วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

น้ำตาโลมา: น้ำตาที่ไม่ใช่น้ำตา


โลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ฉลาดและเป็นมิตรกับมนุษย์ เมื่อมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับโลมาจึงมักสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้พบเห็นอยู่เสมอ
เช่น ภาพ "น้ำตาโลมา..." "Tears of Dolphin" ที่โพสต์โดยเพจ "A call for Animal Rights" Walk Rally ใครเห็นก็คงสงสาร



           คำบรรยายภาพเป็นการกล่าวขอบพระคุณกรมทรัพยากรทะเล และชายฝั่ง ประเทศไทย ที่ช่วยโลมาหัวบาตร หลังเรียบ (Finless Porpoise) ที่เกยตื้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่ทราบด้วยเหตุอันใด ภาพนี้ถูกเผยแพร่ไปยังเว็บอื่นๆ โดยมีเนื้อหาว่า "เป็นภาพของปลาโลมาตัวหนึ่งถูกจับขึ้นมาบนบกเพื่อเตรียมขึ้นเขียงแล่เนื้อ มันจึงหลั่งน้ำตาออกมาอย่างน่าสงสารประหนึ่งว่ารู้ชะตากรรมของตัวเอง" และเนื้อหาที่สะเทือนอารมณ์ลักษณะนี้มักจะเผยแพร่ไปได้เร็วเสมอhttp://fb.kapook.com/pet-47436.html (แก้ไขแล้ว)
http://board.postjung.com/633241.html

           ที่จริงแล้วภาพโลมานี้เป็นเหตุการณ์ช่วยเหลือโลมาหลังเรียบเกยตื้น ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเมื่อพฤษภาคม ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการล่าโลมาแต่อย่างใดhttp://news.xinhuanet.com/society/2011-05/27/c_13897142.htm 
http://www.weather.com.cn/news/1343897.shtml

           และไหนๆ ก็มีข่าวเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลมามากขึ้นอีกนิดเกี่ยวกับ น้ำตาที่เห็นในภาพ
           โลมาและวาฬ จัดอยู่ในกลุ่ม Cetacean หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่วิวัฒนาการกลับไปอยู่ในทะเล (marine mammal) น้ำตาของสัตว์ในกลุ่มนี้มีลักษณะหนืดคล้ายครีม ทำหน้าที่เคลือบกระจกตา (Cornea) เพื่อป้องกันจากเกลือที่อยู่ในน้ำทะเล ต่างจากน้ำตาของคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่เป็นน้ำใสๆ
ฉะนั้นที่เห็นไหลเป็นหยดๆ ออกจาตาโลมาในภาพ ไม่น่าใช่น้ำตา
http://en.wikipedia.org/wiki/Cetacea#Vision.2C_hearing_and_echolocation
http://www.sarkanniemi.fi/akatemiat/dolphin_anatomy.html

          บทความหนึ่งในเพจ "A call for Animal Rights" Walk Rally ได้ระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "โลมาไม่เคยยิ้ม โลมาไม่มีกล้ามเนื้อสำหรับยิ้ม" อาจเพราะรูปทรงกะโหลกของโลมาทีทำให้รูปปากของมันคล้ายกับการยิ้มของคน คนจึงตัดสินจากมุมมองของตัวเองว่าโลมายิ้ม ทั้งที่จริงอาจไม่ใช่
          เช่นกัน การที่เราเห็นว่ามีน้ำเหลวๆ หยดออกมาจากตาโลมามันคล้ายกับการร้องไห้ของคน เราจึงคิดไปเองว่ามันร้องไห้

         สรุปคือ เราไม่สามารถเอาลักษณะภายนอกแบบที่เราคุ้นเคยไปตัดสินอารมณ์ความรู้สึกของสัตว์ โลมาอาจจะร้องไห้อยู่ก็ได้ แต่เราไม่สามารถบอกได้จากน้ำที่ไหลจากตา หรือโลมาอาจจะดีใจอยู่ก็ได้แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันดีใจโดยดูจากรอยยิ้มของมัน สัตว์อาจไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์แบบเดียวกับมนุษย์

         สุดท้าย ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้จ้องจะจับผิดหรือคัดค้านการรณรงค์เรื่องสิทธิ์ของสัตว์แต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่าการล่าโลมาก็ดูโหดร้ายน่าส่งสาร แต่ปล่อยให้อารมณ์ที่รุนแรงบดบัง ก็จะมองไม่เห็นความจริง การทราบข้อข้อเท็จจริง จะทำให้เราแสดงความเห็นใจหรือให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม

อย่าเพียงแค่...น้ำตาจะไหลขอแชร์นะครับ

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/114084/6/#P6

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

รา Geomyces destructans สาเหตุโรคจมูกสีขาวในค้างคาว


เป็นเชื้อราที่ชอบความเย็น (Psychrophilic fungi) ซึ่งเป็นเชื้อราที่ก่อสาเหตุทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ ชื่อว่าโรคจมูกสีขาว (White-Nose Syndrome หรือ WNS) ในค้างคาวทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา 


โรคดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ถ้ำโฮเวสเป็นสถานท่องเที่ยวยอดนิยม  มีการรายงานการตายของค้างคาวตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา พบว่า มีการตายของค้างคาวมากกว่า 1,000,000ตายจากโรคที่เกิดจากราชนิดนี้   โรคจมูกสีขาวจากการติดเชื้อ G. destructans ยังได้รับการรายงานอีกด้วยในยุโรปเช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิส ฮังการี สาธารณรัฐเช็กและสโลวาก

ภาพจาก http://www.news.wisc.edu/19956



ลักษณะและการเจริญเติบโตเป็นอย่างไร
?

