วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

หยุดไข้เลือดออก ด้วยยุง

ในประเทศเขตร้อน มีประัชาชนกว่า 100 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกในแต่ละปีและมีประชาชนเสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกกว่า 40,000 คน อันเนื่องมาจากช่วงชีวิตที่ยาวขึ้นของเชื้อไวรัส
แต่ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวิธีใหม่ที่จะหยุดเจ้าเชื้อไวรัสร้ายเดงกี่แล้ว โดยใช้ยุงที่ติดเชื้อแบคทีเรียที่จะช่วยหยุดเจ้าเชื้อไวรัสนี้ไม่ให้ระบาดออกไปอีก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตรียมจะปล่อยยุงที่ติดเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าป่าไปภายในปีหน้า
Scott O’Neill แห่งมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย และคณะ ได้พบแบคทีเรียในแมลงวันผลไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่า Wolbachia ซึ่งสามารถแพร่ระบาดไปยังยุงสายพันธุ์ Aedes ได้ แล้วทำให้ยุงชนิดนี้หมดโอกาสในการเป็นพาหะของเชื้อเดงกี่
เชื้อ Wolbachia จะถูกส่งผ่านไปยังไข่ของตัวตัวเมียที่ติดเชื้อ เพื่อให้ลูกหลานของยุงที่ถูกปล่อยออกไปเป็นพาหะของแบคทีเรียชนิดนี้ เพื่อให้ยุงที่มีเชื้อ Wolbachia นี้สามารถให้กำเนิดยุงที่มีเชื้อชนิดนี้ได้ต่อไป เพื่อช่วยในการจำกัดไม่ให้เชื้อเดงกี่สามารถแพร่ระบาดออกไปในวงกว้างนั่นเอง ซึ่งยุงที่มีเชื้อ Wolbachia นักวิทยาศาสตร์เตรียมที่จะปล่อยเข้าสู่ป่าในเวียดนามและออสเตรเลียเป็นแห่งแรก
ที่มา : NewScientist.com  Health

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b9%84%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%81-%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%87/

เพชรขนาดยักษ์แห่งดาราจักรทางช้างเผือก


ดาวพัลซาร์และดาวบริวารซึ่งอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก อยู่ห่างจากโลก 4,000 ปีแสง ในกลุ่มดาวงู


เชื่อหรือไม่ว่า ในดาราจักรทางช้างเผือกของเรานั้น มีเพชรขนาดใหญ่เท่าดาวเนปจูน ซึ่งดาวเคราะห์เพชรนี้อยู่ห่างจากโลกไปเพียง 4,000 ปีแสงเท่านั้น
นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ที่มีมวลมากดวงหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ในรูปของของแข็งที่มีลักษณะเป็นเพชรซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโลก
ดาวเคราะห์เพชรดวงนี้โคจรรอบดาวพัลซาร์ พีเอสอาร์ เจ 1719-1438 (PSR J1719-1438) ซึ่งค้นพบโดยคณะนักวิจัยนานาชาติที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ไซโร (CSIRO) ของหอดูดาวพากส์ในออสเตรเลีย การสำรวจของคณะนี้ทำโดยถ่ายภาพตามจุดต่าง ๆ ของท้องฟ้าต่างกัน 90,000 จุด แต่ละจุดใช้เวลารับแสงนาน 9 นาที
แต่ว่าดาวพัลซาร์ซึ่งเป็นดาวแม่ของดา่วเคราะห์เพชรดวงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ดาวพัลซาร์เกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ซึ่งมีมวลมากได้ยุบลงไปเป็นดาวนิวตรอน ดาวพัลซาร์ทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 20 กิโลเมตร ดาวพัลซาร์จะยิงคลื่นวิทยุออกมาเป็นลำและกวาดออกไปในอวกาศ หากลำนั้นชี้มายังโลก และมีกล้องโทรทรรศน์ส่องอยู่ที่ตำแหน่งนั้น กล้องก็จะมองเห็นคลื่นวิทยุแผ่ออกมาเป็นพัลส์ช่วงสั้น ๆ หากพัลซาร์นั้นมีดาวเคราะห์โคจรรอบอยู่ด้วย แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์จะรบกวนพัลส์นี้ซึ่งตรวจจับได้ และนี่คือสาเหตุที่นักดาราศาสตร์ตรวจพบดาวเคราะห์เพชรดวงนี้ซึ่งโคจรรอบพัลซาร์ นอกจากนี้นักดาราศาสตร์พบอีกว่าดาวพัลซาร์นี้เป็นดาวที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบๆ เป็นบริวารมากถึงร้อยละ 70 ของดาวพัลซาร์ทั้งหมด
จากการวิเคราะห์การกล้ำของพัลส์วิทยุ ทำให้สามารถวัดคาบของการโจรรอบดาวพัลซาร์ซึ่งเป็นดาวแม่  ระยะห่างจากดาวแม่ และขนาดของดาวบริวารดวงนี้ได้ พบว่าดาวบริวารนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 60,000 กิโลเมตร ซึ่งแม้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่มันก็มีความหนาแน่นมากกว่าดาวพฤหัสบดีที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 142,984 กิโลเมตร
เมื่อนักดาราศาสตร์ทำการวัดและวิเคราะห์รูปแบบการโคจร รวมทั้งมวลที่ไม่ธรรมดาของดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว นักดาราศาสตร์จึงคาดว่าที่มาที่ไปของดาวเคราะห์ดวงนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และแล้วนักดาราศาสตร์ก็พบว่า ดาวบริวารดวงนี้เคยเป็นหนึ่งในดาวพัลซาร์แฝดที่เคยโคจรรอบกันและกันมาก่อน (bizarre binary system) และต่อมาดาวพัลซาร์ดวงนี้ได้ลดขนาดลงกลายเป็นดาวที่มีแต่แกนซึ่งเป็นเพชร
เมื่อดาวพัลซาร์ทั้งสองโคจรรอบกันและกัน และต่อมาดาวทั้งสองก็ได้โคจรเข้าใกล้กันเรื่อยๆ จนกระทั่งดาวพัลซาร์ดวงหนึ่งได้ดึงดูดผิวของดาวฤกษ์ที่ประกอบด้วยธาตุเบาอย่างไฮโดรเจนและฮีเลียมไป เิหลือแต่แกนซึ่งเป็นคาร์บอนแข็ง และด้วยความดันมหาศาลจึงทำให้คาร์บอนแข็งอยู่ในรูปของเพชรนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามเพชรที่อยู่บนดาวดวงนี้มีความหนาแน่นมากกว่าเพชรที่อยู่บนโลกมาก
ส่วนดาวพัลซาร์ J1719-1438 เมื่อสิ้นสุดกระบวนการแย่งสสารก็เข้าสู่ภาวะสมดุล เป็นพัลซาร์มิลลิวินาทีที่หมุนรอบตัวเองเร็วถึง 10,000 รอบต่อนาที
ที่มา : DiscoveryNews

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

'อียู'พบดาวใหม่ -16ดวงคล้ายโลก


นักดาราศาสตร์ยุโรปประกาศการค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ 50 ดวง นอกระบบสุริยะ ในที่ประชุมรัฐไวโอมิง สหรัฐ ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์มารวมตัวกัน 350 คน นับเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเพราะมีดาวที่พบในคราวเดียวกันจำนวนมาก

การค้นพบดังกล่าวเป็นผลงานของอุปกรณ์ค้นหาดาวเคราะห์ที่มีความเร็วสูงและเที่ยงตรง ซึ่งติดตั้งอยู่บนกล้องโทรทรรศน์ขนาด 3.6 เมตรขององค์การอวกาศยุโรป (อีเอสโอ) ที่หอดูดาวลาซิญญา ในชิลี โดยใน 50 ดวง มีถึง 16 ดวงที่คล้ายคลึงกับโลกและอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่

สำหรับดาวเคราะห์ดวงที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มได้รับการตั้งชื่อรหัสว่า HD 85512 b

และได้รับการขนานนามว่า ซูเปอร์เอิร์ธ มีมวลมากกว่าโลก 3.6 เท่า อยู่ห่างจากกลุ่มดาวใบเรือ 36 ปีแสง นักดาราศาสตร์เชื่อว่ามีน้ำอยู่ในรูปของของเหลว ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิต

ลิซ่า คัลเทเนกเกอร์ สถาบันดาราศาสตร์แม็กซ์พลังก์และศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมิธ โซเนียน ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า การค้นพบครั้งล่าสุดนี้เป็นการเปิดศักราชใหม่ในการตามล่าดาวเคราะห์ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่เริ่มต้นมานานกว่า 15 ปี

อ้างอิงจาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/39572.html

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับสมการก้องโลก E=mc2

   27 กันยายน พ.ศ. 2448 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก เผยแพร่บทความเรื่อง "Does the Inertia of a Body Depend Upon Its Energy Content ?” ("จริงหรือไม่ที่ความเฉื่อยขึ้นอยู่กับพลังงานภายในของวัตถุ”) ซึ่งได้นำเสนอสมการก้องโลก E=mc2 สมการนี้แสดงความสัมพัทธ์ระหว่างมวลและพลังงาน อธิบายได้ว่า เมื่อให้พลังงานกับมวลเพื่อให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น มวลนั้นก็จะมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย จากทฤษฎีนี้ทำให้นำสู่ผลที่ว่าไม่มีอะไรเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง หลักการนี้จึงเป็นหลักการเบื้องต้นของ "ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป" (theory of relativity) แม้ว่าไอน์สไตน์จะใช้เวลาเพียงแค่ 4 เดือน ในการสร้างผลงานปฏิวัติโลกด้วยผลงานเด่น ๆ 3 ผลงานในปีนี้ คือ “ปรากฏการณ์โฟโตอิเลกตริก” (Photoelectric Effect) “การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน” (Brownian Motion) และ “ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ” (special relativity) แต่โลกต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษเพื่อทำความเข้าใจและเห็นคุณค่าในผลงานเหล่านี้ ต่อมาได้มีการประกาศให้ปี 2448 เป็นปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์และในปี 2548 วงการวิทยาศาสตร์โลกได้ประกาศให้เป็น "ปีฟิสิกส์โลก” (World Year of Physics 2005) และมีการจัดงานฉลองครบรอบ 1 ศตวรรษปีมหัศจรรย์ไอน์สไตน์

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

หนังสือน่าอ่าน ที่อยากแนะนำ



หัวกลวงในหลุมดำ
รวมความเรียงคัดสรร
(พิมพ์ครั้งแรก 2554 / 288 หน้า)
เชื่อไหมว่าประเทศไทยใช้งบประมาณสูงถึง 20 % ของจีดีพีเพื่อการศึกษา แต่คุณภาพการศึกษารวมของเราอยู่ในอันดับหลังๆ ของโลก เชื่อไหมว่าเรามีเด็กเรียนเก่งชนะรางวัลวิชาการระดับโลกทุกปี แต่ภาพรวมของไอคิวเด็กไทยต่ำจนน่าตกใจ เชื่อไหมว่าเราก้าวทันทุกเทคโนโลยีที่โลกป้อนให้ แต่ดัชนีความสุขของคนไทยกลับลดลงกว่าสมัยอดีต
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ว่าเราอาจกำลังเดินเข้าหา 'หลุมดำ' ทางปัญญา ด้วยระบบการศึกษาติดลบ ค่านิยมที่สวนทางกับจริยธรรม บริโภคนิยมเต็มอัตรา ทำให้คนคิดได้ แต่คิดไม่เป็น!
เมื่อ 'หัวกลวง' ก็สามารถรับอะไรก็ได้ที่ใครก็ได้กรอกให้ จมอยู่ในความมืดบอดทางปัญญาจนวันตาย
หัวกลวงในหลุมดำ เป็นรวมความเรียงคัดสรรในรอบสิบปีนี้ของ วินทร์ เลียววาริณ เล่าตั้งแต่เรื่องการเรียนแบบจับยัดของบ้านเรา, การใช้ความคิดสร้างสรรค์, การฝึกอ่านระหว่างบรรทัด, วิธีคิดแบบไอน์สไตน์, มรรคาของ มหาตมะ คานธี, เกร็ดชีวิตของคนรักป่า - สืบ นาคะเสถียร กับคนรักต้นไม้ - แสงอรุณ รัตกสิกร, บทเรียนจากฮิโรชิมา, การสร้างชาติสิงคโปร์จากศูนย์, เรื่องเซ็กส์ในสังคมไทย, การทำแท้ง, ขี้เมาไทย ไปจนถึงพระที่น่าถูกตบกะโหลก และแพนด้าฟีเวอร์! ฯลฯ
ผู้เขียนคาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยขยายโลกทรรศน์-มุมมองของผู้อ่าน และปลูกหน่อปัญญา โดยมีจุดหมายที่ไม่เพียงข้ามพ้นสังคม 'หัวกลวง' แต่ยังก้าวไปถึงสังคมอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่ในบ้านเราลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร



อ้างอิงจาก http://www.winbookclub.com/shoppingdetial.php?productid=92



คุณลุงวินทร์ เลียววาริณ ค่ะ หนูขออนุญาตนำบทความในหนังสือเล่มนี้มาเผยแพร่นะคะ เพราะเป็นหนังสือที่อ่านแล้วสร้างแนวคิดใหม่เยอะเลยค่ะ เลยอยากแนะนำให้ลูกศิษย์ของหนูได้หาซื้อมาอ่านกัน



ขอขอบค่ะ

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ชมคลิปบรรยากาศรอบโลก(จากนอกโลก) ใน 1 นาที


ชมภาพบรรยากาศรอบโลก(จากนอกโลก) ใน 1 นาที

ชมภาพบรรยากาศรอบโลก(จากนอกโลก) ใน 1 นาที

ชมภาพบรรยากาศรอบโลก(จากนอกโลก) ใน 1 นาที

ชมภาพบรรยากาศรอบโลก(จากนอกโลก) ใน 1 นาที

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube โพสต์โดย คุณ yesterday2221

          การเดินทางรอบโลกเพื่อเก็บภาพภูมิประเทศของโลกใบกลม ๆ ใบนี้ อาจจะต้องใช้เวลานับ 100 วันในความเป็นจริง และยากที่จะนำมันมาถ่ายทอดลงในวิดีโอให้ได้ชมกัน แต่ในวันนี้ ดูเหมือนว่าการเดินทางชมโลกจากมุมมองบนอวกาศ ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งที่แทบไม่ต้องใช้เวลานานซะแล้ว เมื่อมีผู้นำภาพโลกจากนาซ่ามาเรียงต่อกันกลายเป็นวิดีโอชมโลกความยาวเพียง 1 นาทีเท่านั้น

          โดยผู้ที่จัดทำวิดีโอนี้ คือ นายเจมส์ เดรค อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ เขาได้เซฟภาพถ่ายโลกจากสถานีอวกาศนานาชาติ ที่นาซ่านำมาเผยแพร่ในเว็บกว่า 600 ภาพ มาเรียงต่อกันตามลำดับภาพ จนในที่สุดก็ออกมาเป็นวิดีโอที่ฉายภาพต่อเนื่อง ราวกับเป็นคลิปวิดีโอที่ถูกบันทึกภาพภายในเวลา 1 นาทีให้ได้ดูกันง่าย ๆ 

          นอกจากคลิปนี้จะนำไปใช้ในการสอนนักเรียนนักศึกษาได้ดีแล้ว ก็ยังทำให้คนทั่วโลกได้ชมและทึ่งกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่มีการเผยแพร่คลิปออกมาครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา จำนวนคนดูก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตอนนี้มียอดผู้ชมกว่า 2 ล้านครั้งแล้ว กระปุกดอทคอมก็เลยไม่พลาดนำมาให้ชมกันค่ะ ไปดูคลิปวิดีโอที่ว่านี้พร้อม ๆ กันเลย



คลิป ภาพบรรยากาศรอบโลก(จากนอกโลก) ใน 1 นาที
 
อ้างอิงจาก http://hilight.kapook.com/view/62957

วิทยาศาสตร์น่ารู้

ทำไมพริกจึงเผ็ด ?

