หลายคนอาจลืมกันไปแล้วว่า ไทยเรามีดาวเทียมไว้ใช้ในกิจการภายในประเทศเป็นของตัวเองด้วย ซึ่งมีชื่อว่า ดาวเทียมธีออส โดยธีออส (THEOS : Thailand Earth Observation Satellite) เป็นดาว เทียมสำรวจข้อมูลระยะไกล เพื่อใช้สำรวจทรัพยากรธรรมชาติ เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินงานโดย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ. หรือ GISTDA) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ บริษัท อีเอดีเอส แอสเตรียม (EADS Astrium) ประเทศฝรั่งเศส ด้วยงบประมาณ 6,000 ล้านบาท นับเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดาวเทียมธีออส มีน้ำหนัก 750 กิโลกรัม เป็นดาวเทียมวงโคจรต่ำ โคจรสูงจากพื้นโลกประมาณ 820 กิโลเมตร โคจรรอบโลกทุก 26 วัน มีกล้องถ่ายภาพ 2 กล้อง ใช้ระบบซีซีดี สามารถบันทึกภาพจากการสะท้อนแสงของพื้นโลก ได้ทั้งภาพแบบขาวดำ และภาพแบบหลายช่วงคลื่น โดยหลังใช้งานมาแล้วเกือบ 7 ปี ทาง ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนัก งานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สทอภ. จึงจัดโครงการ ?7 ปี 70,000 ภาพธีออสดาวเทียมไทยรับใช้สังคม? ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมการนำภาพจากการดาวเทียมธีออสไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ตั้งเป้าเพื่อเพิ่มการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายขึ้น เช่น ใช้ในงานทางด้านการศึกษา การวิจัย หรือบริการสังคม โดยเปิดโอกาสสำหรับคนทั่วไป องค์กรส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานเอกชน ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลจากดาวเทียมได้
ทั้งนี้ ผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลจากดาวเทียมธีออสได้ ต้องเป็นบุคคล หรือคณะบุคคลที่เป็นคนไทย หรือตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย หรือเป็นหน่วยงานของรัฐ องค์กรในท้องถิ่นหรือเอกชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย หรือเป็นกิจกรรมมุ่งเน้นเพื่อสาธารณ ประโยชน์ด้านต่างๆ จำกัดจำนวนภาพ 5 ภาพต่อกิจกรรมต่อผู้รับบริการหนึ่งราย ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเลือกข้อมูลจากดาวเทียมธีออสซึ่งอยู่ในคลังข้อมูลของ สทอภ. ระหว่างปี 2552-2554 ผู้ใช้สามารถเลือกรับข้อมูลในรูปแบบไฟล์ภาพเชิงเลข (Digital) หรือภาพพิมพ์ (Paper Print) สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2141-4564-9 หรืออีเมล์ userservice@gistda.or.th
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154189
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555
พลิกใจ ให้พอเพียงเพื่อสุขที่ยั่งยืน
โครงการ รักษ์ป่า สร้างคน ๘๔ ตำบล วิถีพอเพียงพลิกใจให้พอเพียง เพื่อสุขที่ยั่งยืน

โครงการรักษ์ ป่าสร้างคน ๘๔ ตำบล วิถีพอพียง เกิดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ในปีพ.ศ. ๒๕๕๐ และดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อถวายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในโอกาสทรงเจริญพระชนพรรษาครบ ๗ รอบ หรือ ๘๔ พรรษาโดยได้น้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับชุมชน ภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ โดยต่อยอดจากประสบการณ์ในการมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมากว่า ๓๐ ปีของ ปตท. ไปสู่การสร้างจิตสำนึกพัฒนาคน พัฒนาชุมชน ปัจจุบันมีตำบลทีร่วมเข้าร่วมโครงการฯ เป็น ๘๗ ตำบล ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