พบว่าบนอาหารเลี้ยงเชื้อ  ราGeomyces destructans มีความแตกต่างจากราชนิดอื่น ๆในสกุลเดียวกัน คือ สปอร์มีรูปแบบโค้ง และ มีการเจริญเติบโตช้ามาก หรือ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 24องศาเซลเซียส โดย G. destructans มีช่วงการเจริญเติบโตที่ดีที่สุดประมาณ 4 ถึง 15 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิเดียวกันของการจำศีลของค้างคาวในสหรัฐอเมริกา

 

 

ลักษณะอาการของโรคเป็นอย่างไร?



เป็นลักษณะของกลุ่มราสร้างโครงสร้างคล้ายฝอยสีขาวมาปกคลุมรอบๆปาก จมูกค้างคาวและรวมทั้งรอยสีขาวที่กัดกินเนื้อบริเวณปีกอีกด้วย ทำให้หายใจไม่ได้และมีอาการระคายเคืองในค้างคาว รอยแผลที่ปีกอาจทำให้ค้างคาวไม่สามารถบินได้สะดวก อีกทั้งการตื่นบ่อยๆในระหว่างช่วงการจำศีลทำให้ค้างคาวสูญเสียพลังงานจำพวกไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายสูญเสียและทำให้พวกมันขาดอาหารและหนาวตายในที่สุด


 

การแพร่การจายของ G. destructans มาจากที่ไหน และอย่างไร?



โรคจมูกขาว จาก G. destructans ไม่เคยมีรายงานมาก่อนในทวีปอเมริกาเหนือก่อนที่มีการระบาดของโรคจมูกขาว ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยของการแพร่กระจายของโรคโดยการย้ายถิ่นฐานของค้างคาวที่ติดเชื้อระหว่างทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือโดยการบินข้ามมหาสมุทรของค้างคาว   แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าการแพร่การจายของ G. destructans อาจเกิดจากมนุษย์เป็นพาหะ ในลักษณะนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่เดินทางมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้ นำเชื้อรา ติดมา หรือ ปนเปื้อนเชื้อรา บนเสื้อผ้าหรือกระเป๋าเดินทาง และนำมาแพร่ขยาย ติดเชื้อสู่ค้างคาวดังกล่าว

 

ภาพจาก http://cavingnews.com/

อ้างอิง
 Blehert et al. 2009. Bat white-nose syndrome: an emerging fungal pathogen? Science, 323:227

Gargas, A, et al. 2009. Geomyces destructans sp. nov. associated with bat white-nose syndrome. Mycotaxon , 108:147-154

