วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง จุฬาฯ กับ CERN และ เสวนาเรื่องการค้นพบอนุภาคฮิกส์


งานแถลงข่าว

ความเป็นมาของความร่วมมือกันระหว่างไทยกับ CERN ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดย โดย ศ. ดร. ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานอนุกรรมการโครงการความร่วมมือด้านวิชาการและวิจัยกับ CERN
การลงนามความร่วมมือระหว่าง จุฬา กับ CERN โดย ศ. นพ. ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และคำกล่าวของ Prof. Dr. Joe Incandela (CMS spokeperson) แปลโดย ผศ. ดร. รัฐชาติ มงคลนาวิน


 เสวนาเรื่องการค้นพบอนุภาคฮิกส์


เสวนาพิเศษเรื่อง "การค้นพบอนุภาคฮิกส์" 

โดย Prof. Joe Incandela (CMS Spokeperson) คนที่แถลงข่าวการค้นพบอนุภาคฮิกส์ และ Prof. Albert De Roeck (CMS Higgs Convener) เป็นผู้ร่วมเสวนา 

โดยมี  ดร.บุรินทร์ อัศวพิภพ อาจารย์ทางด้านฟิสิกส์อนุภาค จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้แปลเป็นภาษาไทย

การเสวนาเริ่มจากการ อธิบายหัวใจของการศึกษาฟิสิกส์อนุภาค ที่มุ่งหาคำตอบว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นจากอะไร
อธิบายทฤษฎีแบบจำลองมาตรฐาน (standard model) ที่กล่าวถึงอนุภาคมูลฐานที่ได้ค้นพบในอดีตและจัดหมวดหมู่ไว้
อธิบายถึงแนวคิดที่ Peter Higgs เสนอว่ามวลของอนุภาคเกิดขึ้นได้เพราะอันตรกิริยากับสนามฮิกส์ ซึ่งนำไปสู่การค้นหาอนุภาคฮิกส์

นอกจากนี้ยังอธิบายถึงกระบวนการทดลองเพื่อค้นหาอนุภาคฮิกส์ การคำนวณ จนนำไปสู่ข้อสรุปว่า "พบอนุภาคฮิกส์?"
 

ช่วงถาม-ตอบ

ผู้เชี่ยวชาญจาก CERN ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ Higgs
มีคำถามทั้งจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ไปจนถึงน้องๆ มัธยม ซึ่งน่าสนใจหลายคำถาม

- ในร่างกายของเราทุกคนมีอนุภาคฮิกส์อยู่หรือไม่?
- เมื่อไหร่จึงจะยืนยันได้ว่าอนุภาคที่พบคืออนุภาคฮิกส์จริง และจะยืนยันจากอะไร?
- ในการทดลองที่บอกว่าค้นพบอนุภาคฮิกส์ พบกี่อนุภาค?
- สตีเฟน ฮอว์กิ้ง เสีย 100 เหรียญ เพราะพนันว่าอนุภาคฮิกส์ไม่มีจริง ทำไม ฮอว์กิ้ง จึงเชื่อเช่นนั้น?
- ทฤษฎีสัมพัทธภาพกล่าวว่ามวลมีผลต่อกาล-อวกาศ  แล้วอนุภาคฮิกส์ซึ่งทำให้เกิดมวลมีผลอย่างไรต่อ กาล-อวกาศ?
- กราวิตอนเเกี่ยวข้องกับฮิกส์หรือไม่ ทำให้เข้าใจกราวิตอนมากขึ้นหรือไม่?
- ถ้ามวลของอนุภาคใดๆ มาจากอนุภาคฮิกส์ แล้วมวลของอนุภาคฮิกส์เองมาจากไหน?

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43980

ผู้แทนประเทศไทย คว้า 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดงจากฟิสิกส์โอลิมปิก ณ ประเทศเอสโตเนีย

  ผู้แทนประเทศไทย คว้า 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดงจากฟิสิกส์โอลิมปิก ณ ประเทศเอสโตเนีย

   คณะผู้แทนประเทศไทยที่ได้รางวัลจากการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 43 จะเดินทางกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2555  เที่ยวบิน TG 923  เวลา 12.50 น. โดย สสวท. จะจัดพิธีต้อนรับที่ชั้น 2 ด้านในประตูที่ 1 สนามบินสุวรรณภูมิ นางพรพรรณ  ไวทยางกูร  ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยถึงผลการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 43 ที่จัดแข่งขันในวันที่ 15 – 24 กรกฎาคม 2555  ณ เมืองทาลลินน์ และตาร์ตู ประเทศเอสโตเนีย  จากการลงมติของที่ประชุมคณะกรรมการนานาชาติ การแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 43 ผลอย่างเป็นทางการ ปรากฎว่านักเรียนไทยสามารถคว้าเหรียญรางวัล3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง ได้แก่


เหรียญทอง            นายปภพ  สวัสดี    โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา   และทำคะแนนได้เป็นอันดับที่ 6 ของผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด     
            นายณัฐนันท์  ตันติวัสดาการ   โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
            นายพุฒิพงศ์   วรศรัณย์       โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

เหรียญเงิน            นายพงศภัค  สวัสดิรักษ์  โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

เหรียญทองแดง             นายศุภณัฐ    ธนศิลป์              

           โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 43 ครั้งนี้ มีจำนวนทั้งหมด 81 ประเทศ จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมแข่งขัน 378 คน  นายปภพ สวัสดี ทำคะแนนได้เป็นอันดับที่ 6 ของนักเรียนทั้งหมด  ส่วนลำดับที่ 1 เป็นของนักเรียนประเทศฮังการี ลำดับที่ 2 -3 เป็นของนักเรียนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ลำดับที่ 4 - 5 เป็นของนักเรียนจากไต้หวัน


            สำหรับคณะอาจารย์ผู้ควบคุมทีม ประกอบด้วย ดร. พิเชษฐ  กิจธารา  มหาวิทยาลัยมหิดล  ดร. สิรพัฒน์  ประโทนเทพ  วิทยาลัยนาโนเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง  รองหัวหน้าทีม  รศ. สุวรรณ  คูสำราญ  มูลนิธิ สอวน.   ผู้ช่วยหัวหน้าทีม  นายรักษพล  ธนานุวงศ์ สสวท.  ผู้จัดการทีม

            นายปภพ  สวัสดี  (สต๊อก) วัย 17 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กล่าวว่า ในความคิดของตนนั้น โครงการโอลิมปิกวิชาการช่วยให้นักเรียนไทยสนใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น  แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่ประเทศไทยได้เหรียญรางวัลจำนวนมากจะทำให้วิทยาศาสตร์ในประเทศดีขึ้น กระบวนการในการคัดเลือกต่างหากที่เป็นตัวจุดประกายให้นักเรียนมีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเข้าโครงการ  อนาคตอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์  วิศวกร หรือนักวิจัย ตั้งใจอยากพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ  เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือเครื่องมือทางอุตสาหกรร

            มนายณัฐนันท์  ตันติวัสดาการ (แนท) วัย 18 ปี  ชั้น ม. 6  โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย วิชาที่รักที่สุดคือ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ และดนตรีที่ทำให้ช่วยผ่อนคลาย หลังจากนี้จะรับทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อ อยากกลับมาเป็นอาจารย์ สอนหนังสือและทำวิจัย เพื่อพัฒนาบุคลากรและวิชาการความรู้ภายในประเทศของเรา

