskija (WS) and Columbia (Col-0) บนสถานีอวกาศนานาชาติ
พืชดังกล่าวเติบโตในหน่วยปลูกพืชที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการเจริญของพืชดีอยู่แล้ว และยังได้ติดตั้งระบบกล้องที่จะจับภาพของพืชทุก 6 ชั่วโมง และส่งสัญญาณภาพในเวลาจริงจากสถานีอวกาศนานาชาติมายังศูนย์ควบคุมภาคพื้นดินที่ศูนย์อวกาศเคนเนดี เพื่อทำการวิเคราะห์ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการศึกษาการตอบสนองต่อแสงในทางลบของรากพืชไว้ด้วย แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจคือทิศทางการเติบโตของรากพืช
นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อไม่มีแรงโน้มถ่วง แต่มีแสง รากอวกาศยังคงตอบสนองต่อแสงในทางลบ (พยายามจะไม่โผล่มาพบแสง) และเติบโตในทิศทางที่ตรงข้ามกับทิศทางที่ยิงแสงไป เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นบนโลก แต่การเติบโตที่ซับซ้อนคือการเลื้อยและการชอนไชนั้นก็ยังเกิดขึ้นเช่นเดียวกับบนโลก โดยในขณะที่ยานโคจรรอบโลกอยู่นั้น ต้นไม้แต่ละต้นก็ยังมีลักษณะการชอนไชที่เหมือนกับบนโลกเลย
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อทีมวิจัยได้ศึกษาองศาของการเลื้อยที่เกิดขึ้นบนอวกาศ กลับพบว่าไม่ตรงกับที่เกิดขึ้นบนโลก โดยในอวกาศนั้น การเลื้อยจะบอบบางกว่า ซึ่งก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า การเลื้อยและการชอนไชนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่แยกจากกันอีกด้วย และที่สำคัญคือ แรงโน้มถ่วงไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเลื้อยและการชอนไชเลย
แอนนา-ลิซ่า พอล และโรเบิร์ต เฟิร์ล นักวิทยาศาสตร์ในการทดลองครั้งนี้ให้ความเห็นว่า "แม้ว่าพืชจะตอบสนองต่อสิ่งเร้า คือ แรงโน้มถ่วง ได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า แรงโน่มถ่วงไม่ได้จำเป็นเลยกับการเจริญของราก ดูเหมือนว่าจะเป็นปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆมากกว่าที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรมว่าด้วยการงอกจากเมล็ด และเพิ่มโอกาสในการหาน้ำและสารอาหารที่เพียงพอต่อการอยู่รอดของมัน"

อ้างอิง: BioMed Central Limited (2012, December 7). What happens to plant growth when you remove gravity?. ScienceDaily. Retrieved December 9, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/12/121206203148.htm
งานวิจัย: Anna-Lisa Paul, Claire E. Amalfitano and Robert J. Ferl. Plant growth strategies are remodelled by spaceflight. BMC Plant Biology, (in press) 2012

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154720

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เทคโนโลยีใหม่สร้างไอน้ำ โดยไม่ต้องต้มน้ำ


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพียงแค่มีน้ำเปล่า อนุภาคนาโน และแสงอาทิตย์ก็สามารถสร้างไอน้ำได้

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยไรซ์ ในรัฐเท็กซัส มีเทคโนโลยีเจ๋งๆ เกี่ยวกับอนุภาคนาโนมาสาธิตกลไกการทำให้ได้ไอน้ำร้อนในชั่ววินาที โดยใช้แสงอาทิตย์กับน้ำผสมอนุภาคนาโน

งานวิจัยนี้ไม่ได้เป็นการลดจุดเดือดของน้ำ แต่เป็นการใช้แสงอาทิตย์ทำให้เกิดไอน้ำ โดยเทคโนโลยีนี้อาศัยการทำงานของอนุภาคขนาดเล็กในระดับนาโนเมตรของคาร์บอน และซิลิกอนไดออกไซด์ที่เคลือบด้วยอนุภาคทอง ที่มีขนาด 1 ใน 10 ของเส้นผมมนุษย์ ใส่ลงไปในน้ำเปล่า

อนุภาคนาโนที่ขนาดเล็ก เล็กกว่าความยาวคลื่นของแสงนี้เอง ทำให้อนุภาคสามารถดูดกลืนพลังงานจากแสงแทนที่จะกระเจิงแสง (scatter) ดังนั้น เมื่อนำแก้วน้ำที่ใส่อนุภาคนาโนลงไป แล้วใช้เลนส์รวมแสงอาทิตย์ส่องผ่านแก้ว อนุภาคจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ร้อนเพียงพอที่จะทำให้น้ำที่อยู่ล้อมรอบอนุภาคกลายเป็นไอ


จากนั้นไอน้ำก็เริ่มเกิดเป็นฟองอากาศล้อมรอบอนุภาคนาโนไว้ ฟองอากาศนี้จะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันน้ำเย็น ทำให้อนุภาคนาโนร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นไอ เมื่อถึงจุดหนึ่งฟองอากาศที่ล้อมรอบอนุภาคนาโนจะมีขนาดใหญ่มากพอและลอยตัวขึ้นสู่ผิวหน้าของน้ำ เมื่อไอความร้อนถูกปล่อยไปในอากาศอนุภาคนาโนก็จะตกลงสู่ก้นภาชนะ และเริ่มดูดกลืนพลังงานแสงอาทิตย์จนร้อนอีกครั้ง เป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยๆ

ความที่อนุภาคนาโนมีขนาดเล็กมากและมีจำนวนมาก ดังนั้นด้วยวิธีการนี้ถ้าต้องการจำลองการเดือดของของเหลวใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องนำไปต้มด้วยวิธีเดิมๆ อีกต่อไป  ถือว่าเป็นการบริหารจัดการกระบวนการต้มในระดับจุลภาค อีกทั้งอนุภาคนาโนที่ใช้ก็ไม่มีสูญสลายจึงไม่ต้องเติมหรือเปลี่ยนบ่อยๆ อีกด้วย

เทคโนโลยีนี้ไม่ได้แปลกประหลาดหรือบ้าแต่อย่างใด แต่กลับเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจในการนำไปผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในอนาคต เนื่องจากการใช้อนุภาคนาโนและแสงอาทิตย์สามารถสร้างแรงดันไอน้ำได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานเชื้อเพลิงในการต้มน้ำให้เดือดเพื่อให้กลายเป็นไอ ดังนั้นเทคโนโลยีนึ้จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดต้นการผลิตกระแสไฟฟ้า ลดการใช้พลังงาน อีกทั้งอนุภาคนาโนที่นำมาใช้นี้ สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ไม่มีวันหมด จึงสามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ ในอนาคตถ้ามีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในจริง คงจะถือเป็นการปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมในระดับโลกเป็นแน่

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154696

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เปลือกกล้วย!เรื่องธรรมดาที่เข้าสู่อุตสาหกรรมตรวจจับสารพิษ


แม้กล้วยจะข้อด้อยคือมีน้ำน้อย แต่นักวิจัยที่บราซิลก็พบข้อดีของมันเพิ่มอีกอย่างหนึ่งแล้ว นั่นคือการทำให้สามารถตรวจจับโลหะอย่างตะกั่วและทองแดงได้ง่ายขึ้น แม้จะมีปริมาณน้อยก็ตาม นับเป็นเทคโนโลยีราคาถูกและสะอาดที่จะเกิดขึ้นในวงการอุตสาหกรรมในอนาคต

(stock.xchng: Karen Andrews)

การศึกษาครั้งใหม่ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Industrial & Engineering Chemistry Research ระบุว่า เปลือกกล้วยสับสามารถที่จะดึงและกักเก็บตะกั่วและทองแดงที่อยู่ในแม่น้ำในปริมาณมากได้ นับว่าทำให้สามารถตรวจจับโลหะเป็นพิษได้ง่ายขึ้น 20 เท่า จากอุปกรณ์ง่ายๆนี้

การค้นพบครั้งนี้นำไปสู่ความหวังใหม่ของมนุษย์โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มีคุณภาพของน้ำต่ำ แต่ขาดแคลนเทคโนโลยีใหม่ๆในการตรวจจับสารพิษตามแหล่งน้ำ แต่ความหวังใหม่ที่ว่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าให้รีบปลอกกล้วยแล้วรุมโยนสู่แหล่งน้ำที่สกปรกเพื่อให้น้ำกลับมาใสสะอาดแต่อย่างใด แต่เทคนิคนี้หมายถึงว่า ซักวันหนึ่งอาจจะมีการนำเรื่องนี้ไปพัฒนาต่อไปโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ได้เทคโนโลยีตรวจจับสารพิษที่ราคาถูกและไม่เป็นพิษเองต่อไป

"สิ่งที่น่าแปลกใจเกิดขึ้นตอนที่ผมค้นพบความจุสสารของมัน สูงกว่าวัสดุอื่นๆที่คล้ายกันแต่สร้างมาจากปฏิกิริยาเคมีอย่างซิลิกาดัดแปลงอลูมิน่า และเซลลูโลส" กุสตาโว่ คาสโตร นักเคมีวิเคราะห์ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่โบตูคาตู ประเทศบราซิลกล่าว

"วัสดุเหล่านี้เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการโดยมีเป้าหมายอย่างเดียวกันคือกำจัดเหล็กออกจากน้ำ  แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่ต้นทุนในปัจจุบันยังสูง และในช่วงที่มีการเตรียมสารก็ยังก่อให้เกิดสารพิษขึ้นเองด้วยซ้ำ"