เรียบเรียง: Nattawut Boonyuen


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/115699

ขั้วน้ำแข็งดาวอังคารและความสัมพันธ์กับแสงอาทิตย์


บนขั้วโลกของดาวอังคารนั้นมีแผ่นของน้ำแข็งและฝุ่นซ้อนกันเป็นชั้นๆ บ่งบอกว่าสภาพอากาศที่ดาวอังคารที่ผ่านมานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันนิลส์ บอหร์ ได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชั้นของน้ำแข็งที่ขั้วเหนือของดาวอังคารกับความเปลี่ยนแปลงของแสงอาทิตย์ที่ส่องมาถึงดาวอังคาร จนได้ทราบสภาพอากาศที่ผ่านๆมาของดาวอังคาร โดยเชื่อว่า น้ำแข็งและฝุ่นที่สะสมตัวกันเป็นชั้นๆนั้น ได้รับอิทธิพลจากความเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์ที่ส่องมาถึงดาวอังคาร
ผลงานการค้นพบนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ lcarus แล้ว
บริเวณที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งบนขั้วของดาวอังคารนั้น น้ำแข็งมีความหนาหลายกิโลเมตรและประกอบไปด้วยชั้นของพืดน้ำแข็งและฝุ่นซ้อนกันหลายๆชั้น บริเวณดังกล่าวมีลักษณะเป็นเนินเขาและหุบเขาอย่างที่เราทราบมาหลายสิบปีแล้วนับตั้งแต่มียานอวกาศมาสำรวจขั้วของดาวอังคารครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า การที่บริเวณนี้ประกอบด้วยหลายๆชั้นซ้อนกัน น่าจะสะท้อนถึงสภาพอากาศบนดาวอังคารในอดีตที่ผ่านมาได้ เช่นเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์เคยวิเคราะห์บันทึกสภาพอากาศของโลกจากการวิเคราะห์แก่นน้ำแข็งบริเวณเกาะกรีนแลนด์และทวีแอนตาร์ติกา
เนื่องจากแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังดาวอังคารจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเนื่องจากแกนการหมุนรอบตัวเองของดาวอังคารเอียงไม่ต่างจากโลกมากนัก หลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พยายามจะเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์กับการก่อตัวของชั้นต่างๆบนดาวอังคาร โดยพยายามจะดูสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคาบๆในชั้นที่เราพอจะสังเกตการณ์ได้ นั่นก็คือ 500 เมตรบนสุด ซึ่งหากพบการเปลี่ยนแปลงเป็นคาบๆในลักษณะที่ว่า ก็แสดงว่าเราน่าจะบ่งบอกย้อนไปถึงการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์บนดาวองคารได้ แต่จนถึงก่อนหน้านี้ ยังไม่มีใครพบความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์กับชั้นบนพื้นผิวของดาวอังคารเลย
"ที่นี่ เราใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปจากเดิมเลย เราได้พัฒนาแบบจำลองที่จำลองได้ว่าชั้นแต่ะชั้นก่อตัวขึ้นมาอย่างไร โดยอ้างอิงจากกระบวนการทางกายภาพพื้นฐาน และแบบจำลองก็ได้แสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการสะสมตัวของน้ำแข็งและฝุ่น กับการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์จริง" คริสตีน ฮวิดเบิร์ด นักวิจัยฟิสิกส์น้ำแข็งที่ศูนย์ศึกษาน้ำแข็งและสภาพอากาศ สถาบันวิจัยนีลส์ บอหร์ มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เผย
ฮวิดเบิร์กอธิบายว่า ในแบบจำลองนั้น การก่อตัวของชั้นของผิวดาวอังคารได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์ และชั้นที่อุดมไปด้วยฝุ่นจะเกิดจาก 2 กระบวนการคือ
1: น้ำแข็งระเหยเป็นไอมากในช่วงหน้าร้อน (เมื่อแกนดาวอังคารชี้ลง) และ
2: มีความเปลี่ยนแปลงการสะสมของฝุ่นอันเนื่องมาจากแกนดาวอังคารเปลี่ยนลักษณะการชี้
แบบจำลองดังกล่าวจัดว่าเป็นแบบจำลองที่ดูง่าย แต่มีความเป็นไปได้ทางฟิสิกส์ และสามารถใช้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการก่อตัวของชั้นบนพื้นผิวของดาวอังคารได้
นักวิจัยสร้างกรอบทำงานให้กับแบบจำลองดังกล่าวเพื่อให้สามารถอธิบายการก่อตัวได้จริงเมื่อมีการสำรวจจริง และเมื่อทำการเปรียบเทียบชั้นของพื้นผิวจากแบบจำลอง กับการวัดพื้นผิวจริงๆจากภาพจากยานอวกาศความละเอียดสูงบนขั้วเหนือของดาวอังคาร นักวิจัยพบว่า แบบจำลองให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับความจริงอันซับซ้อนมากทีเดียว
"แบบจำลองนี้สามารถบอกถึงพื้นผิว 500 เมตรบนสุดของขั้วน้ำแข็งขั้วเหนือของดาวอังคารได้ เท่ากับว่า บ่งบอกสภาพอากาศได้ย้อนหลังถึง 1 ล้านปี และพบว่า อัตราการสะสามตัวโดยเฉลี่ยของน้ำแข็งและฝุ่นคือ 0.55 มิลลิเมตรต่อปี เนื่องจากว่าแต่ละชั้นและปริมาณการส่อแสงของดวงอาทิตย์มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น เราจึงบอกสภาพอากาศบนขั้วเหนือของดาวอังคารได้มากกว่า 1 ล้านปี" คริสตีน ฮวิดเบิร์ก ยืนยัน
แม้ว่าแบบจำลองนี้จะได้มาจากการเปรียบเทียบชั้นที่มีอยู่จริงในช่วงความลึก 500 เมตร แต่ก็เคยมีการศึกษาก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ชั้นน้ำแข็งทั้งหมดและโครงสร้างภายในสามารถอธิบายได้ด้วยแบบจำลองเพียงแค่ 500 เมตรบนสุด ดังนั้น แบบจำลองนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่า การสะสมตัวของน้ำแข็งและฝุ่นบนดาวอังคารในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านๆมาเป็นเช่นไร

อ้างอิง: University of Copenhagen (2012, September 6). Mars's dramatic climate variations are driven by the Sun. ScienceDaily. Retrieved September 8, 2012, from http://www.sciencedaily.com/releases/2012/09/120906112603.htm