            นายพุฒิพงศ์  วรศรัณย์  (ตัง) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ บอกว่า ชอบเรียนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ เพราะเป็นวิชาที่เรียบง่ายและสวยงาม ใช้ความเข้าใจมาก ไม่ได้เน้นที่ท่องจำ  อยู่ที่โรงเรียนจะคอยสอนเพื่อน และนัดรุ่นน้องมาสอนเป็นประจำ เพราะที่ผ่านมารุ่นพี่ก็ติวให้เรา จึงคิดว่ารุ่นน้องก็คงต้องการเราเหมือนที่เราต้องการรุ่นพี่มาสอน  อนาคตจะรับทุนโอลิมปิกวิชาการไปศึกษาต่อต่างประเทศ อยากกลับมาเป็นอาจารย์และนักวิจัย จะมาสอน ถ่ายทอดความรู้ให้เยาวชนรุ่นใหม่ และอยากทำวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลกว่านี้

            นายพงศภัค  สวัสดิรักษ์  (แอมป์)  วัย 18 ปี ชั้น ม. 6  โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา  กล่าวว่า นอกจากฟิสิกส์ซึ่งตนเองมีความถนัดแล้ว ยังชอบวิชาเกี่ยวกับการทำอาหาร เพราะสนุก  เทคนิคการเตรียมตัวก่อนไปแข่งขันคือทบทวนความรู้และป้องกันความเคีรยดโดยไม่คิดอะไรมากเกินไปเพียงแต่ตั้งใจทำให้ดีที่สุด

            นายศุภณัฐ  ธนศิลป์ (ไปป์) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6  โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ นอกจากจะชอบเรียนฟิสิกส์ การเรียนศิลปะที่ตนเองชอบยังทำให้มีมุมมองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น อีกทั้งยังช่วยคลายเครียด “อนาคตอยากพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น”

ฝนตกแล้ว จะวิ่งหรือเดินหลบฝนดี?


และแล้วก็ถึงฤดูฝน... นี่คือคำพูดที่นึกถึงอยู่ในใจตลอดเวลา นับตั้งแต่ฝนเริ่มตกครั้งแรกๆ ในเดือน พฤษภาคม แล้วจะค่อยๆ ตกหนักขึ้น เรื่อยไปจนถึงปลายฝนต้นหนาวราวๆ เดือนตุลาคม ในกรุงเทพฯ การที่ฝนตกมีส่วนดีตรงที่ช่วยลดความร้อนที่เก็บสะสมไว้ในคอนกรีต ทำให้อากาศในกรุงเทพฯ เย็นขึ้นมาบ้าง แต่จะแย่ก็ตรงที่ ฝนตกได้ซ้ำเติมปัญหาจราจรติดขัดให้เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก การยืนรอรถเมล์(หรือรถตู้) อยู่ข้างถนนที่รถแน่นเอี๊ยด ซ้ำร้าย สายฝนยังตกกระหน่ำซ้ำลงมาราวกับพระพิรุณทำโอที (over time) เหล่านี้คือเหตุการณ์ที่หลายๆ คนต้องเคยประสบมาแล้วเป็นแน่แท้


บ่อยครั้งที่ฝนตกคือการซ้ำเติมปัญหาจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ
รูปจาก http://www.mumuu.com

     หากวันหนึ่งฝนตกลงมาขณะที่เรากำลังอยู่นอกอาคาร และวันนั้นดันลืมพกร่มติดตัวไปด้วย สถานะการณ์นี้ สิ่งที่ทุกๆ คนทำคือวิ่งหลบฝนไปยังที่ร่มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่เราจะไม่เปียกฝนมากเกินไป นี่คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

     แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าการวิ่งเข้าที่ร่มเพื่อหลบฝนที่กำลังโปรยปลายลงมา น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้เปียกน้อยที่สุด แต่ในวงการวิทยาศาสตร์กลับมีคนตั้งข้อสงสัยว่า “การวิ่งหลบฝนเข้าที่ร่มให้เร็วที่สุดนั้น ดีที่สุดแล้วแน่หรือ?” เพราะมันมีข้อโต้แย้งที่ว่า “ถ้าหากคุณวิ่ง ตัวคุณจะมีพื้นที่รับน้ำมากกว่าคุณเดิน!! ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้การวิ่งเปียกมากกว่าการเดินก็เป็นได้” จากข้อโต้แย้งนี้ ทำให้เกิดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ให้รู้ชัดไปเลยว่า “เดินหลบฝน หรือ วิ่งหลบฝน ทำอย่างไหนจึงเปียกน้อยกว่ากัน”



วิ่งหลบฝนเข้าที่กำบังเป็นวิธีที่ดีที่สุด แน่ใจหรือ?

     กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับปัญหา “วิ่งหรือเดินหลบฝน” นี้ เท่าที่สืบค้นมา จะเน้นไปที่การคำนวณเสียเป็นส่วนใหญ่ มีการทดลองบ้าง แต่ไม่ค่อยทำกับจริงจังเท่าไร (คือไม่ได้ทดลองจริงจังเหมือนอย่าง CERN ค้นหาฮิกส์โบซอน) การคำนวณก็เริ่มตั้งแต่แบบจำลองง่ายๆ ไปจนถึงแบบจำลองที่ซับซ้อน (วัตถุ n มิติ วิ่งหลบฝนที่ตกลงบนพื้นที่ - 1 มิติ... เลอะเทอะไปกันใหญ่ล่ะ)

อย่างไรก็ตาม ผลสรุปของการศึกษานี้สนับสนุนว่า การวิ่งหลบฝนเป็นวิธีที่ทำให้เปียกน้อยกว่าการเดิน


      เรื่องราวของ "วิ่งหรือเดินหลบฝน" นี้ถูกพูดถึงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 โดย Jearl Walker เขียนลงหนังสือThe Flying Circus of Physics แต่เป็นเพียงข้อคิดเห็นโดยไม่มีการพิสูจน์ทั้งทางการทดลองหรือทางคณิตศาสตร์ เขาเสนอว่า หากเขาจำเป็นต้องวิ่งเข้าที่ร่มหลบฝน เขาเลือกที่จะวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ไม่มีใครกล่าวถึงปัญหานี้อีกจนกระทั่งปัญหาดังกล่าวถูกเขียนเป็นคำถามในหนังสือ New Scientist magazine ฉบับปี 1995 (พ.ศ.2538) มีผู้อ่านวารสารหลายคนร่วมแสดงความคิดเห็น มีความคิดเห็นที่น่าใจในเชิงวิชาการ ดังนี้

ว่าด้วยเรื่องของทิศทางลม เป็นของ Matthew Wright จาก มหาวิทยาลัย University of Southampton ซึ่ง Matthew ได้รวมแนวคิดเรื่องทิศทางลม นึกภาพว่าหากฝนตกโดยที่ไม่มีลม หยดน้ำจะตกจากฟ้าลงตรงๆ ถ้าหากมีลมพัด (น่าจะหมายถึงลมพัดในแนวระดับ) น้ำฝนจะตกลงแนวเฉียงแทน เพราะลมพัดให้หยดน้ำเคลื่อนที่ในแนวระดับด้วย แล้วเสนอแนวคิดที่สนับสนุนข้อเสนอของ Jearl โดยกล่าวว่า "ในกรณีที่ฝนตกลงในแนวเฉียงเข้าปะทะกับด้านหน้า เราควรจะวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนกรณีที่ฝนตกในแนวเฉียงปะทะกับด้านหลัง เราควรวิ่งให้เร็วเท่าๆ กับความเร็วในแนวราบของน้ำฝน"