ความเผ็ดร้อนเกิดจากกรดชนิดหนึ่งเรียกว่าแคปไซซิน  ซึ่งอยู่ที่ผิวด้านในของ
ฝักพริก  หลายคนเข้าใจผิดว่าเม็ดพริกก็เผ็ดเหมือนกัน  ทั้งที่ตามจริงไม่มีแคปไซซินเลย  อย่างไรก็ตาม
กรดชนิดนี้กระจายอยู่ในยวงที่มีเม็ดพริกติดอยู่  เมื่อแกะเม็ดพริกออก  เนื้อพริกในส่วนนี้ก็จะติดมาด้วย
และทำให้เผ็ดน้อยลง
 แม้แคปไซซินจะให้รสเผ็ดถึงใจก็ตาม  พริกแต่ละเม็ดมีกรดชนิดนี้อยู่เพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น

ทำไมรอยฟกช้ำจึงมีสีคล้ำดำเขียว ?

เมื่อร่างกายเราถูกกระแทกหรือถูกตีอย่างแรงที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง  จะทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณ
นั้นแตก  เลือดจะไหลซึมออกมานองอยู่ใต้ผิวหนัง  ทำให้ผิวหนังปูดออก  บริเวณที่เลือดไหลนองนี้อยู่ลึก
ถัดไปจากหนังกำพร้าชั้นใน  ถ้าถูกกระแทกใหม่ ๆ จะเป็นรอยแดงจาง ๆ เมื่อผ่านวันไปจะมีสีคล้ำขึ้น
 การที่เราเห็นเป็นสีคล้ำเขียวก็เพราะแสงที่ส่องกระทบรอยฟกช้ำนั้นสะท้อนมาเข้าตาเรา  ก่อนที่
แสงจะมาเข้าตาเรา  แสงจะต้องผ่านชั้นต่าง ๆ ของผิวหนัง  กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณนั้นจะดูดซับแสง
สีแดงไว้  ส่วนแสงสีน้ำเงินถึงแสงสีม่วงจะไม่ถูกดูดซับ  เราจึงเห็นเป็นสีม่วงคล้ำบริเวณนั้น  ยิ่งรอยฟกช้ำ
ขยายตัวลึกเข้าไปมากเพียงใด  แสงก็จะถูกดูดซับมากขึ้น  เราก็จะยิ่งเห็นรอยฟกช้ำคล้ำมากขึ้น
 ร่างกายจะพยายามกำจัดเม็ดเลือดแดงหรือเม็ดเลือดขาวที่ถูกทำลายแล้ว  รวมทั้งชิ้นส่วนเซลล์
ที่แตกหลุดออกมา  เม็ดเลือดแดงจะสลายตัวมีสีซีดลงจนเหลือง  และสุดท้ายเม็ดเลือดขาวจะมากลืนกินสิ่ง
เหล่านี้  เพื่อทำความสะอาด  ในที่สุดเนื้อเยื่อบริเวณนั้นก็จะเข้าสู่สภาพเดิม

บาดแผลหายได้อย่างไร ?

ขณะที่เรากำลังใช้มีด  บางครั้งอาจจะเผลอทำมีดบาดตัวเอง  แต่ทันทีทันใดนั้น  ร่างกายของ
เราก็จะเริ่มซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นทันที  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
 ภายในเวลาไม่กี่นาที  ปลายเส้นเลือดที่ขาดก็ถูกหยุดด้วย เกล็ดเลือด ( platelets ) และเส้นใย
โปรตีนที่เรียกว่า ไฟบริน ( fibrin ) เลือดที่ออกมาอยู่ในแผลก็จะแข็งตัวกลายเป็นสะเก็ดคลุมแผลอยู่
ร่างกายเริ่มส่งเลือดมายังบริเวณบาดแผลเพิ่มขึ้น  เม็ดเลือดขาวที่มากับกระแสเลือดก็จะคอยฆ่าพวกเชื้อโรค
ที่บุกรุกเข้ามา  คอยจับทำลายพวกเซลล์ที่ตายแล้วและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ขณะเดียวกัน  เซลล์ชั้นนอกสุด
ของผิวหนัง ( epidermal cell ) ก็จะแบ่งตัว  และเคลื่อนที่จากขอบแผลทั้งสองข้างเข้ามาบรรจบกันใหม่
ตรงกลายภายใต้สะเก็ดเลือด  บาดแผลก็จะถูกคลุมด้วยชั้นเซลล์เหมือนเดิม  เส้นเลือดในบริเวณนั้นจะเจริญ
แทงเข้ามายังบาดแผลเพื่อนำออกซิเจนและอาหารมาเลี้ยง
 เซลล์ที่เรียกว่า ไฟโบรบลาสต์ ( fibroblast ) จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว  เพื่อสร้างเนื้อเยื่อมาเสริม
บริเวณบาดแผลให้เต็มโดยการผลิต คอลลาเจน ( collagen ) ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีความเหนียว  ทำให้บาดแผล
มีความแข็งแรง  ขณะเดียวกันไฟโบรบลาสต์จะหดตัว  ทำให้บาดแผลสองข้างชิดกันเข้ามามากขึ้น  ปลาย
เส้นประสาทที่ขาดก็จะค่อย ๆ สอดเข้าไปในแผลเพื่อให้ความรู้สึกบางส่วนของบริเวณนั้นกลับคืนมา  เส้นเลือด
ต่าง ๆ ก็จะงอกเข้าหากันจนประสานกันเป็นร่างแหอยู่ภายในบาดแผล
 ในที่สุด  สะเก็ดเลือดบนแผลก็หลุดออกไป  ผิวหนังก็กลับมาประสานกันเหมือนเดิม  เนื้อเยื่อ
ภายใต้นั้นก็จะหนาแน่นไปด้วยไฟโบรบลาสต์และเส้นใยคอลลาเจน  ซึ่งจะค่อย ๆ เรียงตัวให้อยู่ในแนวที่รับ
ความตึงเครียดได้ดีที่สุด  เพื่อให้บาดแผลที่หายแล้ว มีความแข็งแรงเหมือนเดิม

กำหนดเพศได้ด้วยอุณหภูมิ

นักชีววิทยาชาวอเมริกันได้ค้นพบความลับของวงจรชีวิตของจระเข้แอลลิเกเตอร์  คือแอลลิเกเตอร์
สามารถกำหนดเพศของลูกน้อยได้ด้วยอุณหภูมิเพียงอย่างเดียว  หากไข่ของมันถูกเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ
กว่า 86 องศาฟาเรนไฮต์ ในระหว่างสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของการฟักไข่  ไข่เหล่านี้จะฟักออกเป็นตัวเมียทั้งหมด
และไข่ที่ถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 94 องศาฟาเรนไฮต์ จะฟักออกมาเป็นตัวผู้ทั้งหมด ส่วนไข่ที่เก็บไว้ที่
อุณหภูมิระหว่าง 86-94 องศาฟาเรนไฮต์ จะฟักเป็นทั้งตัวผู้และตัวเมีย
 นักวิจัยได้เริ่มสังเกตเห็นความลับนี้จากการเฝ้าดู เขาพบว่าจระเข้ที่วางไข่ในหนองบึงเฉอะแฉะเย็น
ชื้น ไข่จะฟักเป็นตัวเมีย ส่วนไข่ที่วางบนฝั่งที่มีแสงอาทิตย์ส่องถึงจะออกมาเป็นตัวผู้ ปริศนาที่ว่าทำไมอุณหภูมิ
จึงกำหนดเพศได้ นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าขณะที่อุณหภูมิสูนั้นตัวอ่อนจะใช้ไข่แดงหมดไปอย่างรวดเร็วจน
เหลืออาหารน้อยไม่เพียงพอแก่การพัฒนาไข่เป็นเพศเมีย

ประโยชน์ของฟ้าแลบ

สถานีกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาประมาณไว้ว่า  ในระยะเวลา 1 ปี ฟ้าแลบทำให้ไนโตรเจน
ตกลงมายังพื้นดิน 2 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ เมื่อคิดทั้งโลกจะมีไนโตรเจนตกลงมายังโลกถึง 770 ล้านตันต่อปี
 ในระหว่างที่เกิดฟ้าแลบ  พลังงานบางส่วนจากฟ้าแลบจะทำให้ไนโตรเจนทำปฏิกิริยาเคมีกับ
ออกซิเจนเกิดเป็นสารประกอบไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) สารประกอบนี้มีไนโตรเจน 1 อะตอม และออกซิเจน
1 อะตอม มันจะดูดออกซิเจนอีก 1 อะตอมเพิ่มเข้าไป  และกลายเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2)
ซึ่งละลายได้ในน้ำฝนกลายเป็นกรดดินประสิว (HNO3)  ตกลงมายังพื้นโลก  เมื่อกรดดินประสิวรวมตัวกับสาร 
 เมื่อกรดดินประสิวรวมตัวกับสารเคมีอื่น ๆ จะได้เป็นเกลือไนเตรตซึ่งเป็นอาหารที่ดีของพืช
 ดังนั้น  ถึงคนขวัญอ่อนจะไม่ค่อยชอบฟ้าแลบนัก  แต่ก็ควรทำใจสักนิดให้ชอบสักหน่อยเพราะมีผล
ดีต่อชาวนาที่ผลิตพืชผักผลไม้มาให้เรากินอยู่ทุก ๆ วัน

เสียงเพลงทำให้แก้วแตกได้จริงหรือ ?

การร้องเพลงด้วยเสียงสูง ๆ เป็นเวลานานสามารถทำให้แก้วแตกได้ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น  แท้จริงแล้ว
เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติซึ่งเรียกว่าเกิด "กำทอน (resonance) " ของเสียง คือ  เกิดการแทรกสอดของ
คลื่นเสียงแบบเสริมกัน
 เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ง่ายขึ้น  ลองนึกถึงเวลาเราไกวชิงช้าได้จังหวะเหมาะ ๆ พอดี  ชิงช้าจะยิ่ง
ไกวสูงขึ้น  แต่ถ้าไกวชิงช้าผิดจังหวะจะทำให้ชิงช้าไกวเบาลง  เนื่องจากแรงที่ผิดจังหวะไปหักล้างกับการ
เคลื่อนไหวของชิงช้าเสียหมด
 แก้วก็เช่นเดียวกัน  แก้วแต่ละใบจะมีการสั่นสะเทือนด้วยความถี่เฉพาะตัว  ถ้าลองใช้ดินสอเคาะแก้ว
ใบใดจะได้ยินเสียงเหมือนเดิมทุกครั้ง  คลื่นเสียงจากนักร้องทำให้แก้วสั่นสะเทือนได้เช่นกัน  ถ้าความถี่ของ
เสียงไม่พอดีก็จะหักล้างกับการสั่นสะเทือนของแก้ว  แต่ถ้านักร้องสามารถปรับความถี่ของเสียงได้พอเหมาะ
กับการสั่นสะเทือนของแก้วจะทำให้แก้วสั่นแรงขึ้นจนแตกได้

ทำไมคนเราจึงดื่มน้ำทะเลไม่ได้ ?

นกทะเลและสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิดจะมีต่อมพิเศษสำหรับถ่ายเกลือออกจากร่างกายโดยเฉพาะ
นกนางนวลสามารถดื่มน้ำทะเลได้ถึง 10% ของน้ำหนักตัว  และสามารถกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปได้ภายใน
เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น  ถ้ามนุษย์จำเป็นต้องดื่มน้ำทะเลในสัดส่วนเท่านกคือ 2 แกลลอน ( 7.56 ลิตร )
น้ำจะถูกดูดออกจากร่างกายเนื่องจากความพยายามที่จะกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปออกจากร่างกาย
 ไม่มีสัตว์ชนิดใดมีเกลือสะสมอยู่ในร่างกายได้เกินร้อยละ 0.9 เกลือที่มีมากเกินกว่าปริมาณนี้  จะถูก
ขับออกมากับปัสสาวะ  ไตของมนุษย์ไม่สามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้เกินกว่าร้อยละ 2.2 ดังนั้น 
มนุษย์จึงไม่สามารถดื่มน้ำทะเลซึ่งมีเกลือผสมอยู่ถึงร้อยละ 3.5 ได้  ม้าสามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้
เพียงร้อยละ 1.5 เนื่องจากไตไม่มีประสิทธิภาพ  ดังนั้น  ม้าจึงไม่สามารถดื่มน้ำกร่อยซึ่งมนุษย์สามารถ
บริโภคได้

ทำไมท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ?