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154527

พบดาวเคราะห์ในกระจุกดาวรวงผึ้ง


นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ที่อยู่ในกระจุกดาวเป็นครั้งแรก และยังเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ยืนยันว่า ดาวเคราะห์สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่มีดาวฤกษ์อยู่มากๆ
แม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่เหมาะสมกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แต่นักดาราศาสตร์จินตนาการว่า ท้องฟ้าของดาวเคราะห์ดวงนี้ต้องมีดวงดาวมากกว่าที่เราเห็นจากบนโลกแน่นอน
ดาวเคราะห์ดวงนี้มีลักษณะคล้ายกับดาวพฤหัสร้อนขนาดยักษ์ มีมวลมาก และอุดมไปด้วยแก๊สที่กำลังเดือดเพราะโคจรอยู่ใกล้ๆดาวแม่ด้วยคาบที่สั้น แต่ละดวงนี้โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่ลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ในกระจุกดาวรวงผึ้ง หรือกระจุกดาว Praesepe อันเป็นกระจุกดาวที่มีดาวฤกษ์อยู่ประมาณ 1,000 ดวง
กระจุกดาวรวงผึ้ง เป็นกระจุกดาวเปิด คือ กระจุกดาวที่ดาวแต่ละดวงเกิดในเวลาใกล้เคียงกันและมาจากกลุ่มก้อนเมฆเดียวกัน ดังนั้น ดาวฤกษ์แต่ละดวงจึงมีองค์ประกอบทางเคมีที่คล้ายๆกัน กระจุกดาวจะไม่เหมือนกับดาวแบบอื่นๆเพราะหลังจากเกิดแล้วจะไม่กระจายตัวกันออกไป แต่ยังเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันด้วยแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน
"เราตรวจพบดาวเคราะห์มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว และก็มีความหลากหลายมากขึ้น อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุดขั้วมากขึ้น อย่างตอนนี้ก็กระจุกดาวที่ดาวอยู่ใกล้ๆกัน" มาริโอ อาร์. เปเรซ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในโครงการค้นหาจุดกำเนิดระบบสุริยะขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐ หรือนาซ่า กล่าว
"กาแลกซี่ของเรามีกระจุกดาวเปิดแบบนี้พันกว่าแห่ง ซึ่งก็มีศักยภาพทางฟิสิกส์มากพอที่จะก่อให้เกิดดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มากมาย"
ดาวเคราะห์ในกระจุกดาวรวงผึ้ง สองดวงนี้มีชื่อว่า Pr0201b และ Pr0211b โดยที่มีชื่อตามหลังว่า b นั้นเป็นมาตรฐานการตั้งชื่อตามการรวมตัวของดาวเคราะห์
"นี่เป็นดาวเคราะห์แบบ b สองดวงแรกในกระจุกดาวรวงผึ้ง" แซม ควินน์ นักศึกษาปริญญาโทด้านดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอร์เจียสเตท มลรัฐแอตแลนตา สหรัฐอเมริกา และผู้แต่งบทความนี้กล่าว โดยบทความนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Astrophysical Journal Letters แล้ว
ควินน์และทีมงานของเขา โดยความร่วมมือกับเดวิด ลาแธม ที่ศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาเวิร์ด-สมิธโซเนียน ค้นพบดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ทิลลิงฮาสต์ ขนาดหน้ากล้อง 1.5 เมตรที่ศูนย์สังเกตการณ์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์เฟรด ลอว์เรนซ์ของศูนย์ฮาเวิร์ด-สมิธโซเนียน ในอมาโด มลรัฐแอริโซนา เพื่อวัดการโคลงเคลงของแรงโน้มถ่วงขนาดเล็กๆที่เกิดจากดาวเคราะห์ที่กำลังโคจรรอบดาวแม่อยู่นี้ โดยการค้นพบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบกระจุกดาวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการค้นหาครั้งนี้พบแต่ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ยักษ์ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดาวเคราะห์มาโคจรรอบดาวฤกษ์ที่คล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ของเรา
"นี่เป็นปริศนาข้อใหญ่ของนักล่าดาวเคราะห์" ควินน์บอก "เรารู้ว่าดาวฤกษ์ส่วนใหญ่มักจะก่อตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมที่คล้ายๆกับเนบิวลาโอไรออน บางที สภาพแวดล้อมแบบนี้ก็เหมาะกับการก่อตัวของดาวเคราะห์ และอย่างน้อยที่สุด กระจุกดาวที่มีดาวฤกษ์ที่คล้ายกับดวงอาทิตย์แบบนี้ก็น่าจะมีดาวเคราะห์บ้างนะ และในที่สุด เราก็ค้นพบ"
ผลการศึกษาครั้งนี้ยังเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักทฤษฎีที่พยายามจะเข้าใจดาวพฤหัสร้อนที่โคจรใกล้กับดาวแม่มากๆด้วย โดยทฤษฎีส่วนใหญ่นั้นจะใช้ได้กับดาวพฤหัสร้อนที่เย็นกว่านี้และไกลจากดาวแม่กว่านี้
"อายุที่ถือว่าน้อยสำหรับกระจุกดาวรวงผึ้ง นั้นทำให้ดาวเคราะห์ที่ว่าเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่อายุน้อยที่สุด" รัสเซล ไวท์ นักวิทยาศาสตร์แห่งโครงการศึกษาจุดกำเนิดระบบสุริยะ ของนาซ่ากล่าว "และนี่ก็สำคัญเพราะว่ามันคือสถานการณ์ที่ดาวเคราะห์ยักษ์โคจรเข้าไปซึ่งเราก็อยากจะรู้ว่าเร็วเพียงใด และการรู้ว่าเข้าไปเร็วเพียงใดนั้นคือก้าวแรกที่จะศึกษาว่าดาวเคราะห์เคลื่อนที่เข้าไปใกล้ดาวแม่อย่างไร"
นักวิทยาศาสตร์ยังชี้ด้วยว่า กระจุกดาวรวงผึ้ง มีโลหะอยู่มาก ดังนั้น ดาวหลายๆดวงในกระจุกดาวรวงผึ้ง จึงมีธาตุหนักเช่นเหล็กมากกว่าที่ดวงอาทิตย์ของเรามี
"การค้นพบดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ๆดาวฤกษ์เป็นการบอกว่า โลหะเหล่านี้เป็นเหมือนปุ๋ยของดาวเคราะห์ ซึ่งหมายถึงว่า ดาวเคราะห์แก๊สจะอุดมไปด้วยธาตุมากมาย ผลการศึกษาของเราก็ชี้ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในกระจุกดาวได้เช่นกัน"