ฝนตกแบบมีลมพัด หยดน้ำจะตกแบบเฉียงๆ

รูปสำหรับอธิบาย r คือความเร็วฝนในแนวดิ่ง และ w คือความเร็วลม

การพิจารณาจากความแห้ง ของ Mike Stevenson โดยเสนอว่า "เราควรพิจารณาความเปียกจากเวลาที่ทำให้ตัวเราแห้ง หากคราวใดที่เราตากฝนแล้วเปียกมาก นั้นหมายความว่า มีน้ำมาเกาะที่ตัวเรามาก ซึ่งต้องใช้เวลายืนตากลมและผึ่งแดดในที่ร่มนาน กว่าตัวเราจะแห้ง ในทางกลับกันถ้าตัวเราเปียกฝนน้อย เราจะใช้เวลาตากลมผึ่งแดดน้อยกว่า" และแสดงความคิดคิดสนับสนุน Jearl ว่า "เราควรจะวิ่งหลบฝนให้เร็วที่สุด เพราะทำให้เวลาที่เราต้องอยู่ตากฝนน้อยลง แล้วน้ำจะมาเกาะที่ต้วเราน้อยลง และจะเปียกน้อยลง"

     ภายหลังแนวคิดทั้งสองนี้ถูกรวมเข้าไปในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ โดย นิยามความเปียกตามความคิดของ Mike และในปี พ.ศ. 2552 วารสาร Mathematics Magazine ได้ตีพิมพ์เอกสารของ Dank Hailmanและคณะ ในแบบจำลองของ Denk ได้คำนึงถึงทิศทางลมแนวคิดของ Matthew ด้วย เราจะได้เห็นแบบจำลองนี้กันในหน้าถัดไป


หน้าที่ 2 - พิสูจน์ด้วยแบบจำลอง
     ความคิดเห็นเรื่องความเปียกของ Mike ถือนิยามที่ง่ายที่สุด แต่การนำไปใช้ในทางทฤษฎีก็ค่อยไม่สมจริง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนสองคนยืนอยู่นิ่งๆ แล้วเทน้ำ 50 ลิตร และ 100 ลิตร ใส่คนที่หนึ่งและคนที่สองตามลำดับ กรณีดังนี้ ผลคำนวณจะบอกว่าความเปียกต่างกัน คนที่หนึ่งจะเปียกน้อยความคนที่สอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนทั้งสองเปียกโชกเหมือนๆ กัน ซึ่งคนทั้งสองจะใช้เวลารอให้แห้งพอๆ กัน

     ในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สำหรับ "วิ่งหรือเดินหลบฝน" ถูกเสนอในปี พ.ศ. 2542 โดยคณะ HBHP ที่มีนักอุกกาบาตวิทยา 4 ท่าน ได้แก่ Holden, Belcher, Horvath และ Pytharoulis แนวคิดของHBHP คือสมมุติว่ามีคนหนึ่งกำลังวิ่งหลบฝน จะถือให้รูปร่างของคนคนนี้เป็นกล่องสี่เหลี่ยม และจะถือว่าฝนจะตกลงสู่กล่อง (คน) อย่างสม่ำเสมอด้วยความเร็วคงที่ ดังรูป เพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์ ในบทความนี้จะขอกำหนดตัวแปรไว้ดังนี้ ให้ s คือ อัตราเร็วในแนวระดับหรือแนวราบของกล่องที่กำลังเคลื่อนที่ และจะถือว่าคนจะต้องวิ่งในระยะทาง L จึงจะเข้าที่ร่มได้ จากนั้นกำหนดให้ r คือ อัตราเร็วของฝนที่กำลังตกลงมาตรงๆ ในแนวดิ่ง ในกรณีที่ฝนตกลมพัด จะถือว่าน้ำฝนจะมีอัตราเร็วในแนวระดับ w เพิ่มเติมจากอัตราเร็วในแนวดิ่ง rด้วย


รูปแสดงตัวอย่างฝนตกแบบมีลมพัด

     เมื่อกำหนดตัวแปรเสร็จแล้ว ต่อไปจะเป็นการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ขั้นต้นให้พิจารณากรณีที่ฝนตกในแนวดิ่งและไม่มีลมพั (w = 0) สิ่งที่เกิดขึ้นสามารถแยกเป็นข้อได้ดังนี้
1. กรณีที่กล่องอยู่นิ่งๆ กล่องจะมีพื้นที่รับน้ำตรงฝากล่องด้านบนเท่านั้น
2. หากกล่องเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ปริมาตรด้านหน้าของกล่องจะเข้าไปแทนที่ปริมาตรของน้ำฝน เสมือนกับว่ากล่องมีพื้นที่รับน้ำเพิ่มขึ้น ทำให้กล่องมีแนวโน้มจะเปียกมากยิ่งขึ้น
3. สำหรับกรณีที่กล่องไม่เคลื่อนที่ เนื่องจากแบบจำลองควบคุมระยะไม่ใช่ควบคุมเวลา ดังนั้นตราบใดที่กล่องไม่เคลื่อนที่จนครบระยะทาง L กล่องก็จะต้องตากฝนไปเรื่อยๆ ทำให้กล่องเปียกอย่างมาก
4. ถ้ากล่องเคลื่อนที่ กล่องจะใช้เวลาตากฝนน้อยลง กล่องก็จะควรจะเปียกน้อยลง

     ถ้าลองดูดีๆ ข้อ 2. กับข้อ 4. เป็นผลที่ตรงข้ามกันและกัน พูดง่ายๆ คือ ถ้ากล่องเคลื่อนที่ กล่องจะมีพื้นที่รับน้ำมากขึ้นแต่ก็ใช้เวลาตากฝนน้อยลง การคำนวณของ HBHP แสดงผลออกมาว่า ผลตามข้อ 4. มีอิทธิพลเหนือกว่า ความเปียกที่จะลดลงตามข้อ 4. หักล้างความเปียกที่จะเพิ่มขึ้นตามข้อ 2. ได้ ทำให้ได้ข้อสรุปตามแบบจำลองนี้ว่า ยิ่งกล่องเคลื่อนที่เร็วมากเท่าไร กล่องยิ่งเปียกน้อยลงเท่านั้น ในที่สุด หากกล่องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วอนันต์ กล่องจะเปียกน้อยที่สุด (ไม่ใช่ว่าจะแห้งสนิทแต่เปียกบ้าง) 

      ในเวลาต่อมา Dank ได้เพิ่มเติมแบบจำลอง HBHP โดยการพิจารณาความเร็วของลม พร้อมทั้งเปลี่ยนมุมมองการอธิบาย เพื่อได้มุมมองที่ดูเข้าใจง่ายกว่า สมมุติว่าตัวเราตอนนี้กำลังวิ่งฝ่าฝนที่กำลังตกลงในแนวดิ่ง (กรณีที่ยังไม่มีลม) ขอให้คิดว่า เราที่เป็นคนวิ่งรู้สึกเหมือนเราไม่เคลื่อนที่ แต่ฝนจะตกลงแบบเฉียงๆ เข้าหาตัวเรา (แม้จะไม่มีลมก็ตาม) ดังรูป ในมุมมองนี้ จะปรากฏบริเวณที่เรียกว่า "บริเวณฝน"น้ำฝนที่อยู่ใน "บริเวณฝน" จะตกลงใส่ตัวเรา (คน หรือ กล่อง) อย่างแน่นอน และเฉพาะฝนที่อยู่ใน"บริเวณฝน" เท่านั้นที่จะตกโดนกล่อง "บริเวณฝน" จะมีหน้าตาคล้ายท่อ หรือเสา วางตัวเอียงๆ พื้นที่หน้าตัดแตกต่างกันไปตามรูปร่างของกล่อง (คน) เช่น ถ้ากล่องคือกล่องทรงเหลี่ยม พื้นที่หน้าตัดของ"บริเวณฝน" จะเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยม หรือ ถ้าเปลี่ยนจากกล่องเป็นทรงรี พื้นที่หน้าตัดของ "บริเวณฝน" จะเป็นวงรี เป็นต้น


รูปซ้ายคือสถานะการณ์ในมุมมองปกติ ส่วนรูปขวาคือมุมมองที่กล่องอยู่นิ่ง ตามแบบจำลองของ Dank รูปที่แสดงคือกรณีที่ลมพัดปะทะด้านหน้า