โลหะหนักอย่างทองแดงและตะกั่วนั้นเป็นสารเจือปนที่พบมากที่สุดในวงการอุตสาหกรรมและการเกษตร โดยส่งผลเสียต่อมนุษย์ได้หลายอย่าง ตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน ไปจนถึงทำลายตับและสมอง แถมยังยากที่จะตรวจจับด้วยเมื่อมีโดสที่ต่ำ

นักวิจัยจึงได้พยายามค้นหาวิธีที่สะดวกขึ้นในการที่จะตรวจจับและนำโลหะเหล่านี้ออกจากน้ำ โดยนักวิจัยได้ลองหยิบเอาสารธรรมชาติมาใช้หลายอย่าง ตั้งแต่อ้อยมะพร้าวเปลือกแอปเปิล และอื่นๆ จนกระทั่งคาสโตรและทีมงานได้ค้นพบว่า สิ่งที่เหมาะที่สุดคือ เปลือกกล้วย ที่อุดมไปด้วยโปรตีน ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วในการดักจับโลหะ

นักวิจัยเริ่มต้นด้วยการนำน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเจือปนของทองแดงประจุบวกและตะกั่วไอออนมา 1 ฟลาสก์ จากนั้น ได้เติมเปลือกกล้วยอกแห้งลงไป จากนั้นคนให้เข้าใจ ผ่านไปไม่กี่นาที คาสโตรบอกว่า โลหะที่เจือปนในน้ำนั้นลดลงกว่าตอนก่อนทดลองอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่า เปลือกกล้วยนี้สามารถสร้างพันธะกับโลหะได้

เทคนิคนี้ยังใช้ได้ผลดีแม้ในน้ำที่ระดับ pH สูง ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อน้ำที่ไหลมาจากแหล่งอุตสาหกรรม โดยเปลือกกล้วยนั้นมีอำนาจในการดักจับมากกว่า 10 รอบของการนำกลับมาทดสอบใหม่ด้วยซ้ำ

"ถึงกระนั้น เปลือกกล้วยไม่สามารถใช้เพื่อดึงโลหะออกจากน้ำหรือทำให้สะอาดได้เลยตรงๆซะทีเดียว แต่มันจะมีความสามารถตรงที่จะทำให้โลหะและเหล็กเกาะกลุ่มกัน ทำให้ง่ายต่อการตรวจจับมากขึ้น" อาชอค แกดกิล วิศวกรสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ กล่าว

ตามระเบียบสำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกา ปริมาณตะกั่วสูงสุดในน้ำดื่มที่อนุญาตอยู่ที่ 15 ในพันล้านส่วน ระดับที่ต่ำนี้ทำให้เครื่องมือหลายประเภทเกิดข้อจำกัดเพราะไม่สามารถตรวจวัดปริมาณในระดับที่ต่ำนี้ได้ แต่ในการศึกษาครั้งใหม่นี้ เปลือกกล้วยได้เพิ่มความเข้มต้นของโลหะทั้งสองโดยใช้แฟกเตอร์เป็น 20 ทำให้ง่ายต่อการรับรู้ แม้จะใช้เครื่องมือธรรมดาๆเท่านั้น

"ใครก็ตามที่ใช้เครื่องมือที่ถือว่าไม่ไวเท่าไหร่ก็ยังพอใจกับการเพิ่มความเข้มข้นจากการเกาะกลุ่ม 20 ก้อนเข้าด้วยกัน อันเป็นสิ่งที่พวกเขาใฝ่หา" กาดกิลบอก

"นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงได้ พวกเขาจะใช้เรื่องนี้เป็นการเตรียมความเข้มต้นเริ่มต้น ดังนั้น จึงสามารถตรวจจับโลหะได้ในปริมาณมาก แม้จะใช้เครื่องมีที่มีข้อจำกัดในการตรวจจับมากก็ตาม"

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้กล้วยในการติดตามน้ำในโลกจริงนั้น กาดกิลก็ยังต้องการให้มีการทดสอบกล้วยหลายชนิด หลายสายพันธุ์มากกว่านี้ด้วย

"ผมอยากจะรู้ว่ากล้วยที่บังคลาเทศใช้ได้ผลแบบเดียวกับที่บราซิลหรือไม่ เคมีเป็นเรื่องที่พลิกไปพลิกมาได้นะ ผมก็อยากจะมั่นใจจริงๆว่าวิธีการวิเคราะห์นี้มันได้ผลจริง ก่อนที่จะนำไปปฏิบัติการจริงต่อไป"

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2011/03/24/3172832.htm

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/153653

ต้นไม้เรืองแสงอาจแทนที่เสาไฟเรืองแสงในอนาคต



ต้นไม้เรืองแสงนั้นมีความสามารถในการแทนที่เสาไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือก๊าซได้ ( รูปภาพจาก http://news.discovery.com )

แสงสีทองบนท้องถนนนั้นอาจจะถูกแทนที่ด้วยสีเขียวเรืองแสงจากใบไม้ในเร็ววันนี้ นักวิทยาศาสตร์จาก Academia Sinica และ National Cheng Kung University จากกรุงไทเปและไถหนานได้ทำการฝังอนุภาคนาโนเรื่องแสงที่คล้ายหอยเม่นสีทอง หรือที่เรียกกันว่า bio light emitting diodes ( bio LED ) ลงไปในใบไม้บนต้นไม้

อนุภาคนาโนใหม่นี้สามารถแทนที่ดวงไฟบนท้องถนนที่ให้พลังงานด้วยไฟฟ้าโดยไฟจากพลังงานชีวภาพที่ขจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศตลอด 24 ชั่วโมง

“ในอนาคตนั้น bio-LED สามารถที่จะถูกนำมาใช้ทำให้ต้นไม้ริมทางเรืองแสงตอนกลางคืนได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานดูดกลืนคาร์บอนไดออกไซด์เนื่องจากการเครื่องแสงของ bio-LED นั้นจะทำให้คลอโรพลาสต์เริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสง” Yen-Hsun Su กล่าวในการสัมภาษณ์กับรายการ Chemistry World

อนุภาคนาโนสีทองที่รูปร่างคล้ายห่อยเม่นนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนวัสดุที่ปกติจะดูดกลืนแสงนั้นให้เปล่งแสงออกมาแทน

คลอโรฟิลนั้นเป็นหยดสีจากการสังเคราะห์แสงที่มอบสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์แก่ใบไม้นั้นเป็นรู้กันอย่างกว้างขวางถึงความสามารถในการดูดกลืนแสดงในช่วงความยาวคลื่นช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตามในบางสถานการณ์เช่นเมื่อเจอกับแสงสีม่วงนั้น คลอโรฟิลจะสามารถส่องแสงด้วยตัวเองได้ ซึ่งเมื่อเผชิญกับแสงที่มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 400 นาโนเมตรนั้น คลอโรฟิลที่ปกติจะเป็นสีเขียวนั้นจะส่องแสงสีแดงออกมา

แต่แสงสีม่วงนั้นก็มักจะหายากเช่นกันโดยเฉพาะเวลากลางคืนซึ่งใบไม้เรืองแสงนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ขับขี่ยานพาหนะและคนเดินถนน นักวิทยาศาสตร์จำเป็นที่จะต้องมีแหล่งของแสงสีม่วง ซึ่งก็ได้พบมันในอนุภาคนาโนสีทองนี้

เมื่อแสงที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นและมองเห็นได้ด้วยสายตาของมนุษย์กระทบเข้ากับอนุภาคนาโนสีทองนั้นแล้ว อนุภาคเหล่านั้นก็จะตื่นตัวและเริ่มที่จะส่องแสงสีม่วงออกมา ซึ่งแสงดังกล่าวจะไปตกกระทบกับคลอโรฟิลอีกที ซึ่งจะทำให้คลอโรฟิลนั้นตื่นตัวและส่องแสงสีแดงออกมาเช่นกัน

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ตีพิมพ์งานของพวกเขาลงในวารสาร Nanoscale นั้นหวังว่าต้นไม้ที่ใส่อนุภาคนาโนสีทองนี้เข้าไปจะให้แสงเพียงพอที่จะแทนที่ไฟบนถนนที่ใช้ไฟฟ้าหรือก๊าซเป็นพลังงานได้

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นั้นผลยังถูกจำกัดอยู่แค่ตัวอย่างทดลองของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นพืชน้ำที่รู้จักกันในนาม Bacopa caroliniana เท่านั้น การขยายผลไปสู่พืชบนดินเช่นต้นที่ถูกปลูกเรียงกันอยู่บนถนนนั้นควรที่จะเป็นไปได้โดยการทำการค้นคว้าเพิ่มเติม จากคำกล่าวของ  Krishanu Ray ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์จาก University of Maryland 

“พวกมันสามารถใช้เป็นไฟบนท้องถนนได้อย่างแน่นอน” Ray กล่าว “แต่หนทางนั้นก็ยังอีกยาวไกล”





ที่มา : http://news.discovery.com/tech/glowing-trees-to-replace-glowing-lights.html

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/153427

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นักวิทย์ออสซี่คิดค้นกล้ามเนื้อขนาดนาโน



The discovery overcome the challenge of how to propel nanobots in the bloodstream (Source: Intelligent Polymer Research Institute)