อ้างอิง: NASA/Jet Propulsion Laboratory (2012, September 14). First planets found around sun-like stars in a cluster. ScienceDaily. Retrieved September 16, 2012, from http://www.sciencedaily.com­ /releases/2012/09/120914133446.htm

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154550

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

โรคประหลาด'เล็บ'ผุดทุกรูขุมขน


ปัจจุบันเกิดโรคมากมายให้ต้องระมัดระวังกัน เพราะมีโรคแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างนึกไม่ถึง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนจำเป็นต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทและรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้สามารถต่อสู้กับโรคต่างๆได้ หรือเพื่อให้ "ทำใจ" ได้หากโชคร้ายอย่างไม่คาดฝัน ดังกรณีสาวน้อยชาวอเมริกันผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่งที่ต้องตกอยู่ในฝันร้าย เมื่อปฏิกิริยาภูมิแพ้ทำให้เธอกลายเป็น "โรคประหลาด" มี "เล็บ" หรือขนแข็งขึ้นแทบทุกรูขุมขน ซึ่งแพทย์จนปัญญาที่จะรักษาให้หายได้


          โรคภูมิแพ้มีหลายอย่าง เช่น แพ้นมวัว แพ้อาหารทะเล หรือแพ้ละอองเกสรดอกไม้ ซึ่งต้องคอยระมัดระวังการบริโภคเพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เป็นอันตราย สำหรับสาวน้อยชานีนา ไอซอม ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซีของสหรัฐ มีความโชคร้ายที่แตกต่างไป โดยต้องทิ้งอนาคตนักศึกษาใหม่ในรั้วมหา วิทยาลัยมาอยู่ในสภาพเหมือนตกนรกทั้งเป็นเพราะอาการประหลาด


          เหตุเกิดขึ้นเมื่อปี 2009 เมื่อไอซอมได้รับ ยาสเตียรอยด์ ตามแพทย์สั่งเพื่อรักษาโรคหืดกำเริบ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเธอก็มีอาการเหมือนแพ้ยาจนคันคะเยอไปทั้งตัว ก่อนจะตามมาด้วยตุ่มดำ ๆ ขึ้นเต็มขาทั้ง 2 ข้างที่แย่ไปกว่านั้นคือมีปุ่มและขนแข็งขึ้นตามรูขุมขนทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำตัว และศีรษะ จนผมร่วงต้องสวมวิกแทน ซึ่งภายหลังแพทย์ในบัลติมอร์ตรวจสอบพบว่าแท้จริงแล้วคือ "เล็บ" ดี ๆ นี่เอง ซึ่งจะงอกขึ้นทุกที่แทน "ผมหรือขน" เรียกว่าผมหรือขนงอกที่ใดจะมีเล็บโผล่ขึ้นมาแทน โดยมีการผลิตเซลล์ผิวหนังในต่อมผมมากกว่าปรกติถึง 12 เท่าตัว


          ขณะที่ร่างกายของเธอก็อ่อนแออ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ ทำให้เธอใช้ชีวิตประจำวันอย่างยากลำบาก หมดเรี่ยวแรงเดินเหินและทำกิจกรรมต่างๆ สุดท้ายต้องมีชีวิตอยู่บนเตียง

          ที่ผ่านมาแพทย์พยายามช่วยรักษาสารพัดวิธี ตั้งแต่การรักษาแผลพุพองไปจนถึงให้ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcas  แต่ไม่ได้ผล และไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ โดยเชื่อว่าไอซอมน่าจะเป็นรายแรกและรายเดียวของโลกที่ป่วยด้วยอาการประหลาดนี้