     หากพิจารณาอย่างหยาบ โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่หลบฝนจะเป็น คนจริงๆ กล่อง ทรงรี หรือหุ่นยนต์ R2D2 โมเดลจะอธิบายว่าความเปียกจะขึ้นกับความยาวของ "บริเวณฝน" (ให้เป็นตัวแปร l) ซึ่งจะยาวมากขึ้นถ้าคนเคลื่อนที่ช้าลง และในทางตรงข้ามมันจะสั้นลงเมื่อคนวิ่งเร็วขึ้น (l มาก เมื่อ s น้อย และ l น้อย เมื่อ s มาก ตามลำดับ) ตรงนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า การวิ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้เปียกน้อยลง ซึ่งสอดคล้องกับแบบจำลองของ HBHP และแนวคิดของ Jearl

     ไม่เพียงเท่านี้ แบบจำลองนี้ยังได้พิสูจน์เชิงคณิตศาสตร์ว่า แนวคิดเรื่องทิศทางลมของ Matthew เกือบถูกต้อง คือผลการคำนวณจากแบบจำลองของ Dank อธิบายว่า หากฝนตกพร้อมกับมีลมพัดปะทะด้านหลังด้วยอัตราเร็ว w แล้ว "ปริมาตรฝน" จะสั้นที่สุดเมื่อคนวิ่งด้วยความเร็ว   นั้นหมายความว่า ถ้าวิ่งด้วยความเร็วเท่านี้ คนจะเปียกน้อยที่สุดนั้นเอง ส่วนกรณีที่มีลมพัดปะทะด้านหน้า Matthew กล่าวถูกแล้วคือ คนควรจะวิ่งด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้จึงเปียกน้อยที่สุด


รูปแสดงกรณีที่ลมปะทะด้านหลัง หรือ ลมไล่หลัง ถ้ากล่องเคลื่อนที่เร็วพอ บริเวณฝนอาจจะเยื้องไปด้านหน้าได้


หน้าที่ 3 - การทดลอง และสรุป

     แบบจำลองของ Dank และคณะตามที่กล่าวไปในหน้า 2 เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเราพิจารณาเฉพาะความยาวของ "บริเวณฝน" ไม่ได้พิจารณาเรื่องรูปร่างของสิ่งที่วิ่งหลบฝนเลย (กรณีของกล่องสี่เหลี่ยมและฝนตกโดยไม่มีลมพัด แบบจำลองของ Dank ให้ผลคำนวณเหมือนกับแบบจำลองของ HBHP ทุกประการ) หากผู้อ่านสนใจในรายละเอียดส่วนนี้ สามารถหาเอกสารอ้างอิงมาอ่านเพิ่มเติมได้



การวิ่งหลบฝนจะทำให้เปียกน้อยกว่าการเดิน

     ที่ผ่านมาก็ได้พูดถึงการศีกษาปัญหา "เดินหรือวิ่งหลบฝน" ในเชิงทฤษฎี และเราก็มีแบบจำลองที่สนับสนุนว่า "รีบวิ่งหลบฝนเข้าที่ร่มอย่างที่พวกเราเคยทำกันมานั้นแหละดีแล้ว" ถึงกระนั้นก็ยังต้องมีการทดลองเพื่อยืนยันทฤษฎี การทดลองสามารถทำได้โดยลองคำนวณดูว่า การวิ่งหลบฝนจะเปียกน้อยกว่าการเดินหลบฝนเป็นค่าเท่าไร จากนั้นก็ทำการทดลองจริง หาอาสาสมัตรออกไปวิ่งหรือเดิน พร้อมทั้งควบคุมตัวแปรบางอย่างเช่น ความเร็วและทิศทางของน้ำฝน และควบคุมระยะทางที่วิ่ง (แต่ไม่ควบคุมเวลา) แล้วลองวัดดูว่าคนเปียกมากน้อยเท่าไร ถ้าหากทดลองแล้วได้ผลการวัดความเปียกตรงกับที่คำนวณได้ นั้นแสดงว่าแบบจำลองนี้ถูกต้อง

     ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2540 นักอุกกาบาตวิทยา(อีกล่ะ?) อีกสองท่าน ชื่อ Peterson และ Wallis ได้ลองแทนค่าตัวเลขลงในการคำนวณของ HBHP เพื่อหาความแตกต่างระหว่างวิ่งหลบฝนและเดินหลบฝน (การแทนค่าได้คำนึงถึงลมพัดและการเอียงตัวขณะวิ่งด้วย แต่ไม่ขอกล่าวถึงเพราะหาแหล่งอ้างอิงไม่ได้) ผลคือหากวันใดฝนตกไม่หนักและไม่มีลมพัด ผลคำนวณบอกว่า วิ่งจะเปียกน้อยกว่าเดิน 16% ส่วนในวันที่ฝนตกหนัก มีลมพัด คนที่วิ่งไปทางเดียวกับลมแล้วเอียงตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยจะเปียกฝนน้อยกว่าถึง 44% ตอนนี้พวกเขาได้ค่าจากการคำนวณแล้ว ถัดไปพวกเขาจะทำการทดลองเพื่อดูสิว่าตัวเลขนั้นถูกต้องมากน้อยแค่ไหน


หากผลการคำนวณถูกต้อง แสดงว่าเราควรจะวิ่งหลบฝน เว้นเสียแต่เราอยากจะเล่นน้ำฝน

     การทดลองนั้นง่ายมาก (แต่ไม่รัดกุมเช่นกัน) คือ Peterson กับ Wallis จะผลัดกันออกไปวิ่ง โชคดีที่ร่างกายของทั้งสองท่านนี้คล้ายกัน สามารถใส่เสื้อและกางเกงตัวเดียวกันได้ ทั้งสองท่านจะรอวันที่ฝนตก หากวันไหนฝนตก เขาจะรีบแต่งตัวโดยใส่ชุดพลาสติกกันฝนไว้ด้านใน จากนั้นสวมเสื้อและกางเกงปกติ ไว้ด้านนอก (น้ำหนักแห้งของเสื้อและกางเกงที่ใส่ถูกชั่งและบันทึกไว้แล้ว) แล้วท่านหนึ่งจะวิ่งหรือเดินกลางฝนเป็นระยะทาง 100 เมตร ส่วนอีกท่านจะจับเวลาและคำนวณหาความเร็วของการเคลื่อนที่ ปริมาณและความเร็วของน้ำฝนก็ถูกวัดด้วยเช่นกัน เมื่อวิ่งเสร็จแล้ว เสื้อและกางเกงจะถูกชั่งน้ำหนักอีกครั้ง ผลลบของน้ำหนักที่ชั่งครั้งหลังกับน้ำหนักแห้ง คือปริมาณน้ำที่เสื้อดูดซับไว้ และนี่ก็คือความเปียก จากการทดลองซ้ำหลายครั้ง Peterson กับ Wallis จึงสรุปผลการทดลองว่า "การวิ่งหลบฝนจะเปียกน้อยกว่าการเดิน 40% คิดจากน้ำหนักของน้ำที่ถูกซับไว้ในเสื้อและกางเกง" จะเห็นว่าผลการทดลองสอดคล้องกับทฤษฎี


ทดสอบทฤษฎีด้วยการออกไปวิ่งกลางฝนจริงๆ

สรุป
     ตอนนี้ (เดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2555) เข้าสู่หน้าฝนแล้ว หากมีวันใดที่ยุ่งๆ ต้องรีบออกจากบ้านแต่เช้าจนลืมหยิบร่มคู่ใจติดตัวไปด้วย หากโชคร้าย วันนั้นฝนตกลงมาพอขณะที่คุณกำลังอยู่กลางแจ้งพอดี สิ่งที่ควรทำคือวิ่งหาที่ร่มหลบฝนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะมีลมพัด ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าจะต้องวิ่งให้อัตราเท่ากับ  เพราะจะเสียเวลาไปเปล่าๆ และถ้าหากมัวแต่ยืนคำนวณเราอาจเปียกฝนมากกว่าก็ได้ สุดท้ายนี้ หากวิ่งแล้วขอให้ระวังพื้นลื่นด้วยนะครับ