 นักวิทยาศาสตร์เมืองออสซี่ได้ค้นพบ เส้นใยนาโนทิวบ์ที่บิดได้อย่างกล้ามเนื้อของงวงช้าง นำมาซึ่งความหวังในการสร้าง นาโนบอท หรือหุ่นยนต์ระดับนาโนที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ในวันข้างหน้า
 ศาสตราจารย์กีออฟ สปิงค์ส แห่งสถาบันวิจัยโพลิเมอร์อัจฉริยะ มหาวิทยาลัยวูลลองกอง ประเทศออสเตรเลีย และทีมงานได้รายงานการค้นพบนี้ในวารสารวิชาการ Science แล้ว
 "เราได้สร้างวัสดุชนิดใหม่ที่สามารถเกิดการหมุนได้เมื่อเราใส่กระแสไฟฟ้าไปให้" ศาสตราจารย์สปิงค์สอธิบาย
 "สิ่งที่เราได้ค้นพบนี้มีคุณสมบัติค่อนข้างจะคล้ายกับกล้ามเนื้องวงของช้าง หรือลิ้นของจิ้งจก หรือแม้แต่แฟลเจลล่าของแบคทีเรีย"
 เมื่อ 4 ปีก่อนนั้น ทีมนักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่สถาบันนาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคซัส ที่ดัลลัส สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มสร้างเส้นด้ายแบบละเอียด ด้วยคาร์บอนนาโนทิวบ์ทั้งอัน เป็นเส้นด้ายของคาร์บอนที่มีขนาดเล็กที่สามารถใช้กระแสไฟฟ้าในการควบคุมการบิดตัวได้ เพื่อการต่อยอดไปสร้างเส้นใยอัจฉริยะในอนาคต
 "ในงานวิจัยครั้งนั้น พวกเขาพยายามจะมองหาเส้นใยเอนกประสงค์ที่สามารถนำไปสร้างแบตเตอรี่ เสาอากาศ หรือนำไปใช้ในระบบป้องกันขีปนาวุธ"
 ยาวาด โฟโรกี หนึ่งในทีมนักวิจัยครั้งล่าสุดนี้ได้นำเส้นใยคาร์บอนนาโนทิวบ์ที่มีความยาวสั้นมาทำการทดลองและได้ค้นพบวัสดุที่หมุนได้เมื่อใส่กระแสไฟฟ้าเข้าไปให้ในขณะที่มันกำลังอยู่ในสารละลายอิเล็กโตรไลท์ (สารละลายที่เป็นตัวนำไฟฟ้า)
 ถ้าเรากลับขั้วของกระแสไฟฟ้า มันก็จะหมุนกลับไปอีกทิศทางหนึ่ง" ศาสตราจารย์สปิงค์สกล่าว
 โดยธรรมชาติแล้ว การบิดตัวของกล้ามเนื้ออย่างหนวดของปลาหมึกนั้นจะเกี่ยวข้องกับเส้นใยรูปร่างขดตัวของมัน ซึ่งเส้นใยนี้จะสามารถหมุนได้จากตัวแกนไร้กระดูกตรงกลางของตัวมัน
 สำหรับการบิดตัวของคาร์บอนนาโนทิวบ์ของนักวิจัยนั้น จะเกิดจากการที่วัสดุดังกล่าวได้รับกระแสไฟฟ้ามากขึ้น ผ่านทางการใส่กระแสไฟฟ้าลงไปในสารละลายอิเล็กโตรไลท์มากขึ้น
Professor Geoffrey M. Spinks ศาสตราจารย์สปิงค์สกล่าวว่า วัสดุนี้เป็นวัสดุที่หมุนได้เยอะมาก สามารถหมุนได้เร็วถึง 600 รอบต่อวินาที หรือและค่าการหมุนต่อเซนติเมตรของเส้นใยชนิดนี้คิดเป็น 1,000 เท่าของเส้นใยชนิดอื่นๆเลยทีเดียว
 ในวารสารวิชาการนั้น ศาสตราจารย์สปิงค์สและทีมงานได้ระบุว่า วัสดุดังกล่าวสามารถนำไปสร้างเป็นที่กวนสารที่เล็กระดับมิลลิเมตรได้ด้วย แต่หลังจากนี้ นักวิจัยก็หวังว่า วัสดุนี้จะสามารถนำไปสร้างเครื่องจักรที่เล็กระดับไมโครกันต่อไป
 "โดยทั่วไปแล้ว งานชิ้นนี้จะมีประโยชน์มากถ้าคุณกำลังต้องการการเคลื่อนไหวทางกลในพื้นที่ที่จำกัด เพราะการสร้างมอเตอร์แบบที่เคยทำๆมานั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากในพื้นที่แบบนี้"
 นักวิจัยยังกล่าวด้วยว่า วัสดุชนิดนี้สามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ เช่น เลนส์ซูมในโทรศัพท์มือถือ
 แต่สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้และมีประโยชน์มาก น่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาหุ่นยนต์ระดับนาโนที่จะนำส่งยา กำจัดสิ่งแปลกปลอม ต่อสู้กับมะเร็งในร่างกายของมนุษย์ ในอนาคตข้างหน้า เนื่องจากในปัจจุบันนั้นสิ่งที่เป็นเรื่องท้าทายการใช้หุ่นยนต์ระดับนาโนในร่างกายของมนุษย์ก็คือเรื่องที่ว่ามันจะเคลื่อนไหวในกระแสเลือดของมนุษย์ได้อย่างไร
 ศาสตราจารย์สปิงค์สบอกว่า กล้ามเนื้อเทียมจากการใช้วัสดุเหล่านี้น่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เช่น อาจจะสร้างเป็นแฟกเจลลา (ตัวโบกพัดเพื่อการเคลื่อนไหว เช่น ในแบคทีเรีย) ของหุ่นยนต์ที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในกระแสเลือดได้
 ปัจจุบัน นักวิจัยกลุ่มนี้กำลังทำวิจัยในเรื่องการใช้วัสดุในการฝังอุปกรณ์การแพทย์เข้าไปในกล้ามเนื้อประสาทหูคลอเคลีย ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ละเอียดอ่อนที่มีพื้นที่จำกัดมาก และเป้าหมายในระยะยาวของนักวิจัยก็คือการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ที่จะให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ได้ นอกจากนี้ยังจะพัฒนาปลอกแขนที่จะช่วยเคลื่อนไหวหรือแม้แต่นวดให้กับผู้สวมใส่ให้ได้
 ส่วนในเรื่องความปลอดภัยนั้น นักวิจัยทิ้งท้ายว่า "ก็ยังมีงานที่จะต้องทำอีกเยอะเพื่อจะตัดสินใจว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะปลอดภัยหรือไม่ หรือสถานการณ์แบบไหนที่มันจะปลอดภัย เช่นเดียวกับการค้นพบสารเคมีแบบอื่นๆนั่นแหละ"