สำหรับปี พ.ศ.๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวาระแห่งการเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา กลุ่ม ปตท. และภาคเครือข่าย จึงได้จัดงานเทิดพระเกียรติเพื่อขยายผลหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และบูรณาการ องค์ความรู้การพึ่งพาตนเองไปยังคนไทยทุกภาคส่วน โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ผ่านรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริงของตำบลวิถีพอเพียง พร้อมกับนำเสนอกิจกรรมการมีส่วนร่วมของคนเมืองและสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจในหลักวิถีพอเพียงแก่คนทุกระดับ ทุกสถานะ นำสู่การพลิกใจ สามารถนำแนวคิดและองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดความสุขที่ยั่งยืนแท้จริงทั้งตนเองครอบครัวและสังคม ทังนี้ ปตท. รวมพลังชาวไทย เทิดไท้องค์ราชัน มหัศจรรย์ความพอเพียง เริ่มในช่วงบ่ายของวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ต่อเนื่องไปจนถึง วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ ณ เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว โดยกิจกรรมภายในงานประกอบไปด้วยการจัดนิทรรศการวิถีพอเพียงจากเครือข่าย ๘๗ ตำบล นอกจากนั้นยังมีเวทีเสาวนาที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ “ศาสตร์พระราชา มรดกแห่งแผ่นดิน” นำเสนอการถอดรหัสคัมภีร์ราชันย์โดย ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานโครงการปิดทองหลังพระ ผู้เดินตารอยพระบาทในการเข้าใจ เข้าถึง ก่อนพัฒนา ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติและสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ผู้บาครูด้วยการเป็นทัพหน้าในการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเผยแพร่ “จากซุปเปอร์มาร์เก็ตกลางป่า สู่เซ็นทรัลพลาซ่ากลางมหานคร” เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องของคนชนบท พบกับ พฤ โอ่โดเชา คนหนุ่มปาเกอญอที่บอกเล่าเรื่องราวของวิถีชีวิตท้องถิ่นที่เกื้อกูลระหว่างคนกับธรรมชาติ วริสร รักษ์พันธ์ กรรมการชุมพรคาบาน่า รีสอร์ต จ.ชุมพรผู้ใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกู้วิกฤตปลดหนี้มูลค่า ๓๐๐ ล้านบาทได้สำเร็จ “กางตำรา เคล็ดวิชาพลิกชุมชน” เรียนรู้กระบวนการพลิกชุมชนให้เข้าสู่แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พบกับ ประยงค์ รณรงค์ ปราชญ์ชาวบ้านรางวัล แม็กไซไซ สาขาผู้นำชุมชน นำพาชาวบ้านไม้เรียงฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่มากับระบบทุนนิยม ครูวุช กาวงษ์กลาง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคำน้อย จ.ขอนแก่น ผู้นำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในโรงเรียนบูรณาการร่วมกับการเรียนการสอน ทำให้ครูและศิษย์เข้าถึงความสุขอย่างยั่งยืน

“ความลับของหัวใจ” ภายใต้แนวคิดชีวิตเปลี่ยนได้ เปลี่ยนโลกภายในใจโลกทั้งใบก็เปลี่ยนแปลง พบกับการหักเหของชีวิต อย่าง สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้บริหารบริษัททีวีบูพา จากขุนรองปลัดชู ผู้คืนชีวิตให้แผ่นดิน น้องธันย์ เด็กหญิง ญิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์กับทัศนคติที่ผู้ใหญ่ต้องทึ่ง “เทิดไท้องค์ราชัย จากวิถีแห่งศรัทธา สู่การปฏิบัติบูชาถวายพ่อ” พบเรื่องราวการปฏิบัติบูชาน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตจนเกิดมรรคผลพร้อมนำไปขยายต่อแนวคิด จากสุคนธ์ทิพย์ สุขสีอดีตนักเรียนโรงเรียนไกลกังวล ที่มีโอกาสได้เรียนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเห็นการทรงงานหนักมาตลอดจึงตั้งปณิธานที่จะทำงานตามรอยเท้าพ่อ ปัจจุบันทำงานที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เรื่องราวดีๆจากประสบการณ์จริงของผู้ปฏิบัติและประสบผลสำเร็จที่นำมาแบ่งกันใจกลางมหานครแห่งนี้อาจจุดประกายแนวคิดพลิกใจให้พอเพียง เพื่อสุขที่ยั่งยืนกับคุณอีกคนหนึ่งก็ได้ อย่าพลาด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับปตท. รวมพลังชาวไทย เทิดไทยองค์ราชัน มหัศจรรย์ความพอเพียง สนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.84tambonsforking.com/ โทรศัพท์ ๐๒ ๕๓๗ ๓๓๕๒, ๐๒ ๕๓๗ ๓๓๕๖...โครงการรักษ์ป่าสร้างคน ๘๔ ตำบลวิถีพอเพียง มีหลักในการดำเนินการคือ 1. น้อมนำพระราชดำริ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวปฏิบัติ 2. ต้องเกิดมาจากความตื่นตัวเข้าร่วมของชุมชน 3. ใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน 4. ไม่เน้นเงินนำหน้า เน้นสร้างความรู้ให้เกิดในชุมชนและมีความยั่งยืน