          ในปี 2011 ไอซอมเข้ารับการรักษากับแพทย์ในบัลติมอร์ผู้ค้นพบว่าสิ่งที่โผล่จากรูขุมขนของเธอคือเล็บ ซึ่งได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ยังไม่ได้คำตอบว่าเกิดจากอะไร และยังต้องค้นหา คำตอบต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีอยู่บ้างที่แพทย์สามารถควบ คุมอาการต่างๆของเธอได้แล้ว ทำให้เธอสามารถลุกขึ้นนั่งและเดินได้ด้วยตัวเองเป็นบางครั้ง และคงต้องสู้ต่อไปตราบที่ยังมีลมหายใจ

         นอกจากนี้เธอยังตั้ง มูลนิธิ S.A.I.Foundation ขึ้นเพื่อระดมทุนช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคของตัวเอง เนื่องจากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ครอบครัวอย่างมาก และยังมุ่งช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้รายอื่น ๆ ด้วย หวังว่ากรณีของไอซอมน่าจะเป็นตัวอย่างที่ช่วยให้คุณผู้อ่านใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทได้บ้าง


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44059

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ แต่ไม่ใช่เอดส์


         

           นักวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ หรือ NIH ของสหรัฐ เผยแพร่รายงานการวิจัยลงในเวบไซต์ของวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ระบุว่า โรคใหม่คือ  โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองในวัยผู้ใหญ่ หรือ อดัลต์ ออนเซ็ต อิมมูโนดีเฟียนซี ซินโดรม (adult-onset immunodeficiency syndrome)  ผู้ป่วยจะมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค และจะมีอาการป่วยคล้ายกับโรคเอดส์ แม้ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีก็ตาม โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คน ไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และมักเกิดในผู้ใหญ่มีอายุตั้งแต่เกือบ 50 ปีขึ้นไป

           ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยกว่า 200 คนที่ทำการศึกษา จะสร้างสารที่เรียกว่าแอนตี้บอดี้ทำลายตัวเอง ขึ้นมาปิดกั้นอินเตอร์เฟอรอน แกมมา สารโปรตีนในร่างกายที่จะช่วยยับยั้งการติดเชื้อต่าง ๆ ทำให้ร่างกายสามารถติดเชื้อไวรัส รา ปรสิต และโดยเฉพาะแบคทีเรียได้ง่าย ทำให้เชื่อว่าจะสามารถหาทางรักษาโรคนี้ได้ด้วยการพุ่งเป้าไปที่เซลล์ที่ผลิตแอนตี้บอดี้ทำลายตัวเอง (คมชัดลึกออนไลน์ 30 สิงหาคม 2555)


           โรคประหลาดคล้ายเอดส์  เป็นโรคที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี  พบมานับ 10 ปี   เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มมัยโคแบคทีเรีย การติดเชื้อราที่อาการรุนแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการไข้เรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหลายแห่ง ร่วมกับปอดอักเสบ ฝีตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบเป็นหนอง 
           โรคดังกล่าว ไม่ใช่โรคติดต่อ พบไม่บ่อย และไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติเหมือนอย่างโรคเอดส์ที่รู้ว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไม่ได้เกิดจากรับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันต่าง ๆ  โรคนี้พบมากในชาวเอเชียรวมทั้งคนไทย  มักเกิดในผู้ใหญ่อายุเฉลี่ย 40-50 ปี


          การรักษาผู้ป่วยในปัจจุบัน เป็นการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยยาต้านจุลชีพ ผู้ป่วยอาจมีการดำเนินโรคแตกต่างกัน การรักษาขณะนี้ ทำให้โรคติดเชื้อฉวยโอกาสสงบ แต่อาจมีการกำเริบหรือพบการติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆเป็นครั้งคราว
         ขณะนี้คณะผู้วิจัยซึ่งเป็นแพทย์โรคติดเชื้อจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะผู้วิจัยจากสถาบันสุขภาพอเมริกา ได้ทำการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการสร้างสารแอนติบอดีต่อสารอินเตอร์เฟอรอนแกมม่า ทำให้ภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ ดังกล่าวผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาสเหล่านั้น ซึ่งขั้นต่อไปคณะผู้วิจัยกำลังวางวิจัยเพื่อให้รู้สาเหตุการก่อโรค เพื่อจะได้วางแผนการรักษาโรคนี้ให้หายขาด


         ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรมารับการตรวจตามขั้นตอนจากแพทย์โรคติดเชื้อ  เพราะการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องแม้ไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ


ขอบคุณข้อมูลจาก  ศ.พญ. ยุพิน ศุพุทธมงคล  
ภาควิชาอายุรศาสตร์
Faculty of 
Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44064