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2011/10/14/3336939.htm

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154036

พบแล้ว!กาแลกซี่ที่ไกลจากโลกมากที่สุด


"เลนส์ซูม"จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและสปิตเซอร์ของนาซ่าทำให้นักดาราศาสตร์ค้นพบกาแลกซี่ที่น่าจะอยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา
กาแลกซี่ที่ไกลที่สุดนี้เป็นกระจุกขนาดเล็กๆที่มีขนาดเพียงเสี้ยวเล็กๆของกาแลกซี่ของเรา แต่มีอายุเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของอายุเอกภพของเรา (13.7 พันล้านปี) โดยนักดาราศาสตร์ตั้งชื่อชั่วคราวว่า MACS0647-JD และมีอายุหลังจากการระเบิดบิ๊กแบงเพียงแค่ 420 ล้านปีเท่านั้น โดยบิ๊กแบงคือสิ่งที่นักดาราศาสตร์เชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของเอกภพของเรา และแสงของกาแลกซี่ดังกล่าวต้องใช้เวลานานถึง 13.3 พันล้านปีจึงจะเดินทางมาถึงโลกของเรา
การค้นพบครั้งนี้เป็นการค้นพบชิ้นล่าสุดจากโปรแกรมที่ใช้"เลนส์ซูมธรรมชาติ"ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ทำให้ได้ข้อมูลของกาแลกซี่ที่อยู่ไกลหรือกาแลกซี่ในยุคแรก โดยกลุ่ม Cluster Lensing And Supernova Survey with Hubble (CLASH) เป็นกลุ่มการรวมตัวของนักดาราศาสตร์จากนานาชาติ นำโดย มาร์ค โพสต์แมน แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศที่บัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษากาแลกซี่ที่อยู่ห่างไกล สำหรับเทคนิคในการศึกษานั้น นักดาราศาสตร์ได้ใช้กระจุกกาแลกซี่ขนาดใหญ่เป็นกล้องโทรทรรศน์คอสมิคที่จะช่วยขยายกาแลกซี่ที่อยู่หลังกระจุกกาแลกซี่นั้นออกไปอีกนั้น ให้คนบนโลกสามารถเห็นได้ โดยเทคนิคนี้มีชื่อว่า เลนส์ความโน้มถ่วง นั่นเอง
แสงจาก MACS0647-JD ตลอดระยะทาง 8 พันล้านปีที่เดินทางมายังโลกนั้น ต้องผ่านกระจุกกาแกลซี่ MACS J0647+7015 ด้วย ซึ่งหากไม่มีกำลังขยายจากกระจุกกาแลกซี่ นักดาราศาสตร์คงไม่มีทางได้เห็นกาแลกซี่ที่อยู่ห่างไกลระดับนี้ และทีมวิจัยของ CLASH ก็เน้นการศึกษาโดยใช้เลนส์ความโน้มถ่วงนี้ในการศึกษาภาพขยายของ MACS0647-JD จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งจะได้ภาพที่ชัดเจนกว่าเดิมถึง 7-8 เท่า จนนักดาราศาสตร์ได้ข้อมูลมากจนถึงระดับที่มั่นใจมากขึ้น
"กระจุกกาแลกซี่นี้ทำในสิ่งที่กล้องโทรทรรศน์ที่คนสร้างขึ้นมาเองทำไม่ได้" โพสต์แมนอธิบาย "ถ้าไม่มีกำลังขยายที่ว่านี้ เราจะต้องใช้พลังของเฮอร์คิวลิสในการศึกษากาแลกซี่"
MACS0647-JD เป็นกาแลกซี่ที่เล็กมาก และอาจจะเป็นจุดแรกๆของการก่อตัวของกาแลกซี่ขนาดใหญ่อื่นๆอีก จากการวิเคราะห์ทำให้เราได้ทราบว่า กาแลกซี่นี้มีขนาดเล็กกว่า 600 ปีแสง และเมื่อวิเคราะห์จากกาแลกซี่ที่อยู่ใกล้ๆกันนั้น นักดาราศาสตร์คำนวณได้ว่า กาแลกซี่ธรรมดาๆที่อายุใกล้ๆกันน่าจะมีขนาดประมาณ 2,000 ปีแสง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว กาแลกซี่นี้จึงน่าจะเป็นกาแลกซี่ขนาดเล็กในยุคนั้น เหมือนที่กลุ่มเมฆแมคเจลแลนใหญ่ที่เป็นกาแลกซี่แคระที่อยู่ใกล้โลกเรามีขนาด 14,000 ปีแสง ขณะที่กาแลกซี่ทางช้างเผือกของเรามีขนาด 150,000 ปีแสง
"วัตถุชิ้นนี้น่าจะเป็นวัตถุต้นกำเนิดของกาแลกซี่อีกหลายๆกาแลกซี่" ดัน โค หนึ่งในทีมวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศอธิบาย "และอีก 13 พันล้านปีต่อมา ก็อาจจะมีการผนวกรวมกันกาแลกซี่หรือกับเศษกาแลกซี่อื่นๆอีกเป็นโหล หรือร้อยครั้ง หรือหลายพันครั้ง"
กาแลกซี่ชนิดนี้ถูกสังเกตการณ์ด้วยฟิลเตอร์ 17 ตัวในช่วงคลื่นใกล้อุลตราไวโอเล็ตไปจนถึงช่วงคลื่นใกล้อินฟราเรด และจากกล้องมุมกว้าง 3 ของฮับเบิล และกล้องโทรทรรศน์ล้ำสมัย จนกระทั่งได้ค้นพบกาแลกซี่ดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ และได้เก็บข้อมูลจากเลนส์ความโน้มถ่วงนี้เรื่อยมา
แม้อันที่จริงแล้ว กลุ่ม CLASH จะพบกาแลกซี่ที่คล้ายๆกันมากถึง 17 กาแลกซี่ แต่กาแลกซี่ดังกล่าวนี้เป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลที่สุด หรือ มีความถี่เบนไปทางสีแดงมากที่สุดนั่นเอง
"MACS0647-JD เป็นวัตถุที่แดงมาก ฉายแสงอยู่ในช่วงคลื่นทางแดงเท่านั้น ดังนั้น มันจึงอยู่ไกลมาก จึงเป็นการเลื่อนคลื่นไปในทางสีแดงที่สูงมาก หรือถ้าคิดอีกแบบหนึ่ง อาจจะเกิดจากการรวมตัวกันของสองกาแลกซี่ก้ได้ เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ทั้งหมดอยู่"
นอกจากนี้ ทีม CLASH ยังได้ถ่ายภาพของกาแลกซี่อีก 8 แห่งที่ได้มาจากเลนส์ความโน้มถ่วงจากกระจุกกาแลกซี่ จนกระทั่งคำนวณมวลของกระจุกกาแลกซี่ออกมากได้ และอาจนำไปสู่การระบุการมีอยู่ของสสารมืดในกระจุกกาแลกซี่ดังกล่าว
"นี่เป็นปริศนาใหญ่เลยล่ะ เราจะต้องระบุให้ได้ว่ามวลของกระจุกกาแลกซี่เป็นเท่าไหร่จึงจะทำให้เรามองเห็นแสงของกาแลกซี่ที่อยู่ด้านหลังที่เราสำรวจเจอแต่ละอันได้" โค กล่าวต่อ
โคและทีมงานใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาอย่างเป็นระบบเผื่อว่าจะมีคำอธิบายอื่นๆของกาแลกซี่ที่ค้นพบนี้ เพราะบางทีอาจจะเป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์สีน้ำตาล ดาวแดง ซากกาแลกซี่ ฝุ่นกาแลกซี่ หรือกาแลกซี่ระยะกลางๆก็เป็นไปได้ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ได้สรุปออกมาแล้วว่า เป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลออกไปแน่นอน โดยงานวิจัยนี้กำลังจะได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ The Astrophysical Journal ในเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ ภาพของกาแลกซี่จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ ยังทำให้นักดาราศาสตร์สามารถวิเคราะห์เพิ่มเติมได้อีก และได้ยืนยันว่า กาแลกซี่นี้อยู่ไกลจริง จากนี้ไป ทีมวิจัยวางแผนไว้ว่า จะใช้กล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์สังเกตการณ์กาแลกซี่ให้ลึกลงไปอีก จนมั่นใจได้ว่า อายุที่แท้จริงของกาแลกซี่นี้เป็นเท่าไหร่ และมีส่วนประกอบเป็นอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม MACS0647-JD ยังจัดว่าเป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลจนกล้องโทรทรรศน์ที่มีอยู่ในปัจจุบันสังเกตการณ์ได้ยาก และยากที่จะระบุแสงสีของกาแลกซี่ แต่โคก็มั่นใจว่า กาแลกซี่ที่ค้นพบนี้เป็นกาแลกซี่ที่อยู่ไกลที่สุดแล้ว
"ภาพของกาแลกซี่ที่ได้จากเลนส์ความโน้มถ่วงทั้งสามภาพออกมาค่อนข้างตรงกัน และอยู่ในตำแหน่งที่คุณสามารถคำนวณและคาดเดาออกมาได้ว่ามันจะอยู่ตำแหน่งนั้น โดยใช้โมเดลเลนส์ความโน้มถ่วงจากกระจุกกาแลกซี่ของเรา"
ก่อนหน้านี้ ทีม CLASH ก็เคยค้นพบกาแลกซี่ที่มีอายุขนาด 490 ล้านปีมาแล้ว โดยอายุมากกว่าเจ้าของสถิติปัจจุบันเพียงแค่ 70 ปีเท่าน้น และทีมวิจัยก็หวังว่า ต่อไป ฮับเบิลจะช่วยให้สามารถค้นพบกาแลกซี่จิ๋วนี้ได้มากขึ้นไปอีก

อ้างอิง: Space Telescope Science Institute (STScI) (2012, November 15). Candidate for most distant galaxy discovered. ScienceDaily. Retrieved November 17, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/11/121115141456.htm

อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154659

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

น้ำตาโลมา: น้ำตาที่ไม่ใช่น้ำตา


โลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ฉลาดและเป็นมิตรกับมนุษย์ เมื่อมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับโลมาจึงมักสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้พบเห็นอยู่เสมอ
เช่น ภาพ "น้ำตาโลมา..." "Tears of Dolphin" ที่โพสต์โดยเพจ "A call for Animal Rights" Walk Rally ใครเห็นก็คงสงสาร



           คำบรรยายภาพเป็นการกล่าวขอบพระคุณกรมทรัพยากรทะเล และชายฝั่ง ประเทศไทย ที่ช่วยโลมาหัวบาตร หลังเรียบ (Finless Porpoise) ที่เกยตื้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่ทราบด้วยเหตุอันใด ภาพนี้ถูกเผยแพร่ไปยังเว็บอื่นๆ โดยมีเนื้อหาว่า "เป็นภาพของปลาโลมาตัวหนึ่งถูกจับขึ้นมาบนบกเพื่อเตรียมขึ้นเขียงแล่เนื้อ มันจึงหลั่งน้ำตาออกมาอย่างน่าสงสารประหนึ่งว่ารู้ชะตากรรมของตัวเอง" และเนื้อหาที่สะเทือนอารมณ์ลักษณะนี้มักจะเผยแพร่ไปได้เร็วเสมอhttp://fb.kapook.com/pet-47436.html (แก้ไขแล้ว)
http://board.postjung.com/633241.html

           ที่จริงแล้วภาพโลมานี้เป็นเหตุการณ์ช่วยเหลือโลมาหลังเรียบเกยตื้น ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเมื่อพฤษภาคม ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการล่าโลมาแต่อย่างใดhttp://news.xinhuanet.com/society/2011-05/27/c_13897142.htm 
http://www.weather.com.cn/news/1343897.shtml

           และไหนๆ ก็มีข่าวเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลมามากขึ้นอีกนิดเกี่ยวกับ น้ำตาที่เห็นในภาพ
           โลมาและวาฬ จัดอยู่ในกลุ่ม Cetacean หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่วิวัฒนาการกลับไปอยู่ในทะเล (marine mammal) น้ำตาของสัตว์ในกลุ่มนี้มีลักษณะหนืดคล้ายครีม ทำหน้าที่เคลือบกระจกตา (Cornea) เพื่อป้องกันจากเกลือที่อยู่ในน้ำทะเล ต่างจากน้ำตาของคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่เป็นน้ำใสๆ
ฉะนั้นที่เห็นไหลเป็นหยดๆ ออกจาตาโลมาในภาพ ไม่น่าใช่น้ำตา
http://en.wikipedia.org/wiki/Cetacea#Vision.2C_hearing_and_echolocation
http://www.sarkanniemi.fi/akatemiat/dolphin_anatomy.html

          บทความหนึ่งในเพจ "A call for Animal Rights" Walk Rally ได้ระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "โลมาไม่เคยยิ้ม โลมาไม่มีกล้ามเนื้อสำหรับยิ้ม" อาจเพราะรูปทรงกะโหลกของโลมาทีทำให้รูปปากของมันคล้ายกับการยิ้มของคน คนจึงตัดสินจากมุมมองของตัวเองว่าโลมายิ้ม ทั้งที่จริงอาจไม่ใช่
          เช่นกัน การที่เราเห็นว่ามีน้ำเหลวๆ หยดออกมาจากตาโลมามันคล้ายกับการร้องไห้ของคน เราจึงคิดไปเองว่ามันร้องไห้