แท้จริงแล้วท้องฟ้าเองไม่มีสี  แสงสีฟ้าที่เห็นเกิดจากสีฟ้าที่มีอยู่ในแสงอาทิตย์  โฟตอนของแสง
สีฟ้ามีพลังงานมากกว่าโฟตอนของแสงสีอื่น  จึงทำให้มันชนอะตอมอื่นออกไปได้มากกว่าและเคลื่อนลงต่ำมา
เข้าตาเรา  ดังนั้นเมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า  เราเลยเห็นโฟตอนแสงสีฟ้ามาก  ทำให้เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
 แต่สีของดวงอาทิตย์ขณะลับขอบฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้า  เพราะเมื่อดวงอาทิตย์ลดต่ำลง  เราจะเห็น
แสงอาทิตย์ส่องเป็นมุมผ่านฝุ่นสกปรกในอากาศ  ฝุ่นละอองเหล่านี้จะสะท้อนโฟตอนสีฟ้าส่วนใหญ่ออกไปก่อน
ที่แสงจะมาเข้าตาเรา  จึงทำให้เราเห็นท้องฟ้าเป็นสีส้ม ๆ แดง ๆ

รูปทรงที่แท้จริงของรุ้งกินน้ำ

เวลามองดูรุ้งกินน้ำ  เคยคิดไหมว่ารุ้งกินน้ำมีรูปร่างที่แท้จริงเป็นอย่างไร ? เมื่อแสงแดดกระทบ
ละอองน้ำจะหักเหออกมาเป็นแสง 7 สี  อย่างที่เรารู้กันอยู่นั้นรุ้งจะมีรูปร่างเป็นวงกลม  ขณะที่เรายืนอยู่ที่พื้น
แสงที่หักเหเข้าสู่ตาเราจะมีลักษณะเป็นรูปกรวย  โดยมีตาของเราเป็นจุดยอดของกรวยและมีตัวรุ้งกินน้ำเป็น
เส้นรอบวงของฐานกรวยคือสีแดง  ทิศทางของแสงที่หักเหเข้าสู่ตาจะทำมุม 42 องศากับแสงอาทิตย์ที่ตกกระ
ทบละอองน้ำพอดิบพอดี  ส่วนแสงอื่น ๆ จะอยู่ถัดจากสีแดงเข้าไป  ภายในมุมก็จะน้อยลงไปตามลำดับ
ถ้าอย่างนั้น  ทำไมเราไม่เห็นรุ้งเป็นวงกลมล่ะ ?
 คำตอบก็คือ  เห็นได้  ถ้าเราขึ้นไปดูรุ้งบนอากาศอย่างเช่นในเครื่องบิน  การที่เราอยู่บนอากาศ
ละอองน้ำทั้งที่อยู่เหนือและใต้ตัวเราจะช่วยกันหักเหแสงให้เราเห็นรุ้งเป็นวงกลมได้  แต่ตอนที่เราอยู่บนพื้นดิน
มีแต่ละอองน้ำส่วนเหนือเราเท่านั้นที่หักเหแสงเราจึงเห็นรุ้งเป็นเส้นโค้งเท่านั้น

เคล็ดลับการเลี้ยวโค้ง

เวลาที่เซียน BMX หรือโมโตครอสจะทิ้งโค้ง  คุณคงสังเกตเห็นว่าตอนแรกเขาจะหักออกในด้าน
ตรงข้ามกับโค้งนิดหน่อยแล้วจึงหักเข้าโค้ง  และในขณะเลี้ยวโค้งรถจะเอียงไปในทิศทางที่ต้องการเลี้ยว  ซึ่ง
พร้อม ๆ กันนั้นเองแรงเหวี่ยงจากการเลี้ยวก็จะเหวี่ยงคนขับให้ออกไปทางด้านตรงข้ามกับทิศที่ต้องการจะ
เลี้ยว
 การเลี้ยวโดยหักหน้ารถออกทางด้านตรงข้ามก่อนนั้นมีโมเมนตัมผลักล้อหน้า  ทำให้รถเอียงไปใน
ทางที่ต้องการเลี้ยวได้ง่ายขึ้น  ตามกฎของโมเมนตัมเชิงมุมแสดงให้เห็นว่าล้อหน้าที่หมุนเร็วจี๋อยู่นั้นทำหน้าที่
เสมือนไจโจสโคป  ซึ่งจะมีแรงต้านการบิดตั้งต้นเนื่องจากการหักเลี้ยวครั้งแรก  เมื่อหักออกจากโค้งก่อนแรง
ต้านที่ว่านี้จะส่งไปในทิศทางที่เราจะเลี้ยวพอดีทำให้เราหักเลี้ยวกลับเข้าโค้งได้ดีขึ้น
 ถ้าเราหักเข้าโค้งโดยไม่หักออกก่อนจะเป็นอย่างไร ? เราก็ต้องเอียงตัวแรงขึ้นเพื่อให้รถเอียงเข้า
โค้ง  แรงไจโรสโคปิกก็จะต้านการเลี้ยวทำให้คนขับต้องหักรถกลับเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้รถล้ม  ยิ่งรถวิ่งเร็วเท่าใด
ปรากฏการณ์นี้จะชัดยิ่งขึ้น  ในการเลี้ยวแนวล้อหน้าและหลังจะไปตามกันโดยล้อหน้าจะต้องกว้างกว่าล้อหลัง
เมื่อล้อหน้ากลับตั้งตรงการเลี้ยวก็จะสิ้นสุดลง  ถ้าเอียงตัวมากไปรถจะล้มอย่างแน่นอน

ทำไมเราจึงปวดฟัน ?

ครั้งหนึ่งในชีวิตของเราคงต้องเคยปวดฟันบ้างเป็นแน่  โดยเฉพาะถ้ามีฟันผุอยู่เวลารับประทาน
ของหวานจะปวดฟันจนน้ำตาไหลทีเดียว  รู้ไหมว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
 ก่อนจะอธิบายสาเหตุของการปวดฟัน  เราลองมาทำการทดลองนี้ก่อน  นำหัวผักกาดมาหัวหนึ่ง 
เจาะตรงกลางให้เป็นโพรง  จากนั้นเทน้ำตาลข้น ๆ ลงไปในโพรงแล้วปิดด้วยจุกคอร์กที่มีหลอดแก้วกลวง
เสียบอยู่  นำหัวผักกาดนี้แช่ลงในอ่างน้ำ  สักครู่หนึ่งจะเห็นน้ำในอ่างซึมผ่านเนื้อหัวผักกาดเข้าไปในโพรงที่มี
น้ำตาลอยู่  ปรากฏการณ์ที่น้ำซึมผ่านเนื้อเยื่อไปยังน้ำตาลซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่านี้เรียกว่า ออสโมซิส 
(OSMOSIS) น้ำจะซึมไปเรื่อย ๆ จนระดับความกดดันที่ผิวทั้งสองข้างของเนื้อเยื่อเท่ากัน  ระดับน้ำในหลอด
แก้วกลวงจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงดันออสโมซิส
 จากการทดลองนี้สามารถนำมาอธิบายเรื่องการปวดฟันได้เป็นอย่างดี  สมมติว่าหัวผักกาดที่มี
โพรงนั้นเป็นฟันผุ  เมื่อเรารับประทานของหวาน  น้ำตาลจะไปขังอยู่ในรูของฟัน  ทำให้เกิดการออสโมซิสของ
น้ำจากประสาทฟันเข้าสู่โพรงฟัน  และทำให้เกิดแรงกดดันออสโมซิสขึ้นที่ฟันซี่นั้น  ความกดดันนี้เองทำให้เรา
ปวดฟัน  วิธีแก้ปวดก็คือไปอุดฟันหรือถอนฟันซี่นั้น

ของหวานทำให้ฟันผุได้อย่างไร ?

น้ำตาลทำให้เกิดโรคฟันผุและโรคเหงือก  แต่ปริมาณยังสำคัญน้อยกว่าจำนวนครั้งที่รับประทานเข้า
ไป  ฉะนั้นการประนีประนอมระหว่างการตามใจตัวเองกับการป้องกันฟันผุก็คือ  พยายามลดการรับประทาน
ขนมหวานให้เหลือเพียงวันละครั้งเดียว
 น้ำตาลธรรมดาหรือซูโครส (sucrose) เป็นอาหารโปรดของ "แบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ" ซึ่งเราได้ยิน
เสมอ ๆ ในโฆษณายาสีฟันยี่ห้อต่าง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ  เมื่อแบคทีเรียพบซูโครสในอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ
จะสร้างสารเหนียวเรียกว่า เด็กซ์แทรน (dextrans) ซึ่งเกาะติดแน่นกับฟัน  แบคทีเรียนี้จะเติบโตและเพิ่มจำนวน
อย่างรวดเร็วจนมีขนาดใหญ่กลายเป็นแผ่นคราบบนตัวฟันหรือพลัก (plague) แบคทีเรียชนิดอื่นจะเข้าไป
อาศัยอยู่ในพลัก  และเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นกรด  กรดจะทำลายเคลือบฟันจนหมดสิ้น  ต่อจากนั้นก็จะทำ
ลายแคลเซียมภายในฟันและทำให้ฟันโบ๋เป็นโพรง
 แบคทีเรียที่ทำให้เกิดกรดนี้  จะเริ่มต้นทำงานเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากการรับประทานน้ำตาลเข้าไป
และเมื่อเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วการสร้างกรดก็มักจะดำเนินต่อไปอีกนาน  ดังนั้นฟันผุจึงมักเกิดขึ้นภายหลังจาก
รับประทานขนมหวานเข้าไปนานแล้ว  นี่เป็นคำอธิบายว่า  ทำไมการรับประทานขนมหวานบ่อย ๆ ถึงทำให้ฟันผุ
 นอกจากพลักจะเป็นศัตรูสำคัญของฟันแล้ว  ยังทำอันตรายต่อเหงือกและกระดูกที่ยึดฟัน  เริ่ม
ด้วยการสะสมพลักบนตัวฟันและรอบ ๆ แนวเหงือก  แบคทีเรียที่อยู่ในพลักจะทำให้เกิดสารเคมีที่ทำให้เกิดความ
ระคายเคืองแก่เหงือกและทำให้เลือดออก  เมื่อเวลาผ่านไปแบคทีเรียที่อยู่ใกล้ส่วนนอกของฟันมากที่สุดจะตาย
กลายเป็นหินปูนที่เกาะรอบตัวฟัน  ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยชั้นของพลัก  ที่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตอยู่อีกทีหนึ่ง ต่อมา
เส้นใยที่เชื่อมต่อเหงือกกับฟันจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เต็มไปหมด  ในที่สุดก็จะทำลายกระดูกฟันที่ยึดฟันทำให้
ฟันโยก  ในภาวะนี้ฟันจะผุและติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย  อาการที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือ  เหงือกบวมและเลือดออกง่าย
 พลักเป็นโรคที่ซ่อนตัวอยู่  เนื่องจากโปร่งใสและไม่มีสี  นอกจากกรณีที่เป็นชั้นหนามาก ๆ จึงมอง
เห็นเป็นแผ่นสีขาว ๆ เมื่อทันตแพทย์กำจัดพลักและหินปูนที่เกาะตามไรฟันออกหมดแล้ว  เราอาจป้องกันไม่ให้
เกิดได้อีกโดยแปรงฟันเป็นประจำ  กล่าวคือกำจัดแผ่นคราบที่เกาะอยู่รอบนอกฟันทุกซี่อย่างน้อยที่สุดวันละหนึ่ง
ครั้ง  ถ้าจะให้ดีควรเป็นเวลาก่อนเข้านอน  ทันตแพทย์แนะนำให้แปรงฟันให้ทั่วอย่างถูกวิธี  และใช้เส้นใยไนล่อน
ที่เรียกว่า เดนทอลฟลอสส์ (dental floss) หรือไหมขัดซอกฟันทำความสะอาดตามซอกฟัน  เท่านี้คุณก็จะยิ้ม
ได้อย่างสดใส

ทำไมคนกินหญ้าไม่ได้ ?

วัว ควาย และม้า ล้วนแต่กินหญ้ากินฟางกันได้ ปลวกก็กินไม้ได้  แต่คนเราเห็นจะอดตายแน่ถ้าถูก
บังคับให้กินแต่หญ้าแต่ฟาง  แท้จริงแล้วอาหารประเภทแป้งที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ก็มีโครงสร้างทางเคมีย่อยๆ
เหมือนกับเซลลูโลสที่เป็นส่วนประกอบหลักของหญ้า ฟาง และไม้ คือทั้งแป้งและเซลลูโลสนั้นเป็นสายยาว ๆ 
ของน้ำตาลกลูโคสเหมือนกันแต่วิธีการต่อและเรียกตัวของกลูโคสแต่ละโมเลกุลต่างกัน
 การย่อยแป้งและเซลลูโลสต้องอาศัยน้ำย่อยหรือเอนไซม์ ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดพิเศษ  น้ำย่อยของ
คนเราย่อยได้เฉพาะแป้งเท่านั้น  ทั้งนี้เป็นเพราะการทำงานของน้ำย่อยต้องอาศัยรูปร่างของโมเลกุลสารที่จะถูก
ย่อยด้วย  ถ้าหากสารดังกล่าวมีโมเลกุลที่รูปร่างเหมาะสมกับน้ำย่อยจึงจะย่อยได้  ส่วนแป้งและเซลลูโลส
โมเลกุลต่างกัน  น้ำย่อยสำหรับแป้งจึงไม่อาจย่อยเซลลูโลสได้
 สัตว์ที่กินหญ้า ฟาง และพืชอื่น ๆ เป็นอาหารก็ย่อยเซลลูโลสไม่ได้เช่นกัน  แต่ในทางเดินอาหารของ
สัตว์เหล่านี้มีจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างน้ำย่อยออกมาย่อยเซลลูโลสให้แตกตัวเป็นกลูโคสได้ ดังนั้น สัตว์จึงได้
กลูโคสจากการย่อยของจุลินทรีย์เป็นอาหาร  ในขณะที่จุลินทรีย์ก็ได้อาหารและที่อยู่อันสุขสบายในทางเดิน
อาหารของสัตว์  นับเป็นภาวะที่ต้องพึ่งพากันอย่างเหมาะสมทีเดียว

ทำไมกระเพาะอาหารจึงไม่ย่อยตัวเอง ?

กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะมหัศจรรย์ที่ย่อยอาหารทุกชนิดที่เรารับประทาน  แต่ทำไมกระเพาะถึงไม่
ย่อยตัวเอง  น้ำย่อยเมื่อขับออกมาจะทำลายเซลล์บริเวณกระเพาะบ้าง  แต่กระเพาะก็สามารถสร้างเซลล์ใหม่ขึ้น
มาทดแทนได้เรื่อย ๆ ในเวลาเพียง 3 วันสามารถสร้างเซลล์ได้ถึง 500,000 เซลล์  ถ้ามีน้ำย่อยในกระเพาะมาก
เกินไป  ก็อาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้
 กระเพาะอาหารมีวิธีป้องกันตัวเอง โดยมีชั้นเนื้อเยื่อที่เรียกว่า ชั้นแกสตริกมิวโคซา มาคลุมอยู่
ส่วนประกอบในน้ำย่อย  มี เปปซิน เป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนกับกรดเกลือ (HCI) เอนไซม์ทั้งสองชนิดนี้หลั่ง
ผ่านชั้นมิวโคซาออกมาสู่กระเพาะ  เอนไซม์เปปซินไม่ค่อยมีอันตรายนัก  แต่กรดเกลือมีพิษสงมาก  ถ้าเราไม่มี
ชั้นมิวโคซากั้นไม่ให้กรดเกลือเข้าไปถึงเซลล์ชั้นในได้แล้วล่ะก็  กระเพาะเราคงจะพังแน่
 นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแอละบามา สหรัฐฯ พบว่า  บนชั้นมิวโคซานั้นยังมีชั้นของ
คาร์โบไฮเดรตมาคลุมอีกชั้นหนึ่ง  แต่ยังไม่รู้ว่าชั้นนี้ป้องกันกระเพาะได้อย่างไร  นอกจากนั้นยังมี พรอสตา-
แกลนดินส์ (prostaglandins) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีในเซลล์มนุษย์ทั่วไป  เขาพบว่าระดับของพรอสแกลน
ดินส์จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระดับของคาร์โบไฮเดรตที่จะไปทำให้กรดลดความรุนแรงลง
 คำตอบท้ายสุดที่อาจเป็นไปได้ก็คือ  ผนังของชั้นมิวโคซานั้นประกอบด้วยไขมันซึ่งไอออนของ
ไฮโดรเจน และไอออนของคลอไรด์ไม่สามารถผ่านชั้นไขมันนี้ได้  แต่เขาพบว่าสารพวกน้ำส้มสายชู  แอสไพริน
น้ำส้มคั้น  สารละลายสิ่งสกปรก (ที่มีอยู่ในยาสีฟันและผงซักฟอก) และสารอื่น ๆ จะไม่ถูกไอออไนซ์และสามารถ
ซึมผ่านผนังเซลล์ของกระเพาะเข้าไปได้  ดังนั้น  จึงไม่ควรดื่มน้ำส้มคั้นหรือกินยาแอสไพรินขณะที่ท้องว่าง
และควรกินอาหารให้ตรงเวลา  อย่างปล่อยให้ท้องว่างนาน ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของกระเพาะเราเอง
อ้างอิงจาก http://members.fortunecity.com/thehexgirl/science.html

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

Carbon Label คืออะไร

Carbon Label คืออะไร
ฉลากแสดงการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Label) แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • ฉลากที่แสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปลดปล่อยออกมา (Carbon Footprint: CF) เป็นฉลากที่ทำขึ้นเพื่อแสดงข้อมูลของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) จากผลิตภัณฑ์ โดยใช้แนวคิดของการประเมินวัฏจักรชีวิต  (Life Cycle Assessment, LCA) และระบุปริมาณในรูปของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  (CO2equivalent) โดยกำกับบนฉลากที่ติดให้กับผลิตภัณฑ์ หรือ บรรจุภัณฑ์ หรือแหล่งสื่อสารอื่นๆ
  • ฉลากแสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง (Carbon Reduction) ซึ่งแสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงจากผลิตภัณฑ์  
   
ทั้งนี้ในปัจจุบัน มีการใช้ Carbon Label ในบางประเทศแล้ว เช่น อังกฤษ และอเมริกา นอกจากนี้ยังมีความพยายามในประเทศอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการติดฉลากนี้ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน (แชมพู สบู่ ฯลฯ) เป็นต้น


ที่มา : www.carbon-label.co.uk, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยร
ูปแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีการจัดทำฉลากแสดงการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
 

หน่วยงานที่เป็น ผู้ให้การรับรองฉลาก
ในต่างประเทศ หลายๆ ประเทศได้ให้ความสนใจและพยายามสนับสนุนการทำ Carbon Label โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ทำหน้าที่เป็นผู้ให้การรับรอง หรือ เป็นผู้ให้คำปรึกษา) อาทิเช่น

  • สหราชอาณาจักร: Carbon Trust เป็นองค์กรอิสระที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ในสหราชอาณาจักร จัดตั้งขึ้นเพื่อกระตุ้นเรื่องการลดปริมาณการปลดปล่อย GHGs

    ที่มา : www.carbon-label.co.uk,
    รูปแสดงตัวอย่างฉลากแสดงการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศอังกฤษ

  • สหรัฐอเมริกา:Carbon Label for California เป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจาก Silicon Valley philanthropist Noel Perry  และทำงานร่วมกับรัฐแคลิฟอร์เนีย ในการร่างข้อกำหนดฉลาก ซึ่ง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ Low-Carbon Seal (หลักการคล้ายคลึงกับฉลากสิ่งแวดล้อมแต่มุ่งเน้นที่การปล่อยก๊าซ เป็นประเภทย่อยจาก CF), Carbon Score (หลักการเดียวกันกับ CF ของ Carbon trust), Carbon Rating (หลักการคล้ายคลึงกับฉลากประหยัดพลังงานของประเทศไทยแต่มุ่งเน้นที่การปล่อยก๊าซ เป็นประเภทย่อยจาก CF)
  • ญี่ปุ่น: ปัจจุบัน (ธันวาคม 2551) ยังไม่ได้มีองค์กรที่ออกฉลากและให้คำปรึกษาอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม The Japan Environmental Management Association for Industry (JEMAI) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 3 (Eco leaf) มีแนวโน้มที่จะเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลงานด้านนี้ของประเทศญี่ปุ่น

สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน (ธันวาคม 2551) ได้จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (Thai Greenhouse Gas Management Organization: TGO) มีหน้าที่ให้การรับรองฉลาก Carbon Reduction อย่างเป็นทางการ โดยแสดงผลในรูปของปริมาณ GHGs ที่ลดลง ซึ่ง TGO ทำหน้าที่ในการดูแลด้านการประเมินและการจัดทำฉลาก ฯ



เอกสารอ้างอิง
  1. http://en.wikipedia.org/wiki/Carbon_footprint
  2. http://en.wikipedia.org/wiki/Carbon_offset
  3. http://www.carbonlabelca.org/
  4. http://www.tgo.or.th/index.php
  5. http://www.carbontrust.co.uk/carbon/briefing/carbon_label.htm
  6. http://www.jemai.or.jp/english/index.cfm


อ้างอิงจาก http://www.mtec.or.th/ecodesign2010/index.php?option=com_content&view=article&id=8:carbon-label-&catid=1:-ecodesign&Itemid=5

Carbon Footprint (CF) คืออะไร

 จากความตื่นตระหนกถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้หลายหน่วยงานเริ่มให้ความสนใจในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ Carbon Footprint เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น

Carbon Footprint (CF: รอยเท้าคาร์บอน) หรือที่บางท่านเรียกว่า carbon profile (ข้อมูลรวมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์) คือ ปริมาณรวมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ ก๊าซเรือนกระจก อื่นๆ อาทิ ก๊าซมีเทน ก๊าซหัวเราะ เป็นต้น ที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ (ตามข้อกำหนด ISO 14040) ตลอดวัฏจักรชีวิต ทั้งนี้ แหล่งกำเนิดของก๊าซดังกล่าวมาจากกิจกรรมต่างๆ อาทิ การใช้ไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล กระบวนการในภาคอุตสาหกรรม กสิกรรม เป็นต้น


รอยเท้าคาร์บอน เป็น"การวัด"ผลกระทบของผลิตภัณฑ์และบริการจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเชิงปริมาณ โดยใช้ตัวบ่งชี้ โอกาสในการเกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential, GWP) ทั้งนี้องค์กร Intergovernmental Panel on Climate Change; IPCC ได้กำหนดค่า GWP ของก๊าซต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในระยะเวลาที่กำหนด อาทิ 20, 100, 500 ปี ทั้งนี้ โดยทั่วไปจะใช้ค่า GWP ของก๊าซเรือนกระจก ที่ระยะเวลา 100 ปี ดังแสดงในตารางด้านล่าง
 

Species
Chemical formula
GWP100
Carbon dioxide
CO2
1
Methane
CH4
21
Nitrous oxide
N2O
310
Hydrofluorocarbon
HFCs
140 – 11,700
Sulphur hexafluoride
SF6
23,900
Perfluorocarbon
PFCs
6,500 – 9,200

การตรวจวัด รอยเท้าคาร์บอน ทำได้อย่างไร ?????
สามารถคำนวณ / วัดโดยใช้หลักการการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment: LCA) ซึ่งเป็นหลักการตามมาตรฐานสกล ISO 14040, 14044 ที่ใช้สำหรับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดวัฏจักรชีวิต โดยรอยเท้าคาร์บอน จัดเป็นหัวข้อหนึ่งของหลักการการประเมินวัฎจักรชีวิต
ข้อควรระวัง!!!!
รอยเท้าคาร์บอนเป็นการวัดโดยให้ความสนใจในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ผู้เกี่ยวข้องต้องระวังในการวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล เนื่องจากอาจเกิด Burden shift หรือการโอนย้ายผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นผลให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอื่นสูงขึ้นเพื่อชดเชยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
* สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเอกสารเผยแพร่ของศูนย์เฉพาะทางการประเมินวัฏจักรชีวิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงนิเวศเศรษฐกิจ
เอกสารอ้างอิง :
  • Carbon Footprint – what it is and how to measure it, European Platform on LCA, IES, JRC รอยเท้าคาร์บอน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อ้างอิงจาก http://www.mtec.or.th/ecodesign2010/index.php?option=com_content&view=article&id=9:carbon-footprint-cf-&catid=1:-ecodesign&Itemid=5


หนังสือแนววิทยาศาสตร์น่าอ่าน ของวินทร์ เรียววาริณ จ้า

รวมเรื่องสั้นไซไฟเล่มสุดท้ายในชุด เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
(พิมพ์ครั้งแรก 2554 / 200 หน้า)
รวมเรื่องสั้นนิยายวิทยาศาสตร์เหมาะเป็นของขวัญให้เด็กเพื่อเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดที่สี่ของนิยายวิทยาศาสตร์ ต่อจากชุด เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว / จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย / ยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย (สองเล่มเป็นหนังสือรางวัล) นิยายวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย เยือกฟ้าพาหนาว ประกอบด้วยเรื่องสั้นสะท้อนสังคมมนุษย์ในรูปของนิยายไซไฟ เรื่องการผจญภัยในห้วงอวกาศ สิ่งประดิษฐ์พิสดารที่เปลี่ยนโลกและมนุษย์ เรื่องสะท้อนเมืองไทยด้วยอารมณ์ขัน ไปจนถึงการผจญภัยตอนจบในโลกใหม่ของสุนทรภู่กับมนุษย์ต่างดาว!


ใช้เป็นตำราเรียนในบางมหาวิทยาลัย
เหมาะเป็นของขวัญให้เด็กเพื่อเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์


รวมเรื่องสั้นไซไฟที่ผสานปรัชญาตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน เป็นเรื่องสั้นที่จบหักมุมและสะท้อนสังคม โลก มนุษยชาติ ปรัชญา อ่านเอาสนุกก็ได้ อ่านเอาสาระก็ดี


รวมเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ ชุดที่ 2 ต่อจาก เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว รวมเรื่องสั้นไซไฟที่สนุกและเปี่ยมจินตนาการ ผสานปรัชญาตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน เป็นเรื่องสั้นที่จบหักมุมและสะท้อนสังคม
เหมาะเป็นของขวัญให้เด็กเพื่อเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์


เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดที่สามของนิยายวิทยาศาสตร์ ต่อจากชุด เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว และ จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย (ซึ่งทั้งสองเล่มเป็นหนังสือรางวัล) นิยายวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทย



นวนิยายวิทยาศาสตร์อิงประวัติศาสตร์ ให้เกร็ดความรู้เรื่องฟิสิกส์ และปรัชญาตะวันออก

โลกศตวรรษที่ 21 กำลังระอุด้วยความขัดแย้งทางการเมือง สงครามโลกครั้งที่สามกำลังจะอุบัติขึ้น ในห้วงยามแห่งวิกฤติ ณ มุมหนึ่งของทะเลทรายรกร้างในจีน นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งขุดพบสุสานของกษัตริย์จีนโบราณผู้ให้กำเนิดศาสตร์อี้จิง รากเหง้าของวิถีชีวิตตะวันออก
สิ่งที่พวกเขาค้นพบน่าตื่นตะลึง สันนิษฐานว่ามันคือประดิษฐกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามเวลา หรืออาจเป็นผลงานของสิ่งทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว! ความหวังเดียวของพวกเขาในการไขความลับของรหัสนี้ตกอยู่ที่นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะผู้หนึ่งกับเวลาเพียง 48 ชั่วโมงที่จะไขรหัสลับแห่ง ‘อัฏฐสุตรา’ ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมหน้าของมนุษยชาติตลอดกาล!