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43959

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"อะพอลโล"เสื้อเชิ้ตอัจฉริยะไม่ต้องห่วงร้อน-หนาว


255801

นายกิฮาน อมาราศิริวาร์ดีนา ผู้ก่อตั้งมินิสทรี ออฟ ซัพพลาย นำเสนอเสื้อเชิ้ต "อะพอลโล"ผลงานแฟชั่นผสมผสานเทคโนโลยีจากชุดนักบินอวกาศขององค์การนาซ่า ที่มีเทคโนโลยีช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ปรับสภาพความเป็นกลางบริเวณอับชื้น และปรับตัวไปตามการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ 

ด้วยใยผ้าสังเคราะห์ผสมตามแบบฉบับของ นาซ่า จึงมีประสิทธิภาพดึงความร้อนจากร่างกาย และกักเก็บไว้ใช้ในเวลาที่สภาพอากาศภายนอกลดต่ำลง ทำให้ผู้ใส่ไม่รู้สึกกระทบร้อนกระทบหนาว เมื่อต้องออกเจอแดดร้อน หรือเจอกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องทำงาน ใยผ้าที่รักษาความชื้นยังช่วยให้ผู้ใส่รู้สึกแห้งสบายตัวและสดชื่นเหมือนเพิ่งสวมเสื้อใหม่ โดยสารเคลือบแอนตี้-ไมโครเบียล ยับยั้งการก่อตัวของจุลินทรีย์สาเหตุหลักของกลิ่นอับติด

นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีสเตรน อนาไลซิส หรือการวิเคราะห์ความเครียดซึ่งจะนำมาใช้กับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่มีความตึงเครียด และอ่อนล้า เพื่อปรับให้เส้นใยเสื้อคล้อยตามสภาพร่างกาย ไม่อึดอัด หรือรัดตึงเกินไป ทั้งนี้ เสื้ออะพอลโลยังเป็นโครงการหาเงินทุนเพื่อผลิตแฟชั่นเทคโนโลยีรุ่นต่อไป หากผู้ใดสนใจสามารถบริจาค และเลือกรับเสื้อเชิ้ตตามเงื่อนไขของมินิสทรี ออฟ ซัพพลาย ที่ www.kickstarter.com


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154444

มูลนิธิ B612 กับภารกิจพิทักษ์โลก


 มูลนิธิคือองค์กรที่รวบรวมทุน เงินบริจาค จากหลายภาคส่วน และจัดสรรเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน เราคงเคยได้ยินหรือได้รู้จักกิจกรรมของมูลนิธิต่างๆ กันมาบ้าง ซึ่งที่ได้ยินบ่อยมักจะเป็นมูลนิธิเกี่ยวกับช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ การช่วยเหลือเด็กและสตรี การปกป้องป่าและสัตว์ป่า เป็นต้น แต่มูลนิธิที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจจะฟังดูแปลกสักหน่อย เพราะพวกเขากำลังระดมทุนเพื่อปกป้องโลก

     ชื่อของมูลนิธิปกป้องโลกที่ว่านั้น คือ B612 หรือ B612 Foundation แค่ชื่อก็แปลกแล้ว ชื่อนี้ตั้งตามชื่อของอุกกาบาตบ้านของเจ้าชายน้อย (Little Prince) ตัวละครในนิทานเรื่อง Le Petit Prince นอกจากชื่อที่อย่างประหลาดฟังดูเหมือนหน่วยสืบราชการลับแล้ว เป้าหมายของพวกเขาประหลาดเหนือความคาดหมายยิ่งกว่า อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น พวกเขามีเป้าหมายที่จะปกป้องโลก โดย การส่งยานอวกาศขึ้นสู่อวกาศชื่อ Sentinal เพื่อหาตำแหน่งและทางโคจรของอุกกาบาตที่อยู่ใกล้โลกอย่างละเอียด จนเรียกได้ว่าทำแผนที่อุกกาบาตเลยทีเดียว

 
รูปซ้ายมือคือ โลโก้ของมูลนิธิ B612 และ รูปขวามือคือยานอวกาศเซนตินอล


     “อ้าวทำแผนที่อุกกาบาต มันก็คืองานของนักดาราศาสตร์ไม่ใช่หรือ แล้วจะไปปกป้องโลกได้อย่างไรล่ะ?” 
      มีภาพยนตร์ เกม นิยาย อยู่หลายเรื่อง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหายนะโลกหลังอุกกาบาตหรือวัตถุขนาดใหญ่ชนโลก ความเสียหายที่น่ากลัวถูกแสดงผ่านจอให้พวกเราได้รับชม ผมคนหนึ่งก็เป็นผู้ที่ชอบรับชมหนังประเภทนี้ แต่ก็มีคำถามเกิดในใจว่า มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน ที่อุกกาบาตขนาดใหญ่จะเคลื่อนที่มาชนโลก ก่อให้เกิดหายนะระดับวันสิ้น(มนุษย์)โลก คิดว่าคงมีโอกาสไม่มากที่จะเกิดเหตการณ์แบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ ทำไมหน่ะหรือ ก็เพราะว่า เส้นทางโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ก็เป็นทางผ่านของอุกกาบาตนับหมื่นนับแสนดวง มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือนักดาราศาสตร์ยังไม่เคยสำรวจหรือทำความรู้จักอุกกาบาตเหล่านั้นเลย!! เป้าหมายของมูลนิธินี้จึงเป็นการช่วยเหลือนักดาราศาสตร์ในมองหาอุกกาบาต "วายร้าย" นั้นเอง โดยทางองค์กรจะเฝ้าจับตามองอุกกาบาตดวงที่เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 140 เมตร

     คาดการว่า ถ้าอุกกาบาตขนาด 140 เมตร เข้าชนโลก มันจะสร้างความเสียหายเทียบเท่าระเบิดนิวเคลียร์เลยทีเดียว (พลังทำลายประมาณระเบิด TNT หนัก 100 ล้านตัน)


แบบจำลองเส้นทางโคจรของอุกกาบาตในระบบสุริยะ แสดงให้เห็นว่ามีอุกกาบาตจำนวนมากที่เคลื่อนที่ตัดผ่านเข้ามาในวงโคจรของโลก (เส้นสีน้ำเงิน)

อุกกาบาตขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็สร้างความเสียหายพอๆ กับระเบิดนิวเคลียร์ (รูปขวาคือ ระเบิดนิวเคลียร์สมัยสงครามเย็น ที่มีพลังทำลายราว 100 ล้านตันของระเบิด TNT)


     การสำรวจจะทำไม่ได้ถ้าไม่มีเครื่องมือ ทางมูลนิธิเลือกที่จะใช้ยานอวกาศชื่อเซนตินอล (หรือ Sentinal) ซึ่งถือเป็นยานอวกาศลำแรกของโลกที่สร้างขึ้นจากการร่วมทุนโดยมูลนิธิ เมื่อยานถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศแล้ว ยานจะโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เส้นทางคู่ขนานไปกับทางโคจรของดาวศุกร์ ดวงตาของเซนตินอลคือกล้องรับคลื่นอินฟราเรดขนาด 50 เซนติเมตร ความละเอียด 24 ล้านพิกเซล พูดคร่าวๆ คือกล้องตรวจจับคลื่นความร้อน หลักการเดียวกันกับพระเอกภาพยนตร์แอคชันที่ใช้ตรวจหาผู้ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก่อนที่จะบุกเข้าไปปราบนั้นเอง ที่ต้องใช้กล้องแบบนี้ ก็เนื่องจากอุกกาบาตมองไม่เห็นหรือมองเห็นได้ยากถ้าหากใช้แสง (visible light) แต่จะมองได้ง่ายกว่าหากตรวจจับความร้อนของพวกมัน กล้องของยานถูกออกแบบให้สามารถตรวจจับอุกกาบาตที่มีอุณหภูมิ 133 องศาเซลเซียส ขึ้นไป