         สรุปคือ เราไม่สามารถเอาลักษณะภายนอกแบบที่เราคุ้นเคยไปตัดสินอารมณ์ความรู้สึกของสัตว์ โลมาอาจจะร้องไห้อยู่ก็ได้ แต่เราไม่สามารถบอกได้จากน้ำที่ไหลจากตา หรือโลมาอาจจะดีใจอยู่ก็ได้แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันดีใจโดยดูจากรอยยิ้มของมัน สัตว์อาจไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์แบบเดียวกับมนุษย์

         สุดท้าย ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้จ้องจะจับผิดหรือคัดค้านการรณรงค์เรื่องสิทธิ์ของสัตว์แต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่าการล่าโลมาก็ดูโหดร้ายน่าส่งสาร แต่ปล่อยให้อารมณ์ที่รุนแรงบดบัง ก็จะมองไม่เห็นความจริง การทราบข้อข้อเท็จจริง จะทำให้เราแสดงความเห็นใจหรือให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม

อย่าเพียงแค่...น้ำตาจะไหลขอแชร์นะครับ

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/114084/6/#P6

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

รา Geomyces destructans สาเหตุโรคจมูกสีขาวในค้างคาว


เป็นเชื้อราที่ชอบความเย็น (Psychrophilic fungi) ซึ่งเป็นเชื้อราที่ก่อสาเหตุทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ ชื่อว่าโรคจมูกสีขาว (White-Nose Syndrome หรือ WNS) ในค้างคาวทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา 


โรคดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ถ้ำโฮเวสเป็นสถานท่องเที่ยวยอดนิยม  มีการรายงานการตายของค้างคาวตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา พบว่า มีการตายของค้างคาวมากกว่า 1,000,000ตายจากโรคที่เกิดจากราชนิดนี้   โรคจมูกสีขาวจากการติดเชื้อ G. destructans ยังได้รับการรายงานอีกด้วยในยุโรปเช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิส ฮังการี สาธารณรัฐเช็กและสโลวาก

ภาพจาก http://www.news.wisc.edu/19956



ลักษณะและการเจริญเติบโตเป็นอย่างไร
?

พบว่าบนอาหารเลี้ยงเชื้อ  ราGeomyces destructans มีความแตกต่างจากราชนิดอื่น ๆในสกุลเดียวกัน คือ สปอร์มีรูปแบบโค้ง และ มีการเจริญเติบโตช้ามาก หรือ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 24องศาเซลเซียส โดย G. destructans มีช่วงการเจริญเติบโตที่ดีที่สุดประมาณ 4 ถึง 15 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิเดียวกันของการจำศีลของค้างคาวในสหรัฐอเมริกา

 

 

ลักษณะอาการของโรคเป็นอย่างไร?



เป็นลักษณะของกลุ่มราสร้างโครงสร้างคล้ายฝอยสีขาวมาปกคลุมรอบๆปาก จมูกค้างคาวและรวมทั้งรอยสีขาวที่กัดกินเนื้อบริเวณปีกอีกด้วย ทำให้หายใจไม่ได้และมีอาการระคายเคืองในค้างคาว รอยแผลที่ปีกอาจทำให้ค้างคาวไม่สามารถบินได้สะดวก อีกทั้งการตื่นบ่อยๆในระหว่างช่วงการจำศีลทำให้ค้างคาวสูญเสียพลังงานจำพวกไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายสูญเสียและทำให้พวกมันขาดอาหารและหนาวตายในที่สุด


 

การแพร่การจายของ G. destructans มาจากที่ไหน และอย่างไร?



โรคจมูกขาว จาก G. destructans ไม่เคยมีรายงานมาก่อนในทวีปอเมริกาเหนือก่อนที่มีการระบาดของโรคจมูกขาว ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยของการแพร่กระจายของโรคโดยการย้ายถิ่นฐานของค้างคาวที่ติดเชื้อระหว่างทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือโดยการบินข้ามมหาสมุทรของค้างคาว   แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าการแพร่การจายของ G. destructans อาจเกิดจากมนุษย์เป็นพาหะ ในลักษณะนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่เดินทางมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้ นำเชื้อรา ติดมา หรือ ปนเปื้อนเชื้อรา บนเสื้อผ้าหรือกระเป๋าเดินทาง และนำมาแพร่ขยาย ติดเชื้อสู่ค้างคาวดังกล่าว

 

ภาพจาก http://cavingnews.com/

อ้างอิง
 Blehert et al. 2009. Bat white-nose syndrome: an emerging fungal pathogen? Science, 323:227

Gargas, A, et al. 2009. Geomyces destructans sp. nov. associated with bat white-nose syndrome. Mycotaxon , 108:147-154

เรียบเรียง: Nattawut Boonyuen


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/115699

ขั้วน้ำแข็งดาวอังคารและความสัมพันธ์กับแสงอาทิตย์


บนขั้วโลกของดาวอังคารนั้นมีแผ่นของน้ำแข็งและฝุ่นซ้อนกันเป็นชั้นๆ บ่งบอกว่าสภาพอากาศที่ดาวอังคารที่ผ่านมานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันนิลส์ บอหร์ ได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชั้นของน้ำแข็งที่ขั้วเหนือของดาวอังคารกับความเปลี่ยนแปลงของแสงอาทิตย์ที่ส่องมาถึงดาวอังคาร จนได้ทราบสภาพอากาศที่ผ่านๆมาของดาวอังคาร โดยเชื่อว่า น้ำแข็งและฝุ่นที่สะสมตัวกันเป็นชั้นๆนั้น ได้รับอิทธิพลจากความเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์ที่ส่องมาถึงดาวอังคาร
ผลงานการค้นพบนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ lcarus แล้ว
บริเวณที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งบนขั้วของดาวอังคารนั้น น้ำแข็งมีความหนาหลายกิโลเมตรและประกอบไปด้วยชั้นของพืดน้ำแข็งและฝุ่นซ้อนกันหลายๆชั้น บริเวณดังกล่าวมีลักษณะเป็นเนินเขาและหุบเขาอย่างที่เราทราบมาหลายสิบปีแล้วนับตั้งแต่มียานอวกาศมาสำรวจขั้วของดาวอังคารครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า การที่บริเวณนี้ประกอบด้วยหลายๆชั้นซ้อนกัน น่าจะสะท้อนถึงสภาพอากาศบนดาวอังคารในอดีตที่ผ่านมาได้ เช่นเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์เคยวิเคราะห์บันทึกสภาพอากาศของโลกจากการวิเคราะห์แก่นน้ำแข็งบริเวณเกาะกรีนแลนด์และทวีแอนตาร์ติกา
เนื่องจากแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังดาวอังคารจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเนื่องจากแกนการหมุนรอบตัวเองของดาวอังคารเอียงไม่ต่างจากโลกมากนัก หลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พยายามจะเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์กับการก่อตัวของชั้นต่างๆบนดาวอังคาร โดยพยายามจะดูสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคาบๆในชั้นที่เราพอจะสังเกตการณ์ได้ นั่นก็คือ 500 เมตรบนสุด ซึ่งหากพบการเปลี่ยนแปลงเป็นคาบๆในลักษณะที่ว่า ก็แสดงว่าเราน่าจะบ่งบอกย้อนไปถึงการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์บนดาวองคารได้ แต่จนถึงก่อนหน้านี้ ยังไม่มีใครพบความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์กับชั้นบนพื้นผิวของดาวอังคารเลย
"ที่นี่ เราใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปจากเดิมเลย เราได้พัฒนาแบบจำลองที่จำลองได้ว่าชั้นแต่ะชั้นก่อตัวขึ้นมาอย่างไร โดยอ้างอิงจากกระบวนการทางกายภาพพื้นฐาน และแบบจำลองก็ได้แสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการสะสมตัวของน้ำแข็งและฝุ่น กับการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์จริง" คริสตีน ฮวิดเบิร์ด นักวิจัยฟิสิกส์น้ำแข็งที่ศูนย์ศึกษาน้ำแข็งและสภาพอากาศ สถาบันวิจัยนีลส์ บอหร์ มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เผย
ฮวิดเบิร์กอธิบายว่า ในแบบจำลองนั้น การก่อตัวของชั้นของผิวดาวอังคารได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์ และชั้นที่อุดมไปด้วยฝุ่นจะเกิดจาก 2 กระบวนการคือ
1: น้ำแข็งระเหยเป็นไอมากในช่วงหน้าร้อน (เมื่อแกนดาวอังคารชี้ลง) และ
2: มีความเปลี่ยนแปลงการสะสมของฝุ่นอันเนื่องมาจากแกนดาวอังคารเปลี่ยนลักษณะการชี้
แบบจำลองดังกล่าวจัดว่าเป็นแบบจำลองที่ดูง่าย แต่มีความเป็นไปได้ทางฟิสิกส์ และสามารถใช้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการก่อตัวของชั้นบนพื้นผิวของดาวอังคารได้
นักวิจัยสร้างกรอบทำงานให้กับแบบจำลองดังกล่าวเพื่อให้สามารถอธิบายการก่อตัวได้จริงเมื่อมีการสำรวจจริง และเมื่อทำการเปรียบเทียบชั้นของพื้นผิวจากแบบจำลอง กับการวัดพื้นผิวจริงๆจากภาพจากยานอวกาศความละเอียดสูงบนขั้วเหนือของดาวอังคาร นักวิจัยพบว่า แบบจำลองให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับความจริงอันซับซ้อนมากทีเดียว
"แบบจำลองนี้สามารถบอกถึงพื้นผิว 500 เมตรบนสุดของขั้วน้ำแข็งขั้วเหนือของดาวอังคารได้ เท่ากับว่า บ่งบอกสภาพอากาศได้ย้อนหลังถึง 1 ล้านปี และพบว่า อัตราการสะสามตัวโดยเฉลี่ยของน้ำแข็งและฝุ่นคือ 0.55 มิลลิเมตรต่อปี เนื่องจากว่าแต่ละชั้นและปริมาณการส่อแสงของดวงอาทิตย์มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น เราจึงบอกสภาพอากาศบนขั้วเหนือของดาวอังคารได้มากกว่า 1 ล้านปี" คริสตีน ฮวิดเบิร์ก ยืนยัน
แม้ว่าแบบจำลองนี้จะได้มาจากการเปรียบเทียบชั้นที่มีอยู่จริงในช่วงความลึก 500 เมตร แต่ก็เคยมีการศึกษาก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ชั้นน้ำแข็งทั้งหมดและโครงสร้างภายในสามารถอธิบายได้ด้วยแบบจำลองเพียงแค่ 500 เมตรบนสุด ดังนั้น แบบจำลองนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่า การสะสมตัวของน้ำแข็งและฝุ่นบนดาวอังคารในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านๆมาเป็นเช่นไร