อัฏฐสุตรา นวนิยายวิทยาศาสตร์อิงประวัติศาสตร์หักมุมจบที่ให้เกร็ดความรู้เรื่องฟิสิกส์ จักรวาลวิทยา ทฤษฎีสตริง โลกคู่ขนาน และปรัชญาตะวันออก

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ดาวเคราะห์น้อย สร้างสารต้นกำเนิดสิ่งมีชีวิต

http://www.newscientist.com/data/images/ns/cms/mg21028114.000/mg21028114.000-1_300.jpg
จากการทดสอบพบ อุกกาบาต Murchison มีสารเคมีอินทรีย์จำนวนมาก
หลายคนสงสัยว่า ต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตในโลกนั้นมาจากที่ไหนกันแน่ แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์พบก้อนหินชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของดาวเคราะห์น้อยแสดงให้เห็นถึงการสังเคราะห์สารเคมีที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต
เศษของดาวเคราะห์น้อยเล็กๆ ปริศนาดวงหนึ่งตกที่บริเวณชานเมือง ในหมู่บ้าน Murchison ในรัฐวิกตอเรีย ออสเตรเลียเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1969 จากการทดสอบพบว่า ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีส่วนประกอบที่มีกรดอะมิโน และมีสารเคมีที่พบในสารพันธุกรรมของคนเราด้วย
จากการค้นพบพบว่า ในอวกาศนั้นมีสารอินทรีย์กระัจายอยู่ทั่วไป ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าโมเลกุลของสารที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตนั้นกำเนิดขึ้นในอวกาศ ก่อนที่จะลงมาสู่พื้นโลก
แต่ปัญหาคือ โมเลกุลพวกนั้นมันก่อตัวอย่างไร Raffaele Saladino มหาวิทยาลัยTuscia เมือง Viterbo ประเทศอิตาลี คณะวิจัยได้ศึกษาส่วนลึกๆ ของดาวเคราะห์น้อยจากเศษที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆ พบว่ามีสารที่มีอยู่มากในอวกาศ คือ formamide ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสารชีวโมเลกุลจำนวนมาก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิต
คณะวิจัยได้รับเศษอุกกาบาตจากอุกกาบาต Murchison (อุกกาบาตที่ตกที่หมู่บ้าน Murchison) มา 1 กรัม จากนั้นนำมาบดจนเป็นผงละเอียด เสร็จแล้วทำการแยกโมเลกุลที่เป็นสารอินทรีย์ออกจนหมด เหลือเพียงแร่ล้วนๆ จากนั้นก็ผสมแร่เหล่านี้กับสาร formamide แล้วนำไปอุ่นที่อุณหภูมิ 140 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 48 ชั่วโมง ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นได้กรดนิวคลิอิกเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งกรดนิวคลิอิกนี้เป็นส่วนประกอบของสารพันธุกรรม DNA และ RNA รวมถึงได้กรดอะมิโนไกลซีน กรดต่างๆ รวมทั้งสารตั้งต้นของน้ำตาล การทดลองครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเศษอุกกาบาตที่มาจากดาวเคราะห์น้อยนั้นเป็นแหล่งสังเคราะห์สารเคมีมากมายหลายชนิด
สารที่ได้มีทั้งสารพันธุกรรมและสารที่สำคัญต่อกระบวนการเมแทบอลิซึม ซึ่งสารทั้งสองนี้คือสิ่งสำคัญของสิ่งมีชีวิตดั้งเดิม นักวิทยาศาสตร์จึงคาดว่าน่าจะเป็นต้นกำเนิดของสารที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
ข้อมูลจาก : Newscientist.com

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b9%8c%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a2-%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3/#more-715

นักวิจัยพบ แบคทีเรียเติบโตได้ในแรงโน้มถ่วงกว่า 400,000g

acteria-tolerate-extreme-gravity
แบคทีเรีย P. denitrificans ที่อยู่ในดิน ภายใต้แรงโน้มถ่วงปกติ (ซ้าย) แรงภายใต้แรงโน้มถ่วงมากกว่าปกติ (ขวา)
นักวิจัยพบ แบคทีเรียบางชนิดสามารถดำรงชีวิตและเจริญเติบโตได้ในบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงมากกว่า 400,000 เท่าของแรงโน้มถ่วงบนโลก (400,000g) ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่นั้นสามารถทนต่อแรงโน้มถ่วงได้เพียง 3g-5g เท่านั้นก่อนที่จะหมดสติไป
Shigeru Deguchi นักวิจัยกล่าวว่า สภาพแรงโน้มถ่วงมหาศาลที่ 400,000 เท่าของแรงโน้มถ่วงของโลกนั้นมีอยู่ในดาวฤกษ์ที่มีมวลมากๆ หรือในคลื่นกระแทกอันเนื่องมาจากการระเบิดของดาวฤกษ์มวลมากหรือซุปเปอร์โนวา
Deguchi และคณะ สามารถสร้างแรงโน้มถ่วงให้มากกว่าแรงโน้มถ่วงโลกมากๆ ได้ โดยใช้้เครื่อง ultracentrifuge ทำการทดลองกับแบคทีเรีย 4 ชนิดซึ่งหนึ่งในนั้นมีแบคทีเรีย Escherichia coli ในลำไส้ของมนุษย์อยู่ด้วย เมื่อนักวิจัยทำการเพิ่มแรงโน้มถ่วงขึ้นเรื่อยๆ แบคทีเรียต่างๆ ก็มาเกาะรวมกันเป็นเม็ดกลม แต่การที่แบคทีเรียทั้ง 4 ชนิดเกาะกันใกล้ชิดมากๆ นั้นก็ไม่ได้ยับยั้งไม่ให้มันเจริญเติบโตได้ ทั้งสี่ชนิดยังคงสืบพันธุ์กับแบบทวีคูณเช่ยเดิมแม้จะอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงทีี่มหาศาลซักเท่าใดก็ตาม แต่มีแบคทีเรียอยู่ 2 ชนิดคือ E. coli และ Paracoccus denitrificans ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่อยู่ในดินทั่วไป เจริญเติบโตได้เมื่อแรงโน้มถ่วงไม่เกิน 403,627 g เท่านั้น
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ขนาดนั้นจึงทนต่อแรงโน้มถ่วงมหาศาลได้ นักวิจัยกล่าวว่า ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่หรือสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เช่นคนเราเป็นต้น ร่างกายของเรานั้นเมื่ออยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงที่มากกว่าบนโลกเพียงไม่กี่เท่าเท่านั้น ร่างกายเราก็จะพังทลายลงและแหลกละเอียดไปในทันที แต่ทำไมสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวซึ่งมีขนาดเล็กมากไม่เพียงแต่ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแรงดึงดูดมหาศาลขนาดนั้นได้ แต่ยังสามารถสืบพันธุ์ได้อีกด้วย
Deguchi กล่าวว่า เซลล์แบคทีเรียมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่มีแรงโน้มถ่วงมากๆ แต่เซลล์ที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายของเรานั้นมีโครงสร้างพิเศษที่เรียกว่า organelles ซึ่งไม่มีโครงสร้างพิเศษนี้ในเซลล์แบคทีเรีย ตัวอย่างของ organelles คือ นิวเคลียสของเซลล์ ซึ่งภายในมี DNA อยู่ และมี mitochondria ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานให้แก่เซลล์ยูคาริโอต เมื่อ organelles อยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงมากๆ ก็จะหดลง หรือเกิดการตกตะกอน (sediment)  เมื่อองค์ประกอบของเซลล์หดลงจนแน่นมากๆ เซลล์ก็จะหยุดทำงาน ในทางกลับกัน เซลล์โปรคาริโอต ซึ่งไม่มี organelles จะมีความไวต่อการตกตะกอนน้อยมาก
แต่อย่างไรก็ตามแบคทีเรียที่นำมากทดลองเหล่านั้น มีบางชนิดที่สามารถทนต่อแรงโน้มถ่วงได้มากกว่าชนิดอื่น ซึ่งทางนักวิจัยก็ยังไม่สามารถหราบเหตุผลที่แน่ชัด
การค้นพบใหม่นี้สอดล้องกับแนวความคิดที่เรียกว่า panspermia ซึ่งกล่าวว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกนั้นอาจจะสืบเชื้อสายมาจากจุลชีพต่างดาว ซึ่งมาสู่โลกด้วยดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหาง
นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า การที่ดาวหางพุ่งชนโลกในครั้งแรกๆ นั้น จะมีความกดดันสูงถึง 300,000g แต่ก็มีแบคทีเรียที่มากับดาวหางบางชนิดสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่มีหลักฐานที่สามารถสนับสนุนทฤษฎี panspermia แต่การศึกษานี้ก็ช่วยให้เราพบว่า เรามีโอกาสที่จะพบสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลกได้มากขึ้น แม้ว่าจะพบในรูปของแบคทีเรียก็ตาม
ที่มา : NATIONAL GEOGRAPHIC

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%9e%e0%b8%9a-%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%b4/#more-745

ไส้ติ่งนี้มีคุณอนันต์

เราเคยคิดว่า อวัยวะทุกส่วนของร่างกายล้วนมีประโยชน์ ยกเว้นไส้ติ่ง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใครหลายๆ คนเห็นว่าไม่มีประโยชน์ แต่ไส้ติ่งนั้น มีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว และควรอย่างยิ่งที่จะเก็บรักษาไว้อย่างดีในร่างกายของเรา
ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์อเมริกันจากมหาวิทยาลัย Duke ค้นพบความสำคัญของอวัยวะที่บรรดาแพทย์เชื่อว่าไร้ประโยชน์ส่วนนี้แล้ว นั่นก็คือ มีหน้าที่สร้างและปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ในช่องท้องของคนเรา จุลินทรีย์ที่ว่านี้ช่วยในระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ไส้ติ่งยังทำหน้าที่กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้กลับมาทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ ในกรณีที่ถูกเชื้อโรคอหิวาห์หรือเชื้อโรคบิดเล่นงาน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไส้ติ่งเกิดติดเชื้อหรือเรียกว่า ไส้ติ่งอักเสบขึ้นมา ก็จำเป็นต้องผ่าตัดเอาออก
ศาสตราจารย์ Bill Parker แห่งมหาวิทยาลัย Duke ผู้ร่วมเขียนรายงานฉบับนี้บอกว่า ไส้ติ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนที่หลบภัยและโรงงานผลิตแบคทีเรีย อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของไส้ติ่งจะยิ่งลดน้อยลงมากในสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เนื่องจากโอกาสเกิดโรคอหิวาห์หรือโรคบิดน้อยมาก แต่สำหรับในประเทศด้อยพัฒนา ไส้ติ่งยังคงมีประโยชน์กับประชากรในประเทศเหล่านั้นอยู่
นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยหลายคนเห็นว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับประโยชน์ของไส้ติ่งมีความเป็นไปได้ และเป็นงานวิจัยที่อธิบายหน้าที่ของไส้ติ่งได้อย่างมีเหตุผลมากที่สุด โดยทฤษฎีนี้ตีพิมพ์อยู่ในเว็บไซต์ของนิตยสาร Scientific
จากรายงานดังกล่าวอาจให้ข้อคิดได้ว่า บางสิ่งที่เราคิดว่าไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเราลองมองดีๆ เราก็อาจเห็นคุณอนันต์จากสิ่งๆ นั้นได้เช่นกัน
VOA ไทย
http://www1.voanews.com/thai/news/a-47-2007-10-11-voa4-90635964.html

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/%e0%b9%84%e0%b8%aa%e0%b9%89%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b8%93%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%8c/#more-253

ไม่ต้องมีดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ก็มีสิ่งมีชีวิตได้

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก สามารถมีชีวิตสืบทอดเผ่าพันธุ์มาได้ก็เพราะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จึงเปรียบเหมือนต้นกำเนิดของทุกชีวิตในโลก แน่นอนว่าในดาวเคราะห์ดวงอื่นจะมีสิ่งมีชีวิตได้ ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขเดียวกันคือ ต้องได้รับพลังงานจากดาวฤกษ์ ภายในระบบสุริยะของมันเอง แต่คุณจะเชื่อผมหรือไม่ครับ ถ้าหากผมจะบอกว่า ดาวเคราะห์ที่สามารถที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้นั้น ไม่จำเป็นต้องได้รับพลังงานจากดา่วฤกษ์ก็ได้

ภาพดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสบดี ที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ก็อาจมีสิ่งมีชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์
ภาพดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสบดี ที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ก็อาจมีสิ่งมีชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์

นักเอกภพวิทยา จากมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา พบว่า ดาวเคราะห์ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้นั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้รับพลังงานจากดาวฤกษ์ก็ได้ แต่ต้องมีแหล่งความร้อนภายในดาวเคราะห์เอง เช่น ความร้อนจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี โดยที่มีชั้นน้ำแข็งหนาๆ เป็นฉนวนความร้อนห่อหุ้มไว้
งานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นก็เพราะ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นว่า “โลกจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าหากไม่มีดวงอาทิตย์” แนวคิดดังกล่าว ทำให้สหายของเขา เอริก สวิตเซอร์ นักเอกภพวิทยา เริ่มโครงการศึกษาวิจัยเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ สวิตเซอร์กล่าวเปรียบเทียบว่า ดาวเคราะห์อย่างโลกเรานั้น จะต้องมีแผ่นน้ำแข็งหนา 15 กิโลเมตรเพื่อเป็นฉนวน ถ้าหากไม่ได้รับพลังงานจากดาวฤกษ์ ซึ่งแหล่งพลังงานความร้อนของโลกก็คือ การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีต่างๆ อาทิ โพแทสเซียม-40 ยูเรเนียม-238 และ ทอเรียม-232 รวมทั้งพลังงานอื่นๆ ตั้งแต่การก่อตัวของดาวเคราะห์ เขากล่าวอีกว่า ดาวเคราะห์เช่นนี้จะอุ่นพอที่จะให้สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการและดำรงชีวิตอยู่ได้
แต่ในระบบสุริยะของเรา ก็มีดวงจันทร์อยู่มากมายหลายดวง ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เช่น ดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี ดวงจันทร์ 2 ใน 4 ของดวงจันทร์กาลิเลียน(คือดวงจันทร์ทั้ง 4 ของดาวพฤหัสบดีที่กาลิเลโอค้นพบ จากการใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ท่านประดิษฐ์ขึ้นเอง) คือ ดวงจันทร์ยูโรปา และคัลลิสโต และดวงจันทร์ของดาวเสาร์ดวงหนึ่ง คือดวงจันทร์เอนซาลาดัส พบว่าดวงจันทร์เหล่านี้มีชั้นมหาสมุทรที่เป็นของเหลวอยู่ มีทั้งแหล่งพลังงาน น้ำ และสภาพทางเคมีที่เอื้อต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต
แต่ถ้ามีคนถามว่า มีโอกาสไหมที่ดาวเคราะห์จะอยู่โดดๆ โดยที่ไม่ได้สังกัดอยู่ในระบบสุริยะใด หรือไม่ได้โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงใด ผมก็จะตอบว่า มีโอกาสครับ ความคิดนี้ไม่ถือว่าเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อไปซะทีเดียว เพราะจากการคำนวนของนักดาราศาสตร์แล้ว มีโอกาสที่ดาวเคราะห์จะอยู่เดี่ยวๆ โดดๆ ได้ อันเนื่องมาจากการรบกวนกันเอง ระหว่างดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ หรืออาจเป็นการรบกวนจากดาวฤกษ์ที่ผ่านเข้าใกล้ จนทำให้เกิดเเรงเหวี่ยงกลุดออกไปจากระบบ แบบจำลองจากการคำนวนแสดงผลว่า่ ในแต่ละระบบสุริยะมีโอกาสที่ดาวเคราะห์จะหลุดออกไปจากระบบได้ ปรมาณ 1-2 ดวง ต่อระบบ
ข้อมูลจาก : สมาคมดาราศาสตร์ไทย thaiastro.nectec.or.th