ใช้ยาปฏิชีวนะกับเด็ก-ระวังทำให้เป็นโรคอ้วน


งานวิจัยล่าสุดพบว่า หากให้ยาปฏิชีวนะกับเด็กอายุไม่ถึง 6 เดือน อาจะทำให้เด็กเป็นโรคอ้วนในภายหลังได้
การศึกษาครั้งนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ International Journal of Obesity แล้ว โดยเป็นครั้งแรกที่ได้มีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะกับมวลน้ำหนักของร่างกายเริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์
"โดยปกติแล้ว เราจะคิดว่าโรคอ้วนจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้จักควบคุมอาหารหรือไม่ออกกำลังกาย แต่ยิ่งศึกษามากขึ้น เราพบว่ามันมีอะไรซับซ้อนยิ่งกว่านั้น" ดร.ลีโอนาร์โด ทราซานด์ แห่งวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์คเผย
"จุลินทรีย์ในลำไส้ของเรามีส่วนสำคัญในการดูดซับแคลอรี และจุลินทรีย์เหล่านี้ก็หวั่นไหวกับยาปฏิชีวนะโดยเฉพาะในช่วงที่อายุยังน้อย ซึ่งก็อาจจะทำให้แบคทีเรียเหล่านั้นตายได้ ส่งผลต่อการดูดซับสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย"
ก่อนหน้านี้ นักวิจัยทราบมาว่า เมื่อเซลล์จุลินทรีย์ในร่างกายหายไปล้านล้านตัว ก็ทำให้เกิดโรคอ้วน ลำไส้ติดเชื้อ หืด และอาการอื่นๆ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์กันโดยตรงถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้น
นักวิจัยได้ประเมินการใช้ยาปฏิชีวนาในกลุ่มเด็ก 11,532 คนที่เกิดใน Avon ประเทศอังกฤษ ในช่วงปี 1991 และ 1992 โดยนักวิจัยได้ติดตามดูผลการตรวจสุขภาพและพัฒนาการของร่างกายในระยะยาว
เมื่อศึกษาดูความสัมพันธ์ระหว่างมวลของร่างกายในช่วง 7 ปีแรกและการใช้ยาปฏิชีวนะในช่วง 2 ปีแรก นักวิจัยพบว่า เด็กที่ใช้ยาปฏิชีวนาในช่วง 5 เดือนแรกของชีวิตจะมีน้ำหนักมากกว่าเด็กที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ
แต่เด็กที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงตั้งแต่ 10-20 เดือนกับกลุ่มที่ไม่ได้รับนั้น พบว่าน้ำหนักไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่กลุ่มที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงก่อนจะอายุครบ 38 เดือนก็พบว่ามีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนมากขึ้นถึง 22 เปอร์เซ็นต์
นับว่าเรื่องของเวลาที่รับยามีผลอย่างมาก และเด็กที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงอายุตั้งแต่ 6-14 เดือนนั้นไม่ได้มีสัญญาณว่าจะมีน้ำหนักเยอะในภายหลัง
และเด็กที่รับยาปฏิชีวนะในช่วงอายุตั้งแต่ 15-23 เดือน ก็มีน้ำหนักมากกว่าปกติเล็กน้อยเมื่ออายุได้ 7 ปี แต่เมื่อโตขึ้นไปอีกก็ไม่ได้มีการพบว่ามีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วน
งานวิจัยยังได้เตือนว่า การใช้ยาปฏิชีวนะนั้นเป็นสิ่งที่อันตราย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก
"หลายปีมานี้ เกษตรกรเริ่มรู้แล้วว่ายาปฏิชีวนะทำให้วัวอ้วนขึ้นได้" ศาสตราจารย์แยน บลูสไตน์ นักวิจัยอีกคนจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์คเสริม
"เรายังต้องการงานวิจัยมาเพิ่มอีกเพื่อยืนยันว่าการค้นพบของเรานี้เป็นเรื่องนี้ แต่นี่ก็สามารถสรุปได้คร่าวๆว่า ยาปฏิชีวนะส่งผลให้มนุษย์มีน้ำหนักมากได้ โดยเฉพาะการใช้ในช่วงที่ยังเด็ก"

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2012/08/22/3573468.htm


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154497

จัดการกับความอ้วน ด้วยการจัดการจุลินทรีย์ในร่างกาย


การศึกษาปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่า ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) นั้น มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก โดยยาปฏิชีวนะจะส่งผลต่อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

          ดังที่เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ทราบกันมานานกว่า 50 ปีแล้วว่า การให้ยาปฏิชีวนะเพียงเล็กน้อย จะมีผลทำให้สัตว์ในฟาร์มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากยาปฏิชีวนะไปส่งผลต่อจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งงานวิจัยของ Leonardo Trasande ยังสนับสนุนทฤษฎีดังกล่าวอีกด้วย (สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.vcharkarn.com/vnews/154497)

          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในระบบทางเดินอาหารไม่ว่าจะของคนหรือของสัตว์นั้นมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากมาย ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การย่อยอาหาร แต่จุลินทรีย์ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีแต่จุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพเท่านั้น ยังมีจุลินทรีย์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ตราบใดที่จำนวนจุลินทรีย์ที่สองฝ่ายมีจำนวนสมดุลกัน คือจุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพมีจำนวนมากและแข็งแรงพอที่จะยึดผนังลำไส้และต้านทานจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรคไว้ได้ ร่างกายก็จะแข็งแรงดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับยาปฏิชีวนะ จุลินทรีย์อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฉวยโอกาสก่อโรคทันทีทำให้ท้องเสีย เป็นต้น