อ้างอิง: University of Copenhagen (2012, September 6). Mars's dramatic climate variations are driven by the Sun. ScienceDaily. Retrieved September 8, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/09/120906112603.htm

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154527

พบดาวเคราะห์ในกระจุกดาวรวงผึ้ง


นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ที่อยู่ในกระจุกดาวเป็นครั้งแรก และยังเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ยืนยันว่า ดาวเคราะห์สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่มีดาวฤกษ์อยู่มากๆ
แม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่เหมาะสมกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แต่นักดาราศาสตร์จินตนาการว่า ท้องฟ้าของดาวเคราะห์ดวงนี้ต้องมีดวงดาวมากกว่าที่เราเห็นจากบนโลกแน่นอน
ดาวเคราะห์ดวงนี้มีลักษณะคล้ายกับดาวพฤหัสร้อนขนาดยักษ์ มีมวลมาก และอุดมไปด้วยแก๊สที่กำลังเดือดเพราะโคจรอยู่ใกล้ๆดาวแม่ด้วยคาบที่สั้น แต่ละดวงนี้โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่ลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ในกระจุกดาวรวงผึ้ง หรือกระจุกดาว Praesepe อันเป็นกระจุกดาวที่มีดาวฤกษ์อยู่ประมาณ 1,000 ดวง
กระจุกดาวรวงผึ้ง เป็นกระจุกดาวเปิด คือ กระจุกดาวที่ดาวแต่ละดวงเกิดในเวลาใกล้เคียงกันและมาจากกลุ่มก้อนเมฆเดียวกัน ดังนั้น ดาวฤกษ์แต่ละดวงจึงมีองค์ประกอบทางเคมีที่คล้ายๆกัน กระจุกดาวจะไม่เหมือนกับดาวแบบอื่นๆเพราะหลังจากเกิดแล้วจะไม่กระจายตัวกันออกไป แต่ยังเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันด้วยแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน
"เราตรวจพบดาวเคราะห์มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว และก็มีความหลากหลายมากขึ้น อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุดขั้วมากขึ้น อย่างตอนนี้ก็กระจุกดาวที่ดาวอยู่ใกล้ๆกัน" มาริโอ อาร์. เปเรซ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในโครงการค้นหาจุดกำเนิดระบบสุริยะขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐ หรือนาซ่า กล่าว
"กาแลกซี่ของเรามีกระจุกดาวเปิดแบบนี้พันกว่าแห่ง ซึ่งก็มีศักยภาพทางฟิสิกส์มากพอที่จะก่อให้เกิดดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มากมาย"
ดาวเคราะห์ในกระจุกดาวรวงผึ้ง สองดวงนี้มีชื่อว่า Pr0201b และ Pr0211b โดยที่มีชื่อตามหลังว่า b นั้นเป็นมาตรฐานการตั้งชื่อตามการรวมตัวของดาวเคราะห์
"นี่เป็นดาวเคราะห์แบบ b สองดวงแรกในกระจุกดาวรวงผึ้ง" แซม ควินน์ นักศึกษาปริญญาโทด้านดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอร์เจียสเตท มลรัฐแอตแลนตา สหรัฐอเมริกา และผู้แต่งบทความนี้กล่าว โดยบทความนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Astrophysical Journal Letters แล้ว
ควินน์และทีมงานของเขา โดยความร่วมมือกับเดวิด ลาแธม ที่ศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาเวิร์ด-สมิธโซเนียน ค้นพบดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ทิลลิงฮาสต์ ขนาดหน้ากล้อง 1.5 เมตรที่ศูนย์สังเกตการณ์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์เฟรด ลอว์เรนซ์ของศูนย์ฮาเวิร์ด-สมิธโซเนียน ในอมาโด มลรัฐแอริโซนา เพื่อวัดการโคลงเคลงของแรงโน้มถ่วงขนาดเล็กๆที่เกิดจากดาวเคราะห์ที่กำลังโคจรรอบดาวแม่อยู่นี้ โดยการค้นพบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบกระจุกดาวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการค้นหาครั้งนี้พบแต่ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ยักษ์ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดาวเคราะห์มาโคจรรอบดาวฤกษ์ที่คล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ของเรา
"นี่เป็นปริศนาข้อใหญ่ของนักล่าดาวเคราะห์" ควินน์บอก "เรารู้ว่าดาวฤกษ์ส่วนใหญ่มักจะก่อตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมที่คล้ายๆกับเนบิวลาโอไรออน บางที สภาพแวดล้อมแบบนี้ก็เหมาะกับการก่อตัวของดาวเคราะห์ และอย่างน้อยที่สุด กระจุกดาวที่มีดาวฤกษ์ที่คล้ายกับดวงอาทิตย์แบบนี้ก็น่าจะมีดาวเคราะห์บ้างนะ และในที่สุด เราก็ค้นพบ"
ผลการศึกษาครั้งนี้ยังเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักทฤษฎีที่พยายามจะเข้าใจดาวพฤหัสร้อนที่โคจรใกล้กับดาวแม่มากๆด้วย โดยทฤษฎีส่วนใหญ่นั้นจะใช้ได้กับดาวพฤหัสร้อนที่เย็นกว่านี้และไกลจากดาวแม่กว่านี้
"อายุที่ถือว่าน้อยสำหรับกระจุกดาวรวงผึ้ง นั้นทำให้ดาวเคราะห์ที่ว่าเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่อายุน้อยที่สุด" รัสเซล ไวท์ นักวิทยาศาสตร์แห่งโครงการศึกษาจุดกำเนิดระบบสุริยะ ของนาซ่ากล่าว "และนี่ก็สำคัญเพราะว่ามันคือสถานการณ์ที่ดาวเคราะห์ยักษ์โคจรเข้าไปซึ่งเราก็อยากจะรู้ว่าเร็วเพียงใด และการรู้ว่าเข้าไปเร็วเพียงใดนั้นคือก้าวแรกที่จะศึกษาว่าดาวเคราะห์เคลื่อนที่เข้าไปใกล้ดาวแม่อย่างไร"
นักวิทยาศาสตร์ยังชี้ด้วยว่า กระจุกดาวรวงผึ้ง มีโลหะอยู่มาก ดังนั้น ดาวหลายๆดวงในกระจุกดาวรวงผึ้ง จึงมีธาตุหนักเช่นเหล็กมากกว่าที่ดวงอาทิตย์ของเรามี
"การค้นพบดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ๆดาวฤกษ์เป็นการบอกว่า โลหะเหล่านี้เป็นเหมือนปุ๋ยของดาวเคราะห์ ซึ่งหมายถึงว่า ดาวเคราะห์แก๊สจะอุดมไปด้วยธาตุมากมาย ผลการศึกษาของเราก็ชี้ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในกระจุกดาวได้เช่นกัน"

อ้างอิง: NASA/Jet Propulsion Laboratory (2012, September 14). First planets found around sun-like stars in a cluster. ScienceDaily. Retrieved September 16, 2012, from http://www.sciencedaily.com­ /releases/2012/09/120914133446.htm

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154550

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

โรคประหลาด'เล็บ'ผุดทุกรูขุมขน


ปัจจุบันเกิดโรคมากมายให้ต้องระมัดระวังกัน เพราะมีโรคแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างนึกไม่ถึง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนจำเป็นต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทและรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้สามารถต่อสู้กับโรคต่างๆได้ หรือเพื่อให้ "ทำใจ" ได้หากโชคร้ายอย่างไม่คาดฝัน ดังกรณีสาวน้อยชาวอเมริกันผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่งที่ต้องตกอยู่ในฝันร้าย เมื่อปฏิกิริยาภูมิแพ้ทำให้เธอกลายเป็น "โรคประหลาด" มี "เล็บ" หรือขนแข็งขึ้นแทบทุกรูขุมขน ซึ่งแพทย์จนปัญญาที่จะรักษาให้หายได้


          โรคภูมิแพ้มีหลายอย่าง เช่น แพ้นมวัว แพ้อาหารทะเล หรือแพ้ละอองเกสรดอกไม้ ซึ่งต้องคอยระมัดระวังการบริโภคเพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เป็นอันตราย สำหรับสาวน้อยชานีนา ไอซอม ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซีของสหรัฐ มีความโชคร้ายที่แตกต่างไป โดยต้องทิ้งอนาคตนักศึกษาใหม่ในรั้วมหา วิทยาลัยมาอยู่ในสภาพเหมือนตกนรกทั้งเป็นเพราะอาการประหลาด