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a2%e0%b9%8c-%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%a7/#more-554

ALGAE สาหร่ายประโยชน์ 2 ต่อ

http://www.newscientist.com/data/images/ns/cms/mg21028075.300/mg21028075.300-1_300.jpgในยุคปัจจุบันซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามาก พลังงานส่้วนใหญ่ที่เราใช้กันนั้นมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งใช้เวลาในการกำเนิดนานนับล้านปี แต่ในโลกยุคปัจจุบันมนุษย์เรามีความต้องการในการใช้พลังงานมาก จึงทำให้เชื้อเพลิงฟอสซิลดังกล่าว หมดลงไปอย่างรวดเร็ว และเชื้อเพลิงฟอสซิลนี้เมื่อเผาไหม้แล้ว จะก่อให้เกิดมลพิษขึ้นมามาก แต่ตอนนี้เรามีพลังงานทางเลือกต่างๆ ที่สะอาด เช่นพลังงานลม เป็นต้น วันนี้ผมขอนำเสนอแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ ซึ่งนอกจากจให้พลังงานมาให้เราใช้แล้ว ยังช่วยบำบัดน้ำ ทำให้น้ำสะอาดได้อีกด้วย
ALGAE คือสาหร่า่ยชนิดหนึ่งซึ่งให้ประโยชน์ถึง 2 อย่างคือ นอกจากจะช่วยบำบัดน้ำที่เน่าเสียแล้ว ยังให้พลัังงานชีวภาพที่สะอาด ไม่เป็นมลพิษต่อโลกอีด้วย
สาหร่าย ALGAE นี้เลี้ยงด้วยลิพิด(ไขมันชนิดหนึ่ง)ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบของไนโตรเจนและฟอสเฟต ในการบำบัดน้ำของสาหร่ายชนิดนี้จะทำโดยการเปลี่ยนน้ำมันให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ แต่มีสาหร่ายเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถแปลงให้เป็นไขมันที่สามารถแปลงเป็นเชื้อเพลิงได้ อย่างไรก็ตามสาหร่ายก็นับได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่ดีที่สุด โดยพลังงานที่ได้่คือไบโอดีเซล ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้กับการขนส่งต่างๆ เช่น ใช้ในรถบรรทุกได้
Eric Lannan วิศวกรเครื่องกล สถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์ นิวยอร์ก และเพื่อนร่วมงาน กล่าวว่าสาหร่ายที่สามารถแปลงน้ำมันเปลี่ยนเป็นพลังงานชีวภาพที่ดีที่สุดมี 3 ชนิดคือ Scenedesmus, Chlorella และ Chlamydomonas โดยเขาได้ทำการทดลองกับสาหร่ายทั้งสามชนิดนี้พบว่า ในเวลาเพียง 3 วัน สาหร่ายเหล่านี้สามารถกำจัดแอมโมเนียในน้ำได้ถึง 99 เปอร์เซนต์ กำจัดไนเตรตได้ 99 เปอร์เซนต์และกำจัดฟอสเฟตได้ 99 เปอร์เซนต์เช่นกัน และเปลี่ยนมลพิษเหล่านี้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงได้มหาศาล และยังช่วยบำบัดน้ำเสียให้น้ำสะอาดได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
กระบวนการที่สาหร่ายได้ทำการบำบัดน้ำเสีย เปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงานได้นั้นมีอยู่ 2 ขั้นตอน ขั้นแรกคือใน 3 วันแรก เมื่อสาหร่าย  algae ทำการการสังเคราะห์ลิพิดจากน้ำเสียแล้ว น้ำเสียก็จะไม่มีส่วนประกอบของไนโตรเจนและฟอสเฟตอีกต่อไป หลังจากนั้น 6 วัน คณะวิจัยได้ทำการบีบอัดเพื่อสกัดน้ำมัน จากนั้นก็นำมาหมักเพื่อให้ย่อยสลายได้เป็นมีเทน หรือสามารถนำไปผลิตต่อเป็นเอทานอลได้ต่อไป
ข้อมูลจาก : NewScientist.com

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/algae-%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%82%e0%b8%a2%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b9%8c-2-%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%ad/#more-636

นักวิจัยพัฒนาวัคซีัน SIV ซึ่งอาจนำไปสู่วัคซีนป้องกันโรคเอดส์ได้

นักวิจัยกำลังตื่นเต้นกับวัคซีนชนิดใหม่ที่พวกเขาได้พัฒนาขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันให้ลิงเอเชียพันธุ์ rhesus ตัวหนึ่งจากโรคเอดส์ในลิงจากเชื้อ SIV ได้ พวกเขาหวังว่าการค้นพบของพวกเขาสามารถที่จะป้องกันการติดเชื้อ HIV ในคนได้
มีผู้คนทั่วโลกกว่า 2.6 ล้านคนที่เป็นผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ในทุกๆปี และกว่า 2 ล้านคนที่เสียชีวิตจากได้รับเชื้อจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นักวิจัยจึงได้เร่งมือคิดค้นวัคซีนป้องกัน HIV อย่างเร่งด่วนแต่การพัฒนาวัคซีนนั้นไม่ใช่สิง่ที่ง่ายเลย
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Oregon Health and Science ในสหรัฐฯ นำโดย Louis Picker หัวหน้าคณะพัฒนาวัคซีน กล่าวว่า นักวิจัยได้พัฒนาวัคซีนซึ่งสามารถป้องกันลิงตัวหนึ่งจากเชื้อของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในลิงหรือ simian immunodeficiency virus, or SIV. ได้
การทำงานคือ วัคซีนนี้จะแจ้งเตือนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสมือนว่าได้มีไวรัสเข้ามาในร่างกายแล้ว เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเตรียมตัวก่อนที่เชื้อไวรัสจริงจะเข้ามาฝังตัวอยู่ในร่างกาย
ถ้าลองเปรียบเทียบกับการป้องกันประเทศจากศัตรู ก็เหมือนกันติดอาวุธให้แก่กองกำลังที่ชายแดน เพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้กับเชื้อไวรัสต่างๆ ทั้ง HIV หรือ SIV
ปัจจุบันนักวิจัยพยายามพัฒนาวัคซีนให้สามารถบอกภูิมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อให้รับรู้และทำลายเชื้อ HIV โดยนักวิจัยทำการแนบสารพันธุกรรมของไวรัสนั้น เข้ากับเชื้อไวรัสเย็นที่ใช้ทำวัคซีนทั่วไปซึ่งอ่อนแอและไม่เป็นอันตราย แต่แนวคิดดังกล่้าวยังไม่สำเร็จเพราะเชื้อไวรัสที่ใช้ทำวัคซีนนั้นสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ไม่นานในร่างกาย
ดังนั้น คณะวิจัยของ Picker จึงได้หันมาใช้ cytomegalovirus หรือ CMV ซึ่งมีอยู่ในร่างกายของคนทั่วไป ไวรัสตัวนี้นั้นไม่ทำให้เกิดโรค และสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายของคนเราได้
เมื่อนำวัคซีนที่ได้จากเชื้อ CMV นี้ไปทดลองในลิง พบว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถช่วยให้ลิงปลอดภัยจากเชื้อไวรัสได้
สิ่งที่ Picker ต้องทำต่อไปคือพัฒนาให้วัคซีนจากเชื้อไวรัส CMV มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำการทดลองในมนุษย์เพื่อต่อต้านการติดเชื้อไวรัส HIV
ที่มา : VOANews.com English

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/aids-vaccine/

การวิจัยเผย คนรู้หลายภาษา แยกแยะข้อมูลได้ดีกว่ารู้ภาษาเดียว

งานวิจัยเปิดเผยว่า คนที่รู้มากกว่า 1 ภาษาสามารถวิเคราะห์แยกแยะข้อมูลได้ดี ทั้งนี้ เนื่องจากมนุษย์เรานั้น มีความสามารถในการเรียนรู้ภาษาโดยธรรมชาติตั้งแต่เด็ก โดยกระบวนการเรียนรู้นั้น เริ่มตั้งแต่ในครรภ์มารดา โดยการเรียนรู้จากเสียงของแม่ เพราะการเรียนรู้ภาษานั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เราอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน จึงต้องใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร
คนที่สามารถอ่านเขียนได้หลายภาษา มักจะมีโอกาสในการศึกษากว้างขวาง ผู้ปกครองจึงมักส่งให้บุตรหลานเรียนหลายๆ ภาษาตั้งแต่เด็กๆ แต่มีพ่อแม่หลายคนที่เกรงว่าการเรียนหลายภาษานั้น จะทำให้ลูกสับสน อย่างไำรก็ตามก็เป็นที่ยอมรับกันว่า เด็กๆ สามารถเรียนรู้ภาษาอื่นๆ ร่วมไปกับภาษาแม่ได้
ศาสตราจารย์ Kathy Hirsh-Pasek ผู้อำนวยการโครงการภาษาของทารกที่มหาวิทยาลัย Temple ในเมืองฟิลาเดลเฟีย กล่่าวว่า เราคิดว่า พัฒนาการทางด้านภาษาของเด็กนั้น เริ่มตั้งแต่ในครรภ์ เพราะทารกในครรภ์สามารถที่จะได้ยินเสียงของแม่ได้
มหาวิทยาลัย Penn State ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่เรียนรู้หลายภาษา สามารถทำงานหลายหน้าที่ได้ดี นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยยอร์ก โตรอนโต แคนาดา ได้ศึกษาพบว่า ผู้ที่รู้หลายภาษาสามารถที่จะแยกแยะหรือวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีกว่าอีกด้วย
ที่มา : Voanews.com

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2-%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%a0%e0%b8%b2/#more-479

การวิจัยชี้ เราสามารถได้ยินเสียงความถี่สูงที่คนไม่สามารถได้ยินได้

คนที่อยู่ใต้น้ำสามารถฟังได้ดีกว่าคนบนบก
การวิจัยชิ้นใหม่แนะนำว่า เราเพียงแค่ทำให้กระดูกในหูสั่น ก็จะเป็นทางลัดของเสียงไปสู่สมอง ซึ่งทำให้เราสามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้น
Michael Qin นักวิจัยอาวุโสแ่ห่งห้องปฏิบัติการการวิจัยการแพทย์ใต้น้ำของกองทัพเรือ อธิบายว่า คนเราสามารถได้บินเสียงอยู่ในช่วงความถี่ 20 Hz ถึง 20 KHz หรือ 20,000 Hz เสียงที่มีความถี่ 20 KHz เสียงจะเหมือนยุงบิน แต่เสียงความถี่ 20 Hz จะเป็นเสียงเหมือนเวลาที่คุณไปฟังคอนเสิร์ต จะเป็นเสียงเบส
Qin ทำการทดลองพบว่า ในบางสถานการณ์คนเราก็สามารถได้ยินเสียงที่มีความถี่อยู่นอกช่วงปกตินี้ อย่างเช่นนักดำน้ำสามารถได้ยินเสียงที่ความถี่ 100 KHz ได้ ซึ่งคนปกติได้ยินที่ความถี่สูงสุดเพียง 20 KHz เท่านั้น ซึ่งเหตุผลที่นักดำน้ำสามารถได้ยินเสียงที่ความถี่มากๆ ไ้ด้นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าอาจเป็นเพราะเสียงเดินทางผ่านกระดูกไปยังสมองโดยตรง
โดยปกติเราจะได้ยินเสียงเมื่อเสียงเดินทางผ่านอากาศแล้วเข้าสู่รูหู และชนเข้ากับแก้วหูจนถึงกระดูกหูของเรา และทำให้กระดูกหูสั่น กระดูกหูของคนเรามีอยู่สามชิ้นซึ่งอยู่ชิดกันคือ กระดูกรูปค้อน (malleus) กระดูกรูปทั่ง (incus) และกระดูกโกลน (stapes) เมื่อเสียงทำให้กระดูกหูทั้งสามชิ้นสั่นแล้ว กระดูกโกลนก็จะส่งแรงดันดันโครงสร้างที่มีของเหลวหรือคอเคลีย (cochlea) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายหอยทากขนาดเล็กๆ ทำหน้าที่แปลคลื่นความดันจากกระดูกหูในหูชั้นกลาง ในรูปของคลื่นในของเหลวไปเป็นสัญญาณประสาทไปสู่สมองเพื่อแปลเป็นเสียงต่อไป
ถ้าคุณคิดว่าการเดินทางของเสียงกว่าจะเข้าสู่หูจนกระทั่งแปลความหมายออกมานั้นเป็นกระบวนการที่ยาวนานซับซ้อน เราก็สามารถทำให้เสียงผ่านกระดูกหรือการได้ยินใต้น้ำก็จะสามารถลดกระบวนการข้างต้นได้
Qin กล่าวว่า “การที่เสียงเดินทางผ่านกระดูกนั้นต้องเป็นเสียงที่มีความถี่สูงมาก จนไปทำให้กระดูกหูสั่นโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านแก้วหู ซึ่งเป็นวิธีที่วาฬบางชนิดสามารถได้ยินได้ด้วยวิธีนี้”
“งานหลักในการวิจัยของเราคือพยายามเข้าใจหลักการของการได้ยินใต้น้ำและการได้ยินผ่านกระดูก และดูว่าการได้ยินวิธีพิเศษทั้งสองอย่างนี้มีหลักการเหมือนกันหรือไม่ แต่อาจจะเป็นผลมาจากการที่เสียงอัลตราโซนิกไปกระตุ้นของเหลวในคอเคลียก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม Qin และคณะกำลังศึกษาว่าทำไมกระดูกส่วนใหญ่มักจะมีความไวต่อการสั่นสะเทือนของเสียงอัลตราโซนิก การวิจัยนี้อาจพัฒนาไปสู่การสร้างอุปกรณ์ที่ทำให้เราสามารถได้ยินเสียงที่คนเราไม่สามารถได้ยินได้ หรือใช้พัฒนาเครื่องช่วยฟังให้ดีขึ้นได้