          จากที่มีงานวิจัยต่างๆ ออกมาว่ายาปฏิชีวนะมีผลทำให้เด็กและสัตว์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์สนใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานว่า ยาปฏิชีวนะมีผลต่อจุลินทรีย์ที่อยุ่ในระบบการย่อยอาหารอย่างไร มีกลไกอะไรที่ทำให้เกิดการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น

          คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ จึงได้ทำการทดลองโดยมุ่งเน้นหาคำตอบของความสัมพันธ์ระหว่างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ การย่อยอาหาร และความอ้วน ซึ่งนักวิจัยต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการได้รับพลังงาน (แคลอรี่) มากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้และระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย


ในการศึกษาผลของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารกับระบบภูมิคุ้มกันนั้น ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบโดยการให้อาหารที่มีไขมันสูงกับหนูสองกลุ่มในปริมาณเท่าๆ กัน หนูกลุ่มแรกเป็นหนูปกติ กับหนูกลุ่มที่สองคือ หนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ โดย lymphotoxin ทำหน้าที่เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมปฏิกิริยาการตอบสนองระหว่างระบบภูมิคุ้มกันกับจุลินทรีย์ในลำไส้

          พบว่าหลังจากทำการทดลองเป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์ หนูปกติจะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น โดย 1 ใน 3 ของน้ำหนักที่มากขึ้นนั้นเป็นไขมัน ส่วนหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ แม้จะกินอาหารในปริมาณเดียวกันแต่ไม่ทำให้อ้วนกว่าปกติแต่อย่างใด

          ซึ่งเมื่อศึกษาต่อไปพบว่า อาหารที่มีไขมันสูงนี้จะไปเหนี่ยวนำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารของหนูทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนไป สำหรับหนูปกติเมื่อได้รับอาหารที่มีไขมันสูงจะกระตุ้นให้สร้าง lymphotoxin เพื่อไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในกลุ่ม segmented filamentous bacteria ที่ทำหน้าที่สร้างเมือกซึ่งจะขัดขวางกระบวนการดูดซึมอาหาร และในขณะเดียวกันแบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในการย่อยอาหารที่มีไขมันสูง การเพิ่มขึนของแบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi นี้จึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่นๆ สำหรับหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxinได้นั้น จะไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์ในกลุ่มที่สร้างเส้นใยได้ (segmented filamentous bacteria) ทำให้แบคทีเรียในกลุ่ม Erysopelotrichi ไม่สามารถเพิ่มจำนวนเพื่อตอบสนองต่ออาหารไขมันสูงได้ จึงไม่ทำให้หนูกลุ่มนี้อ้วนขึ้นนั่นเอง

          ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวได้ถูกยืนยัน เมื่อนักวิจัยได้นำแบคทีเรียในทางเดินอาหารของหนูที่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ ไปปลูกถ่ายให้กับหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ พบว่าหนูสามารถสร้าง lymphotoxin ได้เองและทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนูที่ได้รับการถ่ายแบคทีเรียจากหนูอีกตัวที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ น้ำหนักจะลดลงเป็นเวลาสามสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะกลับมาเป็นปกติ

          และยังได้ทำการทดลองต่อไปโดยนำหนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้มาเลี้ยงรวมกับหนูที่สามารถผลิต lymphotoxin ได้ พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ หนูที่ไม่สามารถผลิต lymphotoxin ได้กลับมาผลิต lymphotoxin เอง เนื่องจากพฤติกรรมอย่างหนึ่งของหนูคือการที่มันกินมูลกันเอง (coprophagic) ทำให้ได้รับแบคทีเรียจากมูลของหนูตัวอื่นได้

          จากผลการทดลองทำให้สรุปได้ว่า lymphotoxin มีผลต่อการดูดซึมสารอาหาร โดย lymphotoxin นี้จะผลิตออกมาก็ต่อเมื่อได้รับสารอาหารที่มีไขมันสูง ทั้งสองปัจจัยนี้เองจะไปส่งผลต่อความสมดุลของจุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบย่อยอาหาร โดยที่เมื่อสมดุลของจุลินทรีย์เปลี่ยนไป จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมอาหารดีขึ้น

          อีก 20 ปีข้างหน้า จะมีคนนับหมื่นล้านคนอาศัยอยู่บนโลกเล็กๆ ใบนี้ ผนวกกับอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด คงจะเกิดการแก่งแย่งชิงดีกันแย่งอาหารเป็นแน่ การมีระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น น่าจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาวะดังกล่าว และข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยนี้น่าจะช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากโรคอ้วนได้อีกด้วย

          แต่อย่างไรก็ตาม จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้นั้นไม่ได้มีเพียงสายพันธุ์เดียว แต่มีมากกว่า 500 สายพันธุ์ ทำให้ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกมากเพื่อที่จะสามารถระบุได้ว่า จุลินทรีย์ชนิดใดบ้างที่ทำให้เป็นโรคอ้วน ซึ่งจุลินทรีย์ที่อาศัยในหนูกับในคนย่อมแตกต่างกัน งานวิจัยนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการศึกษาเท่านั้น
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44060