          เหตุเกิดขึ้นเมื่อปี 2009 เมื่อไอซอมได้รับ ยาสเตียรอยด์ ตามแพทย์สั่งเพื่อรักษาโรคหืดกำเริบ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเธอก็มีอาการเหมือนแพ้ยาจนคันคะเยอไปทั้งตัว ก่อนจะตามมาด้วยตุ่มดำ ๆ ขึ้นเต็มขาทั้ง 2 ข้างที่แย่ไปกว่านั้นคือมีปุ่มและขนแข็งขึ้นตามรูขุมขนทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำตัว และศีรษะ จนผมร่วงต้องสวมวิกแทน ซึ่งภายหลังแพทย์ในบัลติมอร์ตรวจสอบพบว่าแท้จริงแล้วคือ "เล็บ" ดี ๆ นี่เอง ซึ่งจะงอกขึ้นทุกที่แทน "ผมหรือขน" เรียกว่าผมหรือขนงอกที่ใดจะมีเล็บโผล่ขึ้นมาแทน โดยมีการผลิตเซลล์ผิวหนังในต่อมผมมากกว่าปรกติถึง 12 เท่าตัว


          ขณะที่ร่างกายของเธอก็อ่อนแออ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ ทำให้เธอใช้ชีวิตประจำวันอย่างยากลำบาก หมดเรี่ยวแรงเดินเหินและทำกิจกรรมต่างๆ สุดท้ายต้องมีชีวิตอยู่บนเตียง

          ที่ผ่านมาแพทย์พยายามช่วยรักษาสารพัดวิธี ตั้งแต่การรักษาแผลพุพองไปจนถึงให้ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcas  แต่ไม่ได้ผล และไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ โดยเชื่อว่าไอซอมน่าจะเป็นรายแรกและรายเดียวของโลกที่ป่วยด้วยอาการประหลาดนี้


          ในปี 2011 ไอซอมเข้ารับการรักษากับแพทย์ในบัลติมอร์ผู้ค้นพบว่าสิ่งที่โผล่จากรูขุมขนของเธอคือเล็บ ซึ่งได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ยังไม่ได้คำตอบว่าเกิดจากอะไร และยังต้องค้นหา คำตอบต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีอยู่บ้างที่แพทย์สามารถควบ คุมอาการต่างๆของเธอได้แล้ว ทำให้เธอสามารถลุกขึ้นนั่งและเดินได้ด้วยตัวเองเป็นบางครั้ง และคงต้องสู้ต่อไปตราบที่ยังมีลมหายใจ

         นอกจากนี้เธอยังตั้ง มูลนิธิ S.A.I.Foundation ขึ้นเพื่อระดมทุนช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคของตัวเอง เนื่องจากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ครอบครัวอย่างมาก และยังมุ่งช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้รายอื่น ๆ ด้วย หวังว่ากรณีของไอซอมน่าจะเป็นตัวอย่างที่ช่วยให้คุณผู้อ่านใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทได้บ้าง


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44059

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ แต่ไม่ใช่เอดส์


         

           นักวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ หรือ NIH ของสหรัฐ เผยแพร่รายงานการวิจัยลงในเวบไซต์ของวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ระบุว่า โรคใหม่คือ  โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองในวัยผู้ใหญ่ หรือ อดัลต์ ออนเซ็ต อิมมูโนดีเฟียนซี ซินโดรม (adult-onset immunodeficiency syndrome)  ผู้ป่วยจะมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค และจะมีอาการป่วยคล้ายกับโรคเอดส์ แม้ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีก็ตาม โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คน ไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และมักเกิดในผู้ใหญ่มีอายุตั้งแต่เกือบ 50 ปีขึ้นไป

           ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยกว่า 200 คนที่ทำการศึกษา จะสร้างสารที่เรียกว่าแอนตี้บอดี้ทำลายตัวเอง ขึ้นมาปิดกั้นอินเตอร์เฟอรอน แกมมา สารโปรตีนในร่างกายที่จะช่วยยับยั้งการติดเชื้อต่าง ๆ ทำให้ร่างกายสามารถติดเชื้อไวรัส รา ปรสิต และโดยเฉพาะแบคทีเรียได้ง่าย ทำให้เชื่อว่าจะสามารถหาทางรักษาโรคนี้ได้ด้วยการพุ่งเป้าไปที่เซลล์ที่ผลิตแอนตี้บอดี้ทำลายตัวเอง (คมชัดลึกออนไลน์ 30 สิงหาคม 2555)


           โรคประหลาดคล้ายเอดส์  เป็นโรคที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี  พบมานับ 10 ปี   เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มมัยโคแบคทีเรีย การติดเชื้อราที่อาการรุนแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการไข้เรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหลายแห่ง ร่วมกับปอดอักเสบ ฝีตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบเป็นหนอง 
           โรคดังกล่าว ไม่ใช่โรคติดต่อ พบไม่บ่อย และไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติเหมือนอย่างโรคเอดส์ที่รู้ว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไม่ได้เกิดจากรับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันต่าง ๆ  โรคนี้พบมากในชาวเอเชียรวมทั้งคนไทย  มักเกิดในผู้ใหญ่อายุเฉลี่ย 40-50 ปี


          การรักษาผู้ป่วยในปัจจุบัน เป็นการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยยาต้านจุลชีพ ผู้ป่วยอาจมีการดำเนินโรคแตกต่างกัน การรักษาขณะนี้ ทำให้โรคติดเชื้อฉวยโอกาสสงบ แต่อาจมีการกำเริบหรือพบการติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆเป็นครั้งคราว
         ขณะนี้คณะผู้วิจัยซึ่งเป็นแพทย์โรคติดเชื้อจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะผู้วิจัยจากสถาบันสุขภาพอเมริกา ได้ทำการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการสร้างสารแอนติบอดีต่อสารอินเตอร์เฟอรอนแกมม่า ทำให้ภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ ดังกล่าวผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาสเหล่านั้น ซึ่งขั้นต่อไปคณะผู้วิจัยกำลังวางวิจัยเพื่อให้รู้สาเหตุการก่อโรค เพื่อจะได้วางแผนการรักษาโรคนี้ให้หายขาด


         ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรมารับการตรวจตามขั้นตอนจากแพทย์โรคติดเชื้อ  เพราะการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องแม้ไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ


ขอบคุณข้อมูลจาก  ศ.พญ. ยุพิน ศุพุทธมงคล  
ภาควิชาอายุรศาสตร์
Faculty of 
Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44064

ใช้ยาปฏิชีวนะกับเด็ก-ระวังทำให้เป็นโรคอ้วน


งานวิจัยล่าสุดพบว่า หากให้ยาปฏิชีวนะกับเด็กอายุไม่ถึง 6 เดือน อาจะทำให้เด็กเป็นโรคอ้วนในภายหลังได้
การศึกษาครั้งนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ International Journal of Obesity แล้ว โดยเป็นครั้งแรกที่ได้มีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะกับมวลน้ำหนักของร่างกายเริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์
"โดยปกติแล้ว เราจะคิดว่าโรคอ้วนจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้จักควบคุมอาหารหรือไม่ออกกำลังกาย แต่ยิ่งศึกษามากขึ้น เราพบว่ามันมีอะไรซับซ้อนยิ่งกว่านั้น" ดร.ลีโอนาร์โด ทราซานด์ แห่งวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์คเผย
"จุลินทรีย์ในลำไส้ของเรามีส่วนสำคัญในการดูดซับแคลอรี และจุลินทรีย์เหล่านี้ก็หวั่นไหวกับยาปฏิชีวนะโดยเฉพาะในช่วงที่อายุยังน้อย ซึ่งก็อาจจะทำให้แบคทีเรียเหล่านั้นตายได้ ส่งผลต่อการดูดซับสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย"
ก่อนหน้านี้ นักวิจัยทราบมาว่า เมื่อเซลล์จุลินทรีย์ในร่างกายหายไปล้านล้านตัว ก็ทำให้เกิดโรคอ้วน ลำไส้ติดเชื้อ หืด และอาการอื่นๆ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์กันโดยตรงถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้น
นักวิจัยได้ประเมินการใช้ยาปฏิชีวนาในกลุ่มเด็ก 11,532 คนที่เกิดใน Avon ประเทศอังกฤษ ในช่วงปี 1991 และ 1992 โดยนักวิจัยได้ติดตามดูผลการตรวจสุขภาพและพัฒนาการของร่างกายในระยะยาว
เมื่อศึกษาดูความสัมพันธ์ระหว่างมวลของร่างกายในช่วง 7 ปีแรกและการใช้ยาปฏิชีวนะในช่วง 2 ปีแรก นักวิจัยพบว่า เด็กที่ใช้ยาปฏิชีวนาในช่วง 5 เดือนแรกของชีวิตจะมีน้ำหนักมากกว่าเด็กที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ
แต่เด็กที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงตั้งแต่ 10-20 เดือนกับกลุ่มที่ไม่ได้รับนั้น พบว่าน้ำหนักไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่กลุ่มที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงก่อนจะอายุครบ 38 เดือนก็พบว่ามีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนมากขึ้นถึง 22 เปอร์เซ็นต์
นับว่าเรื่องของเวลาที่รับยามีผลอย่างมาก และเด็กที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงอายุตั้งแต่ 6-14 เดือนนั้นไม่ได้มีสัญญาณว่าจะมีน้ำหนักเยอะในภายหลัง
และเด็กที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงอายุตั้งแต่ 15-23 เดือน ก็มีน้ำหนักมากกว่าปกติเล็กน้อยเมื่ออายุได้ 7 ปี แต่เมื่อโตขึ้นไปอีกก็ไม่ได้มีการพบว่ามีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วน
งานวิจัยยังได้เตือนว่า การใช้ยาปฏิชีวนะนั้นเป็นสิ่งที่อันตราย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก
"หลายปีมานี้ เกษตรกรเริ่มรู้แล้วว่ายาปฏิชีวนะทำให้วัวอ้วนขึ้นได้" ศาสตราจารย์แยน บลูสไตน์ นักวิจัยอีกคนจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์คเสริม
"เรายังต้องการงานวิจัยมาเพิ่มอีกเพื่อยืนยันว่าการค้นพบของเรานี้เป็นเรื่องนี้ แต่นี่ก็สามารถสรุปได้คร่าวๆว่า ยาปฏิชีวนะส่งผลให้มนุษย์มีน้ำหนักมากได้ โดยเฉพาะการใช้ในช่วงที่ยังเด็ก"