ข้อมูลจาก : National Geographic

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/superhuman-hearing-possible/#more-834

สมองเสื่อมเพราะเหตุใด

คนเรานั้นมีสมองที่มีความก้าวหน้าและมีภูมิปัญญามากที่สุดในอาณาจักรสัตว์ แต่เมื่อายุมากขึ้นคนเรามักจะมีอาการต่างๆ เกี่ยวกับสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ หรือจำอะไรไม่ค่อยได้ และนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า มนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่มีอาการทางสมองในวัยชรา
คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ได้เปรียบเทียบสมองของคนเรากับลิงชิมแปนซีซึ่งถือว่ามีวิวัฒนาการใกล้เคียงกับคนเรามากที่สุด พบว่าเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น สมองของคนเราจะหดตัวลง ในขณะที่สมองของลิงชิมแปนซียังคงมีขนาดเท่าเดิม การศึกษานี้บ่งชี้ว่าสมองของคนเราเป็นโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับการสูงวัยได้ง่ายว่าลิงชิมแปนซีเพราะมนุษย์เรามีอายุยืนกว่า
จากการวิเคราะห์สมองของมนุษย์และสมองของลิงชิมแปนซีด้วยการใช้ระบบจับภาพด้วยการสะท้อนของคลื่นแม่เหล็ก พบว่าขณะที่คนเรามีอายุมากขึ้นสมองจะเบาลง  น้ำหนักที่ลดลงเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของเซลล์ประสาทที่ลดขนาดลง ส่งผลกระทบถึงความสามารถในการคิด ความทรงจำ และการส่งสัญญา๊ณไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ลดลงตามไปด้วย จากการตรวจพบว่า สมองส่วนที่เสื่อมมากที่สุดคือ ซีรีบรัม คอร์เท็กซ์ (เยื่อหุ้มสมองส่วนล่าง) ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการคิดระดับสูง แต่สมองของลิงกลับไม่พบว่าน้ำหนักหรือขนาดลดลงเหมือนของมนุษย์ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า สภาพการณ์นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนหรือไม่
นักวิจัยกล่าวว่า การที่สมองคนเรามีอาการต่างๆ ข้างต้นเกิดขึ้นอาจเป็นเพราะสมองคนเราต้องใช้พลังงานมากในช่วงเวลาหลายสิบปีจึงทำให้เกิดอาการล้าและไม่สามารถทำงานด้วยขีดจำกัดสูงๆ ได้อีกต่อไป
ที่มา : รายการ เจาะข่าวเช้านี้ ช่วง VOA News สถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อ้างอิงจาก http://www.sciencenaru.com/brain-degeneration/

วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปี 2012

วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับ ปี 2012 เหตุการณ์ปี 2012 นั้นมีนัยสำคัญค่อนข้างมากถ้าทุกคนได้ศีกษาถีงความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว ดวงอาทิตย์ ทางช้างเผือก ได้มีคำทำนายต่างๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขี้นซี่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ เรื่องราวของปี 2012 ในแง่ของทางวิทยาศาสตร์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันที่โลกจะเรียงตัวกับพระอาทิตย์ และ แนวระนาบของทางช้างเผือก ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเชื่อว่าการเรียงตัวไม่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเนื่องจากปฏิกริยากันตามความรู้ทั่วไปนั้นมีไม่มากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่หลักฐานจากสี่งที่เกิดขี้นโดยเฉพาะกับดวงอาทิตย์พบว่าเวลามวลดาวเคราะห์มีการเรียงตัว จะทำให้พระอาทิตย์เกิดปฏิกริยามากเป็นพิเศษ โดยเกิดขี้นเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนในอดีต ซี่งไม่สามารถอธิบายโดยหลักวิทยาศาสตร์ทั่วไปได้ เราสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือบอกเหตุในอนาคตและคาดคะเนความร้ายแรงของเหตุการณ์ได้  นอกจากเรื่องของการเรียงตัวแล้วยังมีปรากฏการณ์ที่เกิดขี้นกับระบบสุริยะจักรวาลซี่งคล้ายคลึงกับทฤษฏี Galactic Superwave ของ ดร. Paul LaViolette อีกด้วย ซี่งอธิบายเกี่ยวกับการที่ Gamma ray bust สามารถจุดฉนวนปฏิกริยาของดวงอาทิตย์ ขณะนี้ทางการได้ออกมายอมรับว่าระบบสุริยะจักรวาลเคลื่อนตัวผ่านกลุ่มหมอกดวงดาวซึ่งอยู่นอกเหนือการคาดการณ์และมีพลังงานบางอย่างเข้ามา
ก่อนจะกล่าวถีงเรื่องของปี 2012 เราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลของเราก่อนโดยเริ่มจากทางช้างเผือก และ ตามด้วยปฏิกริยาของดวงอาทิตย์ และการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล

ทางช้างเผือก

ทางช้างเผือกของเรานั้นเต็มไปด้วยกลุ่มดาวซี่งมีประมาณ 200 ถีง 400 พันล้านดวงเคลื่อนที่ล้อมรอบจุดศูนย์กลางของทางช้างเผือก ซี่งตรงกลางของทางช้างเผือกนั้นประกอบด้วยหลุมดำซี่งดูดทุกสิ่งที่อย่างเข้าไปและเกิดการระเบิดเป็นระลอกๆ และปล่อยพลังงานขนาดใหญ่มหาศาลออกมา ดวงอาทิตย์ของเรากำลังเคลื่อนตัวตัดผ่านเข้าไปในแนวระนาบของทางช้างเผือก ซี่งเต็มไปด้วยพลังงานหลายรูปแบบ และยังเต็มไปด้วยมวลของกลุ่มดาวขนาดใหญ่มหาศาล พระอาทิตย์ของเราโคจรล้อมรอบระบบทางช้างเผือกโดยใช้เวลาประมาณ 225 ล้านปี ในช่วงเวลาของวงโคจรนี้ ระบบสุริยะจักรวาลของเราก็ได้เคลื่อนขี้นลงตัดผ่านแนวระนาบของทางช้างเผือกทุกๆ ประมาณ 33 ล้านปี โดยแนวการโคจรมีลักษณะ เป็นลูกคลื่น ณ เวลาปัจจุบันนั้นเรากำลังจะตัดผ่านแนวระนาบของทางช้างเผือกพอดี จีงมีพลังงานจำนวนมากเข้ามาในระบบและทำให้เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขี้นบนทั้งโลก และ ดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะจักรวาล
วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับ ปี 2012 เหตุการณ์ปี 2012 นั้นมีนัยสำคัญค่อนข้างมากถ้าทุกคนได้ศีกษาถีงความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว ดวงอาทิตย์ ทางช้างเผือก ได้มีคำทำนายต่างๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขี้นซี่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ เรื่องราวของปี 2012 ในแง่ของทางวิทยาศาสตร์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันที่โลกจะเรียงตัวกับพระอาทิตย์ และ แนวระนาบของทางช้างเผือก ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเชื่อว่าการเรียงตัวไม่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเนื่องจากปฏิกริยากันตามความรู้ทั่วไปนั้นมีไม่มากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่หลักฐานจากสี่งที่เกิดขี้นโดยเฉพาะกับดวงอาทิตย์พบว่าเวลามวลดาวเคราะห์มีการเรียงตัว จะทำให้พระอาทิตย์เกิดปฏิกริยามากเป็นพิเศษ โดยเกิดขี้นเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนในอดีต ซี่งไม่สามารถอธิบายโดยหลักวิทยาศาสตร์ทั่วไปได้ เราสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือบอกเหตุในอนาคตและคาดคะเนความร้ายแรงของเหตุการณ์ได้  นอกจากเรื่องของการเรียงตัวแล้วยังมีปรากฏการณ์ที่เกิดขี้นกับระบบสุริยะจักรวาลซี่งคล้ายคลึงกับทฤษฏี Galactic Superwave ของ ดร. Paul LaViolette อีกด้วย ซี่งอธิบายเกี่ยวกับการที่ Gamma ray bust สามารถจุดฉนวนปฏิกริยาของดวงอาทิตย์ ขณะนี้ทางการได้ออกมายอมรับว่าระบบสุริยะจักรวาลเคลื่อนตัวผ่านกลุ่มหมอกดวงดาวซึ่งอยู่นอกเหนือการคาดการณ์และมีพลังงานบางอย่างเข้ามา
ก่อนจะกล่าวถีงเรื่องของปี 2012 เราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลของเราก่อนโดยเริ่มจากทางช้างเผือก และ ตามด้วยปฏิกริยาของดวงอาทิตย์ และการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล

ทางช้างเผือก

ทางช้างเผือกของเรานั้นเต็มไปด้วยกลุ่มดาวซี่งมีประมาณ 200 ถีง 400 พันล้านดวงเคลื่อนที่ล้อมรอบจุดศูนย์กลางของทางช้างเผือก ซี่งตรงกลางของทางช้างเผือกนั้นประกอบด้วยหลุมดำซี่งดูดทุกสิ่งที่อย่างเข้าไปและเกิดการระเบิดเป็นระลอกๆ และปล่อยพลังงานขนาดใหญ่มหาศาลออกมา ดวงอาทิตย์ของเรากำลังเคลื่อนตัวตัดผ่านเข้าไปในแนวระนาบของทางช้างเผือก ซี่งเต็มไปด้วยพลังงานหลายรูปแบบ และยังเต็มไปด้วยมวลของกลุ่มดาวขนาดใหญ่มหาศาล พระอาทิตย์ของเราโคจรล้อมรอบระบบทางช้างเผือกโดยใช้เวลาประมาณ 225 ล้านปี ในช่วงเวลาของวงโคจรนี้ ระบบสุริยะจักรวาลของเราก็ได้เคลื่อนขี้นลงตัดผ่านแนวระนาบของทางช้างเผือกทุกๆ ประมาณ 33 ล้านปี โดยแนวการโคจรมีลักษณะ เป็นลูกคลื่น ณ เวลาปัจจุบันนั้นเรากำลังจะตัดผ่านแนวระนาบของทางช้างเผือกพอดี จีงมีพลังงานจำนวนมากเข้ามาในระบบและทำให้เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขี้นบนทั้งโลก และ ดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะจักรวาล

ดวงอาทิตย์

ก่อนที่เราจะเข้าถีงเรื่องของการปรากฏการณ์นี้ เราจะเริ่มจากศีกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับปฏิกริยาของดวงอาทิตย์ก่อน ดวงอาทิตย์นั้นเป็นดาวที่มีขนาดใหญ่ มีมวลเทียบเป็น 99.86% ของมวลทั้งหมดในระบบสุริยะจักรวาล ซี่งในระบบนั้นมีดาวเคราะห์ทั้งหมด 9 ดวง ได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน และ ดาวพลูโต ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยธาตุหลักๆได้แก่ ไฮโดรเจน ฮีเลียม และคาร์บอน
พลังงานทีพระอาทิตย์ปลดปล่อยออกมานั้นอยู่ในรูปของ พลาสมาซี่งเกิดขี้นจากปฏิกริยานิวเครียร์ ฟิวชันของ ธาตุไฮโดรเจนรวมตัวกันเป็นฮีเลียม บนพี้นผิวของดวงอาทิตย์เต็มไปด้วย พลาสมา ซี่งโคจรรอบตัวมันเองตามแนวเส้นผ่าศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ เนื่องจากความเร็วของมันจะเปลี่ยนแปลงตามตำแหน่งตามแนวราบเทียบกันเส้นศูนย์สูตร มันจีงเกิดปฏิกริยาบิดตัว และปล่อยพลังงานในรูปแบบของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซี่งแนวที่พระอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมานั้นจะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งของดวงเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล และ วัตถุ หรือ พลังงานอีนๆ ซี่งเคลื่อนตัวเข้าหาดวงอาทิตย์ จากการศีกษาพบว่า พลังงานของดวงอาทิตย์ที่ถูกปล่อยออกมานั้น จะปล่อยออกมาในทิศทางที่มีจำนวนดาวเคราะห์ที่เรียงตัวกัน และ จำนวนพลังงานก็ยังขี้นอยู่กับจำนวนดาวเคราะห์ที่อยู่ในแนวเรียงตัว แม้ว่าระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์จะไกลกันมากและพระอาทิตย์มีสนามแม่เหล็กที่ใหญ่กว่ามาก แต่การศีกษาอย่างเป็นทางการ พบว่าสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เชื่อมโยงกับดาวเคราะห์ นอกจากนั้นอาจจะมีกลไกอี่นซี่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฏีในปัจจุบัน  ถ้าโลกอยู่ในแนวที่พลังลมสุริยะปล่อยออกมาก็อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า และ การบิน
วีดิโอแสดงความเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก เมื่อมีพลังงานจากดวงอาทิตย์เข้ามากระทบ
วิดิโอจำลองเหตุการณ์ปฏิกริยาพระอาทิตยใหญ่ๆ ซี่งเกิดในช่วงดาวเคราะห์วงในเรียงตัวในแนว 0, 90 หรือ 180 องศา
6 กรกฎาคม คศ 2009
6 พฤษจิกายน คศ 2009