ส่วนประกอบต่างๆ ของเซนติเนล


     ขณะปฎิบัติการ ยานเซนตินอลจะใช้เวลาถ่ายภาพอุกกาบาตเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ในรอบทุกๆ 26 วัน ข้อมูลภาพที่รวบรวมได้จะส่งต่อผ่านระบบ deep-space network ขององค์การนาซา กลับสู่ศูนย์ควบคุม Sentinal Operation Center ภาพถ่ายจะถูกนำมาวิเคราะห์และตีความ ภาพถ่ายแต่ละภาพที่มีเวลาห่างกัน 26 วัน เมื่อนำมาเรียงต่อกัน จะทำให้มองเห็นเส้นทางการเคลื่อนที่ของอุกกาบาต จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคำนวณ เพื่อหาเส้นทางโคจรที่พวกมันกำลังเดินทาง หากมีข้อมูลมากพอ ทางโคจรที่คำนวณได้จะยิ่งมีความแม่นยำ อาจทำให้เราสามารถทำนายตำแหน่งของพวกมันในอีก 100 ปีข้างหน้า หรือมากกว่านั้นได้ อุกกาบาตทั้งหลายจะอยู่ในสายตาของนักดาราศาสตร์ราวกับเอาระบบสุริยะมาไว้ในฝ่ามือ หากมีอุกกาบาตดวงใดส่อแววว่าจะชนโลกในอนาคต อุกกาบาตดวงนั้นจะถูกตีตราว่า “วายร้าย” มันจะถูกเฝ้าจับตามองเป็นพิเศษ ข้อมูลของมันจะถูกส่งต่อให้รัฐบาล และหาทาง “กำจัด” มันออกไป นอกจากนั้นแล้วผลพลอยได้ของภารกิจนี้คือการสำรวจสินแร่ที่ซุกซ่อนอยู่ใน อุกกาบาต ต้องอย่าลืมว่าอุกกาบาตนั้นจริงๆ แล้วก็คือก้อนหินที่กำเนิดขึ้นมาพร้อมๆ กับระบบสุริยะและโลก และอยู่ในสภาพแวดล้อมอันสุดโต่งของอวกาศเป็นเวลาหลายล้านปี ทำให้มันอาจมีธาตุสำคัญที่หายากบนโลก หรือสารประกอบของธาตุแปลกๆ ที่มนุษย์ยังไม่เคยเห็น ในตรงข้ามกับ “วายร้าย” หากเซนติเนลพบว่าอุกกาบาตดวงใดอุดมไปด้วยสินแร่ มันจะถูกตีตราว่า “ขุมทรัพย์” มันจะถูกจับตามองเป็นพิเศษ รอวันที่มวลมนุษย์พร้อมที่จะทำเหมืองแร่อวกาศ ไม่ว่าจะอีกกี่ปี ไม่ว่ามันจะอยู่ไหน เราก็จะหา “ขุมทรัพย์” พบอย่างง่ายดาย

 
 เตรียมระบบกำจัด "วายร้าย" ให้พร้อมในยามฉุกเฉิน เตรียมระบบกอบโกย "ขุมทรัพย์" เพื่อชดเลยทรัพยากรโลกที่หมดไป
 

     มูลนิธิ B612 มีเป้าหมายที่จะส่งยานเซนตินอลขึ้นเพื่อทำแผนที่อุกกาบาตที่มีวงโคจรอยู่ใกล้หรือตัดกับทางโคจรโลก ปัจจุบันทางมูลนิธิกำลังรวบรวมทุนและสร้างยานเซนติเนล จะใช้เวลาทั้งหมด 5 ปีครึ่ง ตัวยานจะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในปี พ.ศ. 2559 ถึง 2560 ทางมูลนิธิหวังว่าเมื่อภารกิจนี้จะช่วยให้เราสามารถยืนยันตำแหน่ง ความเร็ว และทางโคจรของอุกกาบาตได้กว่าร้อยละ 90 ของทั้งหมด คอยมองหา “วายร้าย” ที่อาจจะเข้าทำลายโลกของพวกเรา และคอยมองหา "ขุมทรัพย์" เพื่อทดแทนทรัพยากรของโลกที่กำลังจะหมดไปทำให้มูลนิธินี้ได้รับการกล่าวขานว่ากำลังทำภารกิจปกป้องโลกนั้นเอง

เรียบเรียงจาก
Peter Gwynne. Privately funded spacecraft will look for dangerous asteroids. http://physicsworld.com. Jun 28, 2012

เว็บไซต์ของมูลนิธิ B612
http://b612foundation.org/

 อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43926

อีกก้าวของแบตเตอรี่ลิเธียม-อากาศ แห่งอนาคต


นักวิจัยสหราชอาณาจักรก้าวไปอีกขั้นแล้วในการวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียม-อากาศ คืออุปกรณ์ที่จะให้พลังงานต่อหน่วยได้มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันถึง 3-5 เท่า
หากแบตเตอรี่นี้ถูกสร้างขึ้นมาจริงๆแล้ว จะทำให้เราสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์แลปท็อปในเที่ยวบินระหว่างประเทศได้ หรือคุยโทรศัพท์โดยไม่ต้องชาร์จได้เป็นสัปดาห์ หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถวิ่งได้ 800 กิโลเมตรโดยไม่ต้องชาร์จไฟใหม่เลยทีเดียว
ศาสตราจารย์ปีเตอร์ จี บรูซ แห่งมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ ในสก็อตแลนด์ และทีมงานได้เผยแพร่ผลการทดลองในวารสารวิชาการ Science Express แล้ว โดยได้กล่าวถึงปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้แบตเตอรี่สามารถประจุไฟใหม่ได้โดยไม่ทำให้ขั้วอิเล็กโทรดเสื่อมสภาพลง
"เราได้แสดงให้เห็นว่า วงจรปฏิกิริยาแบบยั่งยืนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้" ศ.บรูซ เผย "นี่เป็นก้าวสำคัญเลย เรายังไม่ได้แก้ปัญหาในเชิงปฏิบัติและนี่ก็ไม่ใช่คำตอบไปซะทีเดียว แต่เราก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ปฏิกิริยานี้ยั่งยืนและเป็นวงจรได้"
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์กำลังผลักดันให้มีการพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียม-อากาศขึ้น โดยเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้อากาศเป็นขั้วแคโธดและโลหะลิเธียมเป็นขั้วแอโนด และเนื่องจากว่าออกซิเจนในอากาศนั้นเป็นวัตถุดิบที่ทั้งถูกและเบา จึงไม่จำเป็นเลยที่แบตเตอรี่จะต้องมีกรอบที่หนักที่บรรจุอิเล็กโทรดไว้
แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น ไอออนของลิเธียมจะเคลื่อนที่จากขั้วแคโธดมายังขั้วแอโนดผ่านสารละลายอิเล็กโทรไลต์ หรือสารละลายเคมีอื่นๆ เมื่อเราใช้แบตเตอรี่ กระบวนการนี้จะผันกลับและการไหลของไออนจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น
แต่สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียม-อากาศนั้น ออกซิเจนจะเข้าไปยังขั้วแคโธด และรวมตัวกับไอออนของลิเธียม เกิดเป็นลิเธียมเพโรไซด์ ซึ่งจะสะสมตัวเมื่อเราใช้งานแบตเตอรี่นั้น
ศาสตราจารย์บรูซกล่าวว่า ทีมวิจัยสามารถสร้างปฏิกิริยานี้หลายครั้งโดยไม่ทำให้เกิดการสะสมของลิเธียมเพโรไซด์ได้แล้ว โดยใช้แผ่นฟิล์มทองคำพรุนเป็นขั้วอิเล็กโทรด
"ประเด็นนี้เป็นจุดอ่อนจุดเดียวของวงการแบตเตอรี่เลยล่ะ"สตีฟ วิสโก้ ประธานและซีอีโอบริษัทโพลีพลัส ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ซัลเฟอร์ ลิเธียม-น้ำทะเล และลิเธียม-อากาศ ที่มีฐานการผลิตที่แคลิฟอร์เนียกล่าว
วิสโก้เสริมว่า "นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้วงจรปฏิกิริยาที่ผันกลับได้ เราก็หวังว่าจะไม่ใช่แค่ทองเท่านั้นที่ทำได้ เพราะมันเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตจริงๆไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะส่งออกนอกอวกาศซึ่งเรื่องต้นทุนไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่ถ้าจะนำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้านี่ ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน"
ศาสตราจารย์บรูซชี้ว่า การทดลองนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องทำต่อ ก่อนที่เทคโนโลยีล้ำสมัยที่เราวาดฝันกันไว้ชิ้นนี้จะบังเกิดขึ้น
"เรายังอีกไกล สิ่งที่เราได้สาธิตให้เห็นตอนนี้เป็นเพียงก้าวสำคัญทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ในสาขานี้ ถ้าคุณเร่งและพยายามจะสร้างแบตเตอรี่โดยไม่มีความรู้ โอกาสจะประสบความสำเร็จก็น่าจะน้อย"