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2012/08/22/3573468.htm


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154497

จัดการกับความอ้วน ด้วยการจัดการจุลินทรีย์ในร่างกาย


การศึกษาปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่า ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) นั้น มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก โดยยาปฏิชีวนะจะส่งผลต่อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

          ดังที่เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ทราบกันมานานกว่า 50 ปีแล้วว่า การให้ยาปฏิชีวนะเพียงเล็กน้อย จะมีผลทำให้สัตว์ในฟาร์มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากยาปฏิชีวนะไปส่งผลต่อจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งงานวิจัยของ Leonardo Trasande ยังสนับสนุนทฤษฎีดังกล่าวอีกด้วย (สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.vcharkarn.com/vnews/154497)

          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในระบบทางเดินอาหารไม่ว่าจะของคนหรือของสัตว์นั้นมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากมาย ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การย่อยอาหาร แต่จุลินทรีย์ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีแต่จุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพเท่านั้น ยังมีจุลินทรีย์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ตราบใดที่จำนวนจุลินทรีย์ที่สองฝ่ายมีจำนวนสมดุลกัน คือจุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพมีจำนวนมากและแข็งแรงพอที่จะยึดผนังลำไส้และต้านทานจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรคไว้ได้ ร่างกายก็จะแข็งแรงดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับยาปฏิชีวนะ จุลินทรีย์อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฉวยโอกาสก่อโรคทันทีทำให้ท้องเสีย เป็นต้น


          จากที่มีงานวิจัยต่างๆ ออกมาว่ายาปฏิชีวนะมีผลทำให้เด็กและสัตว์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์สนใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานว่า ยาปฏิชีวนะมีผลต่อจุลินทรีย์ที่อยุ่ในระบบการย่อยอาหารอย่างไร มีกลไกอะไรที่ทำให้เกิดการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น

          คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ จึงได้ทำการทดลองโดยมุ่งเน้นหาคำตอบของความสัมพันธ์ระหว่างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ การย่อยอาหาร และความอ้วน ซึ่งนักวิจัยต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการได้รับพลังงาน (แคลอรี่) มากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้และระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย


ในการศึกษาผลของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารกับระบบภูมิคุ้มกันนั้น ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบโดยการให้อาหารที่มีไขมันสูงกับหนูสองกลุ่มในปริมาณเท่าๆ กัน หนูกลุ่มแรกเป็นหนูปกติ กับหนูกลุ่มที่สองคือ หนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ โดย lymphotoxin ทำหน้าที่เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมปฏิกิริยาการตอบสนองระหว่างระบบภูมิคุ้มกันกับจุลินทรีย์ในลำไส้

          พบว่าหลังจากทำการทดลองเป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์ หนูปกติจะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น โดย 1 ใน 3 ของน้ำหนักที่มากขึ้นนั้นเป็นไขมัน ส่วนหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ แม้จะกินอาหารในปริมาณเดียวกันแต่ไม่ทำให้อ้วนกว่าปกติแต่อย่างใด

          ซึ่งเมื่อศึกษาต่อไปพบว่า อาหารที่มีไขมันสูงนี้จะไปเหนี่ยวนำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารของหนูทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนไป สำหรับหนูปกติเมื่อได้รับอาหารที่มีไขมันสูงจะกระตุ้นให้สร้าง lymphotoxin เพื่อไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในกลุ่ม segmented filamentous bacteria ที่ทำหน้าที่สร้างเมือกซึ่งจะขัดขวางกระบวนการดูดซึมอาหาร และในขณะเดียวกันแบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในการย่อยอาหารที่มีไขมันสูง การเพิ่มขึนของแบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi นี้จึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่นๆ สำหรับหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxinได้นั้น จะไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์ในกลุ่มที่สร้างเส้นใยได้ (segmented filamentous bacteria) ทำให้แบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi ไม่สามารถเพิ่มจำนวนเพื่อตอบสนองต่ออาหารไขมันสูงได้ จึงไม่ทำให้หนูกลุ่มนี้อ้วนขึ้นนั่นเอง

          ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวได้ถูกยืนยัน เมื่อนักวิจัยได้นำแบคทีเรียในทางเดินอาหารของหนูที่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ ไปปลูกถ่ายให้กับหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ พบว่าหนูสามารถสร้าง lymphotoxin ได้เองและทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนูที่ได้รับการถ่ายแบคทีเรียจากหนูอีกตัวที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ น้ำหนักจะลดลงเป็นเวลาสามสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะกลับมาเป็นปกติ

          และยังได้ทำการทดลองต่อไปโดยนำหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้มาเลี้ยงรวมกับหนูที่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ หนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้กลับมาผลิต lymphotoxin เอง เนื่องจากพฤติกรรมอย่างหนึ่งของหนูคือการที่มันกินมูลกันเอง (coprophagic) ทำให้ได้รับแบคทีเรียจากมูลของหนูตัวอื่นได้

          จากผลการทดลองทำให้สรุปได้ว่า lymphotoxin มีผลต่อการดูดซึมสารอาหาร โดย lymphotoxin นี้จะผลิตออกมาก็ต่อเมื่อได้รับสารอาหารที่มีไขมันสูง ทั้งสองปัจจัยนี้เองจะไปส่งผลต่อความสมดุลของจุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบย่อยอาหาร โดยที่เมื่อสมดุลของจุลินทรีย์เปลี่ยนไป จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมอาหารดีขึ้น

          อีก 20 ปีข้างหน้า จะมีคนนับหมื่นล้านคนอาศัยอยู่บนโลกเล็กๆ ใบนี้ ผนวกกับอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด คงจะเกิดการแก่งแย่งชิงดีกันแย่งอาหารเป็นแน่ การมีระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น น่าจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาวะดังกล่าว และข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยนี้น่าจะช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากโรคอ้วนได้อีกด้วย

          แต่อย่างไรก็ตาม จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้นั้นไม่ได้มีเพียงสายพันธุ์เดียว แต่มีมากกว่า 500 สายพันธุ์ ทำให้ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกมากเพื่อที่จะสามารถระบุได้ว่า จุลินทรีย์ชนิดใดบ้างที่ทำให้เป็นโรคอ้วน ซึ่งจุลินทรีย์ที่อาศัยในหนูกับในคนย่อมแตกต่างกัน งานวิจัยนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการศึกษาเท่านั้น
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44060

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การถอดรหัส (Transcription) คือ อะไร (What is transcription ?)



การถอดรหัส (Transcription)
การถอดรหัส (Transcription) คือ กระบวนการการสร้างอาร์เอ็นเอ (RNA synthesis)จากดีเอ็นเอ(DNA) โดยอาศัยดีเอ็นเอ(DNA)ในส่วนที่เป็นยีน(gene)เป็นสายแม่แบบ(Template strand)ในการสร้างอาร์เอ็นเอ (RNA synthesis) หรือการถอดรหัส (Transcription) เนื่องจากทั้งอาร์เอ็นเอ(RNA)และดีเอ็นเอ(DNA)ต่างเป็นกรดนิวคลิอิกซึ่งใช้ลำดับคู่เบสของนิวคลีโอไทด์(Nucleotide)เป็นส่วนที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary) (สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้หากมีเอนไซม์ที่เหมาะสม) ในช่วงการถอดรหัส(Transcription)นั้นสายดีเอ็นเอ(DNA)ทั้ง2สายที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary)จะถูกแยกออกจากกันเฉพาะส่วนที่จะใช้ในการถอดรหัส(Transcription) ลำดับดีเอ็นเอ(DNA)จะถูกอ่านโดยเอนไซม์อาร์เอ็นเอพอลีเมอเรส (RNA polymerase) ซึ่งจะสร้างคู่เบสของนิวคลีโอไทด์(Nucleotide)ที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary)กับดีเอ็นเอ(DNA)ส่วนที่เป็นแม่แบบ(Template strand) โดยทิศในการสร้างสายอาร์เอ็นเอ(RNA)จะสร้างจากทิศ 5’ ไป 3’  โดยที่ทิศของสายอาร์เอ็นเอ(RNA)จะขนานสวนกัน(anti-parallel)กับทิศของสายดีเอ็นเอ(DNA)ส่วนที่เป็นแม่แบบ(Template strand) การถอดรหัส(Transcription)จะทำให้ได้สายอาร์เอ็นเอ(RNA)มีส่วนเบสของนิวคลีโอไทด์ที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary)กับดีเอ็นเอ(DNA) ที่มีเบสยูราซิล (Uracil, U) แทนที่ตำแหน่งของเบสไทมีน (Thymine, T) ที่เคยมีในสายดีเอ็นเอ(DNA)คู่นั้นๆ