ภาพเปรียบเทียบการเกิดอุบัติเหตุทางอากาศแบบไม่ร้ายแรง (ป้ายสีเหลืองรูปเครื่องบินในแผนที่) เวลามี ( 6 กรกฏาคม คศ 2009) และไม่มีปรากฏการณ์ Corona Mass Ejection ที่เข้ามาในทิศทางวงโคจรของโลก (6 พฤษจิกายน คศ 2009) http://macedoniaonline.eu/content/view/7331/53/
ดาวเคราะห์แต่ละดวงนั้นมีผลต่อดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน ดาวที่มีผลต่อปฏิกริยาดวงอาทิตย์จะมีสนามแม่เหล็กที่ขั้วโลกซี่งได้แก่ พุธ โลก พฤหัส ยูเรนัส และ เนปจูน ดาวเคราะห์ที่มีผลต่อปฏิกริยาของดวงอาทิตย์มากที่สุดคือดาวพฤหัสซี่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล และ มีสนามแม่เหล็กและแรงโน้มถ่วงซี่งมีอิทธิพลต่อดวงอาทิตย์เป็นหลักซี่งทำให้จุดบอดของดวงอาทิตย์มีวัฐจักรจากต่ำสุดไปยังสูงสุดในระยะเวลาประมาณ 11 ปี ดวงอาทิตย์ก็มีปฏิกริยาสูงสุด ครั้งล่าสุดเมื่อปี คศ 2001 และประมาณการกันว่าจะมีปฏิกริยาสูงสุดอีกทีที่ปี คศ 2012
วัฏจักรประมาณ 11 ปีของดวงอาทิตย์
Solar Cycle 23
ปริมาณลมสุริยะของดวงอาทิตย์ ในช่วงเวลาที่มีจุดดับน้อย (1994) เทียบกับ ช่วงเวลาที่มีจุดดับมาก (2000)
ทุกครั้งที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกันและเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกริยาที่ดวงอาทิตย์ พลังงานบางส่วนได้ส่งมายังโลกและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนชั้นบรรยากาศและระบบไฟฟ้าบนโลก นอกจากนั้นการเรียงตัวกันของดวงดาวยังเหนี่ยวนำให้เกิดแผ่นดินไหวบนดาวเคราะห์ที่เรียงตัวกัน จากการสำรวจทางสถิติของโลกในอดีต จะพบว่า แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จะเกิดขี้นในช่วงวันที่โลกเรียงตัวกับดาวเคราะห์อี่น นอกจากพระอาทิตย์และโลกจะมีปฏิกริยาซี่งเกิดขี้นจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์แล้วยังมีปฏิกริยากับพลังงานรังสี แกมมาซี่งเกิดจากการระเบิดจากกาแล็ดซีข้างเคียง เมื่อมีการระเบิดเกิดขี้นพลังงานเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงกับระบบสื่อสารดาวเทียม และทำให้เกิดเหตุขัดข้อง
ภาพของจำนวน จุดดับบนดวงอาทิตย์ในช่วงเดือน กันยายน ถีง เดือน พฤศจิกายน 2552 เมื่อเทียบกับแผนที่ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล
นอกจากนั้นยังพบว่าพลังงานอี่นๆที่มาจากรังสีแกมมา และพลังงานสนามแม่เหล็ก มายังเป็นตัวจุดฉนวนในการเกิดปฏิกริยาใต้ผิวโลก เช่นแนวการเคลื่อนตัวของลาวา ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ดังนั้นปฏิกริยาของดวงอาทิตย์ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั้นจะมีความร้ายแรงมากเป็นพิเศษ เพราะ มีการเรียงตัวของดาวเคราะห์จำนวนมากในทางช้างเผือก และ พลังงานที่เข้ามาในระบบสุริยะจักรวาลจะมากที่สุด ณ วันนั้น

ผลกระทบจากการที่พลังงานรังสีจากทางช้างเผือกเข้ามาในระบบสุริยะจักรวาล

การที่พลังงานรั่วไหลเข้ามาในระบบสุริยจักรวาลนั้นส่งผลกระทบมากมายต่อดาวเคราะห์ทุกดวง จากการที่เราได้ส่งดาวเที่ยมจำนวนหลายดวงเพี่อศีกษาลมสุริยะ เช่น Voyager 1, 2 และ IBEX  พบว่าความดันลมสุริยะมีขนาดเล็กลงไป 25% หรือมากกว่านั้นในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากจักรวาลเป็นระบบเปิด และ ใช้สมมติฐานทีว่า การเปลี่ยนแปลงจากภายในพระอาทิตย์นั้นมีไม่มาก การที่ความดันลมสุริยะลดลงก็หมายความว่ามีความดันจากด้านนอกของดวงอาทิตย์เพิ่มขี้น ซี่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุแรกก็คือการที่เราเคลื่อนตัวเข้าสู่พี้นที่ที่มีพลังงานสูง ซี่งแหล่งพลังงานนี้อาจจะเกิดจากตำแหน่งของเรากำลังเข้าใกล้ ระนาบของทางช้างเผือก อย่างที่สองก็คือการที่เราเคลื่อนตัวเข้าสู่กลุ่มก็าซและอนุภาคที่มีปริมาณมากเป็นพิเศษ (Interstella cloud) ซี่งเราก็สามารถตรวจจับอนุภาคและพลังงานต่างๆได้เป็นจำนวนมาก และตามขอบของ Bow shock ของดวงอาทิตย์
Inter Stellar Cloud
ภาพจำลองของทิศทางของระบบสุริยะจักรวาล (ลูกศรสีเหลือง) ที่เคลื่อนตัวผ่านกลุ่มหมอกอนุภาค และ เมื่อเทียบกับแนวของทางช้างเผือก (ลูกศรสีฟ้า)
ภาพวัดของเกราะกำลังรอบนอกของดาวงอาทิตย์จากยาน IBEX พบแนวอนุภาคนิวตรอนซี่งอยู่ในแนวตั้งเดียวกับระนาบของทางช้างเผีอกของเรา
ลมสุริยะลดกำลังลงมากสุดเป็นประวัติการณ์ที่มีการบันทีกไว้ในรอบ 50 ปี 
เมื่ออนุภาคเหล่านี้เข้ามาในดาวเคราะห์จะทำให้เกิดพลังงาน และการนำกระแสไฟฟ้าบนชั้นบรรยากาศ จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่อดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะจักรวาล หลักฐานของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศบนดาวเคราะห์มีดังนี้
1. ดาวพูลโต มีความสว่างเพิ่มขี้นทางเหนื่อ ความมึดเพิ่มขี้นทางใต้ สภาวะความกดอากาศเพิ่มขี้น 300%  www.cnrs.fr/cw/en/pres/compress/PlutoAtmos.htm และมวลเพิ่มขี้นถีง 2 เท่าตัวในช่วงเวลาไม่ถีง 10 ปี
2. ดาวเนปจูน มีความสว่างเพิ่มขี้น 40% และแกนแม่เหล็กเคลื่อนตัว
3. ดาวยูเนรัส มีสภาพอากาศแปรปรวน และ แกนแม่เหล็กเคลื่อนตัว
4. ดาวเสาร์ มีความเร็วของชั้นบรรยากาศลดลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี และ เกิด ออร์รา ที่บริเวณขั้วของดาวเคราะห์ ซี่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความสว่างมากกว่าเดิม
5. ดาวพฤหัส เกิดการเปลี่ยนในชั้นบรรยากาศ ซี่งทำให้ กลุ่มก็าซขนาดใหญ่ รวมตัวกัน และ ดาวได้ปล่อยพลังงานที่ปริมาณมากกว่าที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ นอกจากนั้นยังได้เกิดเหตุการณ์อุกกาบาตขนาดใหญ่พุุ่งชนอีกด้วย
6. ดาวอังคาร ได้เกิดเหตุน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และ เริ่มมีชั้นบรรยากาศ อีกทั้งสนามแม่เหล็กก็เริ่มหายไป
7. ดาวศุกร์ มีความสว่างสูงขี้น 2500%
8. ดาวพุทธได้เกิดน้ำแข็งขี้นที่ขั้วโลก และ ปริมาณของเปลว โซเดียม ลดลงอย่างมาก ซี่งอาจะเชื่อมโยงจากการที่พระอาทิตย์อ่อนกำลังลง
 

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศบนโลก

โลกก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปรากฏการณ์นี้ ในหลายรูปแบบของ แผ่นดินไหว และ สภาพอากาศที่แปรปรวน โดยเกิดจากหลายปัจจัย ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมาแผ่นดินไหวบนโลกที่มีขนาดเกิน 6 ริตเตอร์ได้เกิดขี้นเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2000 ที่ดวงอาทิตย์มีปฏิกริยาและจุดดับบนดวงอาทิตย์เพิ่มขี้นสูง
ความถี่ของแผ่นดินไหวบนโลกที่มีขนาดระหว่าง 6-8 วิตเตอร์
ความถี่ของหินอุกาบาตที่เข้ามาในโลกในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี
ความถี่ของฝนดาวตก Geminid ตั้งแต่ปี 1860
ปริมาณอุกกาบาตสะสมที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร (แดง) และจำนวนอุกกาบาตทั้งหมด (น้ำเงิน)
 
โลกได้รับพลังงานรังสีคอสมิคมากเป็นประวัติการณ์

ข่าวจาก ESA เกี่ยวกับฝุ่นละอองที่เข้ามาในระบบสุริยะจักรวาล
จะเห็นได้ว่าโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากมายและจะมีแนวโน้มจะสูงขี้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับที่เกิดขี้นบนดาวเคราะห์ที่เหลือในระบบสุริยะจักรวาล ตั้่งแต่คาบปฏิกริยาของดาวอาทิตย์เมื่อครั้งที่แล้ว (solar cycle 23) พระอาทิตย์มีปฏิกริยาสูงสุดและจะมีการกลับขั้วสนามแม่เหล็กหลังจากนั้น แต่เกราะกำบัง heliosphere ของดวงอาทิตย์ไม่กลับสู่สภาวะปกติเหมือนในอดีต และ ทำให้ฝุ่นละอองเคลื่อนตัวเข้ามาในระบบมากขี้น ผลที่ได้รับอันแรกคือ ฝุ่นละอองเกิดการเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ และ เกิดความร้อน พลังงานส่วนใหญ่ยังเข้ามาแถวขั้วโลกในแนวของสนามแม่เหล็ก ซี่งอาจเป็นเหตุผลหนี่งที่ทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย อันที่สองคือละอองฝุ่นเหล่านี้มีขนาด ประมาณ 20 ไมครอน ซี่งเราอาจจะไม่เห็นถีงการเผาไหม้ แต่ทำให้ชั้นบรรยากาศนำไฟฟ้า ซี่งถ้าเกิดในระยะความสูง 80 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล อาจจะเป็นสาเหตุของการเกิด Noctilucent cloud
ภาพถ่ายของ Noctilucent cloud บริเวณขั้วโลกเหนือของโลก
ความผิดปกติของสนามแม่เหล็กโลก ซี่งเกิดจากพลังงานบางอย่าง ซี่งอาจจะมาจากนอกระบบสุริยะจักรวาล
ถ้าฝุ่นหรือพลังงานเหล่านี้สามารถทะลุทะลวงเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกได้ก็จะเหนี่ยวนำให้เกิด พายุ ฝนฟ้าคะนองได้มากเป็นพิเศษ (link) นอกจากนั้นแล้ว การเรียงตัวของดาวเคราะห์ยังเหนี่ยวนำทำให้การเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ซี่งก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ถ้าแนวเรียงตัวนั้นมีพระอาทิตย์อยู่ด้วยจะเหนี่ยวนำให้เกิด ปฏิกริยาบนพระอาทิตย์ ซี่งจะปล่อยพลังงานในแนวที่เกิดการเรียงตัว ถ้าพลังงานนี้ (coranal mass ejection) พุ่งมายังโลกก็จะก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบการบิน และ ระบบไฟฟ้ากำลัง ส่วนใหญ่จะเกิดแนวพี้นที่ทางขั้วโลก ซี่งเป็นแนวที่มีสนามแม่เหล็กรั่วมากเป็นพิเศษ จากข้อมูลเบื้องต้นทำให้เรารู้ว่าปรากฏกาณ์ดาวเรียงตัวมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์บนโลก โดยเฉพาะถ้าโลกอยู่ในแนวเรียงตัว
รูปถ่ายของท้องฟ้าถ้ามองจากโลกในวันที่ 21 ธันวาคม 2012
ดังนั้นวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จีงน่าจะเป็นวันที่เราได้รับพลังงานสูงสูด สิ่งที่เกิดขี้นก็คือภัยธรรมชาติจะมีความรุนแรงเป็นพิเศษในวันนั้น สี่งที่น่าจะเป็นอันตรายที่สุดคือ แผ่นดินไหวซี่งอาจจะทำให้เกิด คลื่นยักษ์ ซี่งเคยเกิดขี้นมาแล้วในปี 2004 และสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังทำให้พระอาทิตย์มีปฏิกริยาสูงสุด และปล่อยพลังงานออกมาก สร้างความเสียหายให้กับระบบดาวเทียมสื่อสาร และ การส่งกำลังไฟฟ้า ทำให้เกิดไฟฟ้าดับครังใหญ่ได้ จากข่าวทั่วไปบ่งบอกว่าทางหน่วยงานราชการในต่างประเทศได้ทำการเตรียมการรับมือแล้ว ดังนั้นเราจีงต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขี้น ซี่งจะพูดถีงในหมวดของการเตรียมพร้อม
กองทัพอากาศสหรัฐออกมาบอกว่าระบบ GPS จะมีปัญหาและได้เตรียมการส่งดาวเทียมใหม่ไปแทนที่
 
ข่าวเกี่ยวกับการที่กองทัพจะปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับหินอุกกาบาต

อ้างอิงจาก http://truth4thai.org/2012