วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

จัดการกับความอ้วน ด้วยการจัดการจุลินทรีย์ในร่างกาย


การศึกษาปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่า ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) นั้น มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก โดยยาปฏิชีวนะจะส่งผลต่อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

          ดังที่เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ทราบกันมานานกว่า 50 ปีแล้วว่า การให้ยาปฏิชีวนะเพียงเล็กน้อย จะมีผลทำให้สัตว์ในฟาร์มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากยาปฏิชีวนะไปส่งผลต่อจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งงานวิจัยของ Leonardo Trasande ยังสนับสนุนทฤษฎีดังกล่าวอีกด้วย (สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.vcharkarn.com/vnews/154497)

          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในระบบทางเดินอาหารไม่ว่าจะของคนหรือของสัตว์นั้นมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากมาย ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การย่อยอาหาร แต่จุลินทรีย์ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีแต่จุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพเท่านั้น ยังมีจุลินทรีย์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ตราบใดที่จำนวนจุลินทรีย์ที่สองฝ่ายมีจำนวนสมดุลกัน คือจุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพมีจำนวนมากและแข็งแรงพอที่จะยึดผนังลำไส้และต้านทานจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรคไว้ได้ ร่างกายก็จะแข็งแรงดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับยาปฏิชีวนะ จุลินทรีย์อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฉวยโอกาสก่อโรคทันทีทำให้ท้องเสีย เป็นต้น


          จากที่มีงานวิจัยต่างๆ ออกมาว่ายาปฏิชีวนะมีผลทำให้เด็กและสัตว์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์สนใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานว่า ยาปฏิชีวนะมีผลต่อจุลินทรีย์ที่อยุ่ในระบบการย่อยอาหารอย่างไร มีกลไกอะไรที่ทำให้เกิดการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น

          คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ จึงได้ทำการทดลองโดยมุ่งเน้นหาคำตอบของความสัมพันธ์ระหว่างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ การย่อยอาหาร และความอ้วน ซึ่งนักวิจัยต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการได้รับพลังงาน (แคลอรี่) มากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้และระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย


ในการศึกษาผลของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารกับระบบภูมิคุ้มกันนั้น ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบโดยการให้อาหารที่มีไขมันสูงกับหนูสองกลุ่มในปริมาณเท่าๆ กัน หนูกลุ่มแรกเป็นหนูปกติ กับหนูกลุ่มที่สองคือ หนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ โดย lymphotoxin ทำหน้าที่เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมปฏิกิริยาการตอบสนองระหว่างระบบภูมิคุ้มกันกับจุลินทรีย์ในลำไส้

          พบว่าหลังจากทำการทดลองเป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์ หนูปกติจะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น โดย 1 ใน 3 ของน้ำหนักที่มากขึ้นนั้นเป็นไขมัน ส่วนหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ แม้จะกินอาหารในปริมาณเดียวกันแต่ไม่ทำให้อ้วนกว่าปกติแต่อย่างใด

          ซึ่งเมื่อศึกษาต่อไปพบว่า อาหารที่มีไขมันสูงนี้จะไปเหนี่ยวนำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารของหนูทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนไป สำหรับหนูปกติเมื่อได้รับอาหารที่มีไขมันสูงจะกระตุ้นให้สร้าง lymphotoxin เพื่อไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในกลุ่ม segmented filamentous bacteria ที่ทำหน้าที่สร้างเมือกซึ่งจะขัดขวางกระบวนการดูดซึมอาหาร และในขณะเดียวกันแบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในการย่อยอาหารที่มีไขมันสูง การเพิ่มขึนของแบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi นี้จึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่นๆ สำหรับหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxinได้นั้น จะไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์ในกลุ่มที่สร้างเส้นใยได้ (segmented filamentous bacteria) ทำให้แบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi ไม่สามารถเพิ่มจำนวนเพื่อตอบสนองต่ออาหารไขมันสูงได้ จึงไม่ทำให้หนูกลุ่มนี้อ้วนขึ้นนั่นเอง

          ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวได้ถูกยืนยัน เมื่อนักวิจัยได้นำแบคทีเรียในทางเดินอาหารของหนูที่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ ไปปลูกถ่ายให้กับหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ พบว่าหนูสามารถสร้าง lymphotoxin ได้เองและทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนูที่ได้รับการถ่ายแบคทีเรียจากหนูอีกตัวที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ น้ำหนักจะลดลงเป็นเวลาสามสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะกลับมาเป็นปกติ

          และยังได้ทำการทดลองต่อไปโดยนำหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้มาเลี้ยงรวมกับหนูที่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ หนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้กลับมาผลิต lymphotoxin เอง เนื่องจากพฤติกรรมอย่างหนึ่งของหนูคือการที่มันกินมูลกันเอง (coprophagic) ทำให้ได้รับแบคทีเรียจากมูลของหนูตัวอื่นได้

          จากผลการทดลองทำให้สรุปได้ว่า lymphotoxin มีผลต่อการดูดซึมสารอาหาร โดย lymphotoxin นี้จะผลิตออกมาก็ต่อเมื่อได้รับสารอาหารที่มีไขมันสูง ทั้งสองปัจจัยนี้เองจะไปส่งผลต่อความสมดุลของจุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบย่อยอาหาร โดยที่เมื่อสมดุลของจุลินทรีย์เปลี่ยนไป จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมอาหารดีขึ้น

          อีก 20 ปีข้างหน้า จะมีคนนับหมื่นล้านคนอาศัยอยู่บนโลกเล็กๆ ใบนี้ ผนวกกับอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด คงจะเกิดการแก่งแย่งชิงดีกันแย่งอาหารเป็นแน่ การมีระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น น่าจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาวะดังกล่าว และข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยนี้น่าจะช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากโรคอ้วนได้อีกด้วย

          แต่อย่างไรก็ตาม จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้นั้นไม่ได้มีเพียงสายพันธุ์เดียว แต่มีมากกว่า 500 สายพันธุ์ ทำให้ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกมากเพื่อที่จะสามารถระบุได้ว่า จุลินทรีย์ชนิดใดบ้างที่ทำให้เป็นโรคอ้วน ซึ่งจุลินทรีย์ที่อาศัยในหนูกับในคนย่อมแตกต่างกัน งานวิจัยนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการศึกษาเท่านั้น
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44060

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น