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2012/07/20/3549764.

อ้างอิงจาก  http://www.vcharkarn.com/vnews/154458

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บัวบก ศาสตร์แพทย์แผนจีน



            "บัวบก ภาษาจีน เรียก จิเสวี่ยเฉ่า หมายถึง หญ้าหรือสมุนไพร ที่เสมือนมีหิมะสะสมตัวอยู่ คือฤทธิ์เย็นมาก สามารถขับพิษร้อน การอักเสบทั้งหลาย"

            "บัวบก มีฤทธิ์กล่อมประสาท บำรุงสมอง ช่วยความจำ ลดความอ่อนล้าของสมอง"

            "คนที่มีภาวะเย็นพร่อง ร่างกายขี้หนาว ท้องอืด ไม่เหมาะกับบัวบก คนที่ขี้ร้อนหรือมีภาวะแกร่ง มีความร้อนชื้น เหมาะสำหรับการใช้บัวบก อย่าดูแต่สรรพคุณของบัวบกเพียงอย่างเดียว ต้องพิจารณาสภาพพื้นฐานของร่างกายเป็นสำคัญ"
            ลองรู้จักบัวบกและสรรพคุณทางยาที่บันทึกในตำราแพทย์แผนจีนโบราณ เปรียบเทียบดูกับการศึกษาวิจัยสมัยใหม่ จะทำให้เข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้นบัวบก            บัวบกมีแหล่งกำเนิดที่อินเดีย ญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย ศรีลังกา อเมริกาใต้ และประเทศแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นพืชสมุนไพรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ด้วยคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของสมอง รักษาโรคผิวหนัง เช่น โรคเรื้อนและโรคสะเก็ดเงิน จนมีเรื่องเล่าขานว่าแพทย์จีนโบราณท่านหนึ่งมีอายุยืนยาวถึง 200 ปี เพราะการกินสมุนไพรบัวบกเป็นประจำ
บัวบกจึงได้สมญานามว่า "ยาสุดยอดแห่งชีวิต"
            มีการเล่าขานเกี่ยวกับสรรพคุณการรักษาโรคของบัวบกมากมาย ในการรักษาการติดเชื้อของไวรัสตับอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล การอ่อนล้าของระบบประสาทส่วนกลาง โรคลมชัก ท้องเสีย ตัวร้อน และท้องอืด รวมทั้งโรคผิวหนัง และอาการปวดข้อรูมาตอยด์

บันทึก "บัวบก" ของตำราแพทย์แผนจีน            บัวบกมีรสขม เผ็ด ฤทธิ์เย็น เข้าเส้นลมปราณ หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต อวัยวะจั้ง (อวัยวะตัน) ทั้ง 5 ของร่างกาย


สรรพคุณบัวบก
1.ขับร้อน ขับชื้น            เนื่องจากรสขม ฤทธิ์เย็น ขมสามารถสลายชื้น เย็นสามารถขับร้อนได้ ดังนั้น โรคที่มีสาเหตุจากความชื้นกับความร้อนร่วมกัน เกิดการอุดกั้น จึงสามารถใช้บัวบกรักษาได้
            ดีซ่าน ในทัศนะแพทย์แผนจีนเกิดจากภาวะร้อนขึ้น เมื่อความชื้นตกค้างในทางเดินอาหารไม่สามารถขับทิ้ง เกิดการอุดกั้นสะสมความร้อน จึงเกิดการรวมตัว เช่น เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ ฯลฯ หลักการรักษาดีซ่านใน จินคุ้ยเอี่ยวเลี้ย กล่าวไว้ว่า 

            "โรคดีซ่านทั้งหลาย ให้ขับทางปัสสาวะ" ให้ขับไฟด้านบน ขับชื้นด้านล่าง (ปัสสาวะ) ทำให้เสียชี่ (สิ่งก่อโรค) ออกทางปัสสาวะ ถ้าร้อนชื้นหาย ดีซ่านก็จะหาย

            ท้องเสียในฤดูร้อน ฤดูร้อนมีอากาศร้อน มักมีความชื้นเข้าเกี่ยวข้องช่วงอากาศร้อนบริโภคของเย็นอาหารดิบมากเกินไป ทำให้เกิดความร้อนชื้น ปิดกั้นกระเพาะอาหารและลำไส้ เกิดอาการท้องเสีย ถ้าขจัดความร้อนชื้นออกไป ท้องเสียก็จะหยุด

            นิ่วทางเดินปัสสาวะ เกิดจากความร้อนชื้นของทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะแสบขัด มีการอักเสบมีการสะสมตัวเป็นก้อนนิ่วเล็กๆ ได้ การใช้บัวบกจึงเหมาะในการขับความร้อนชื้นทางเดินปัสสาวะ

            โรคบิด อาการปวดเบ่งอุจจาระ หรือมีมูกมีเลือดปน เรียกว่ามีภาวะร้อนชื้นของลำไส้ บัวบกมีฤทธิ์เย็นรสขม เหมาะสำหรับการรักษาโรคบิด

2.ระบายร้อนขับไฟ            ไฟและความร้อนเป็นพลังหยาง มีสาเหตุจากภายนอก (ความร้อนของอากาศ สิ่งแวดล้อม) และจากความร้อน (ไฟ) ที่เกิดภายในร่างกาย ความร้อนเหล่านี้ก่อให้เกิดอาการไข้ ตัวร้อน กระหายน้ำ เช่น การติดเชื้อทางเดินอาหารแล้วมีการอักเสบไข้สูง (แผนปัจจุบัน) ตาอักเสบบวมแดงรวมทั้งการอักเสบของผิวหนัง เช่น ไฟลามทุ่ง เป็นต้น

            อากาศร้อนในฤดูร้อน ทำให้เกิดไข้ อักเสบตัวร้อน กระหายน้ำเหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย พิษร้อนสะสมภายใน คือเสียชี่ (สิ่งก่อโรค) เข้าสู่ระดับชี่ การใช้บัวบกที่มีฤทธิ์เย็นรสขม จึงช่วยระบายความร้อนการอักเสบในฤดูร้อนได้ดี

            ตาอักเสบบวมแดง เนื่องจากตับเปิดทวารที่ตา คือ โรคของตาอักเสบบวมแดง เกิดจากไฟตับขั้นสูงเบื้องบน ทำให้ระคายเคืองตา แพ้แสง คอขม คอแห้งปวดแน่นชายโครง ลิ้นแดง ปัสสาวะสีเข้ม ชีพจรเต้นเร็วการรักษาด้วยบัวบก จึงช่วยขับระบายไฟตับ

            ไฟลามทุ่ง ผิวหนังอักเสบ เนื่องจากความร้อนที่รุนแรงเข้าสู่ระดับเลือด มีการปิดกั้นของความร้อนที่ผิวหนังในหนังสือ ถังเปิ่นเฉ่า บันทึกไว้ว่า "เอาบัวบกตำ และพอกรักษาความร้อนบวมของไฟลามทุ่ง" การกินบัวบก และการพอกภายนอกจะระบายความร้อน ขับไฟทะลวงซานเจียว ด้านบนวิ่งไปปอด ตรงกลางวิ่งไปม้าม กระเพาะอาหาร ด้านล่างวิ่งไป ไต ทำให้เลือดเย็นลดบวม ทะลวงความร้อนออกภายนอก ไฟลามทุ่งจะหายไปเอง

3.ลดบวมขับพิษ            เนื่องจากฤทธิ์เย็นและทำให้เลือดเย็น มีสรรพคุณขับไฟ ระบายความร้อน ระดับชี่ ระดับเลือด
            รักษาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ลดอาการอักเสบ บวม สลายก้อนทำให้เลือดเบา
            รักษาอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก หรือคอเป็นหนอง ซึ่งแพทย์จีนหมายถึง ภาวะปอดร้อน บัวบกมีฤทธิ์เย็นสามารถขับความร้อนและพิษที่สะสมที่ปอดได้

            บาดเจ็บช้ำในจากการกระทบกระแทก ใช้บัวบกตำละเอียดเฉพาะที่และกิน จะสลายภาวะเลือดอุดกั้นคั่งค้างทำให้ลดบวม ระงับการอักเสบปวดบวม

4.ทำให้เลือดเย็นหยุดเลือด            บัวบกมีสรรพคุณทำให้เลือดเย็นและสามารถหยุดเลือดได้ ทำให้เลือดเดินแต่เลือดไม่ออกจากเส้นเลือดทั้งทำให้เลือดเย็น หยุดเลือดและสลายเลือดทั้ง 2 ด้าน จึงนำมารักษาภาวะเลือดออก เช่น ไอเป็นเลือด เลือดกำเดาออก อาเจียนเป็นเลือด

            อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการเลือดออกดังกล่าว ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดเสียก่อน

5.ขับลม ขับพิษ            โรคผิวหนัง เช่น หัด หิด แพทย์จีนมองว่าเกี่ยวข้องกับลมความร้อนที่มากระทบ เกิดการอุดกั้นบริเวณผิวหนังทำให้เกิดผื่นคัน
            หัด หรือไข้ที่มีผื่นร่วมด้วย จัดเป็นพิษร้อนจากภายนอกที่มากระทบร่างกาย และปิดกั้นอยู่บริเวณผิวหนังการขับพิษ ขับร้อน กระจายลมร้อนบริเวณผิวหนัง และทำให้เลือดเย็น สามารถรักษาโรคที่มีผื่นการติดเชื้อเช่นโรคหัดได้
            หิด เป็นผิวหนังอักเสบ คัน มีตุ่มน้ำใสๆ บางตำแหน่งหลังเกาแล้วจะเป็นแบบแห้ง จัดเป็นภาวะร้อนชื้นประเภทหนึ่ง ความขมของบัวบกจะสลายชื้น ฤทธิ์เย็นจะขับพิษ

6.ทำให้ก้อนนิ่มสลายการก่อตัวของก้อน            ก้อนต่างๆ รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองโต ก้างปลาติดคอสามารถใช้คุณสมบัติในการทำให้เลือดเดิน กระจายเลือดที่เกาะตัว ทำให้ก้อนนิ่มสลายก้อนได้


ปริมาณที่ใช้            ใช้กิน : บัวบกแห้งปริมาณ 9-15 กรัม บัวบกสด ปริมาณ 20-50 กรัม
            ใช้ทาพอกภายนอก : ตำให้ละเอียด เอาน้ำหรือเนื้อบดละเอียดปิดบริเวณที่จะรักษา

ข้อความระวังการใช้บัวบก
            การกินบัวบกจะต้องพิจารณาพื้นฐานร่างกายด้วย อย่าพิจารณาแต่สรรพคุณของบัวบกเพียงอย่างเดียว
            คนที่มีภาวะร่างกายพร่องและเป็นคนที่ร่างกายขี้หนาว กลัวความเย็น ระบบย่อยอาหารไม่ดี กินอาหารที่มีฤทธิ์เย็น รสขม แล้วจะท้องอืด ท้องเสียง อาหารไม่ย่อย ไม่เหมาะกับบัวบกซึ่งมีฤทธิ์เย็น

            บัวบกเหมาะสมกับคนมีภาวะแกร่ง ร้อน และความชื้นสะสม

ตัวอย่างการนำมาใช้ทางคลินิกจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
            1.รักษาดีซ่านจากภาวะร้อนชื้นบัวบก 30 กรัม น้ำตาลกรวด 30 กรัม ต้มน้ำกิน
            2.ท้องเสียจากความร้อน ความชื้นในฤดูร้อน เอาใบบัวบกมาม้วนเป็นชิ้นกลมๆ เคี้ยวละเอียดแล้ว กลืนกับน้ำ 1-2 ชิ้น
            3.นิ่วทางเดินปัสสาวะใช้บัวบก 50 กรัม ต้มกับน้ำชาวข้าว (ครั้งที่ 2) ดื่มกิน
            4.ฝีหนอง ระยะเริ่มแรก ใช้ใบบัวบกตำละเอียด นำไปพอกบริเวณฝีหนอง
            5.คออักเสบบวม ใช้ใบบัวบกสด 60 กรัม ล้างสะอาดบดละเอียดในชาม ชงละลายน้ำอุ่น อมกลั้วคอบ่อยๆ
            6.ปัสสาวะติดขัด ใบบัวบกสด 50 กรัม ตำให้ละเอียดนำไปพอกบริเวณสะดือ เมื่อถ่ายปัสสาวะคล่องดีแล้วค่อยเอาออก
            7.ฟกช้ำ บากเจ็บจากการกระทบกระแทก
                 - ใช้ใบบัวบก ๔๐-๕๐ กรัม ดื่มกับเหล้าแดง 250 ซีซี นาน 1 ชั่วโมง แล้วดื่มกิน
                 - ภายนอกใช้ทุบให้ละเอียดโปะบริเวณฟกช้ำ

            8.ตาอักเสบแดงบวม เอาใบล้างสะอาด คั้นเอน้ำบัวบก หยดที่ตา 3-4 ครั้ง/วัน
            9.ก้างปลาติดคอ เอาบัวบกต้มน้ำ ค่อย ๆ กลืนน้ำบัวบกลงคอ
            10.เต้านมอักเสบเป็นหนองระยะแรก เอาบัวบกและเปลือกของลูกหมาก 1 ผล ต้มกับเหล้าดื่มกิน
            11.ไฟลามทุ่ง เอใบบัวบกล้างสะอาด ตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำ ใช้ผสมกับแป้งข้าวเหนียว ทำเป็นแป้งเหลว ใช้พอกบริเวณที่อักเสบ


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43957