5. สรุปเป็นองค์ความรู้ของชุมชนกลุ่ม ปตท.และเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การขยายผลต่อไป
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43625

โครงการรักษ์ ป่าสร้างคน ๘๔ ตำบล วิถีพอพียง เกิดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ในปีพ.ศ. ๒๕๕๐ และดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อถวายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในโอกาสทรงเจริญพระชนพรรษาครบ ๗ รอบ หรือ ๘๔ พรรษาโดยได้น้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับชุมชน ภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ โดยต่อยอดจากประสบการณ์ในการมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมากว่า ๓๐ ปีของ ปตท. ไปสู่การสร้างจิตสำนึกพัฒนาคน พัฒนาชุมชน ปัจจุบันมีตำบลทีร่วมเข้าร่วมโครงการฯ เป็น ๘๗ ตำบล ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
สำหรับปี พ.ศ.๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวาระแห่งการเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา กลุ่ม ปตท. และภาคเครือข่าย จึงได้จัดงานเทิดพระเกียรติเพื่อขยายผลหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และบูรณาการ องค์ความรู้การพึ่งพาตนเองไปยังคนไทยทุกภาคส่วน โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ผ่านรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริงของตำบลวิถีพอเพียง พร้อมกับนำเสนอกิจกรรมการมีส่วนร่วมของคนเมืองและสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจในหลักวิถีพอเพียงแก่คนทุกระดับ ทุกสถานะ นำสู่การพลิกใจ สามารถนำแนวคิดและองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดความสุขที่ยั่งยืนแท้จริงทั้งตนเองครอบครัวและสังคม ทังนี้ ปตท. รวมพลังชาวไทย เทิดไท้องค์ราชัน มหัศจรรย์ความพอเพียง เริ่มในช่วงบ่ายของวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ต่อเนื่องไปจนถึง วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ ณ เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว โดยกิจกรรมภายในงานประกอบไปด้วยการจัดนิทรรศการวิถีพอเพียงจากเครือข่าย ๘๗ ตำบล นอกจากนั้นยังมีเวทีเสาวนาที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ “ศาสตร์พระราชา มรดกแห่งแผ่นดิน” นำเสนอการถอดรหัสคัมภีร์ราชันย์โดย ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานโครงการปิดทองหลังพระ ผู้เดินตารอยพระบาทในการเข้าใจ เข้าถึง ก่อนพัฒนา ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติและสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ผู้บาครูด้วยการเป็นทัพหน้าในการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเผยแพร่ “จากซุปเปอร์มาร์เก็ตกลางป่า สู่เซ็นทรัลพลาซ่ากลางมหานคร” เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องของคนชนบท พบกับ พฤ โอ่โดเชา คนหนุ่มปาเกอญอที่บอกเล่าเรื่องราวของวิถีชีวิตท้องถิ่นที่เกื้อกูลระหว่างคนกับธรรมชาติ วริสร รักษ์พันธ์ กรรมการชุมพรคาบาน่า รีสอร์ต จ.ชุมพรผู้ใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกู้วิกฤตปลดหนี้มูลค่า ๓๐๐ ล้านบาทได้สำเร็จ “กางตำรา เคล็ดวิชาพลิกชุมชน” เรียนรู้กระบวนการพลิกชุมชนให้เข้าสู่แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พบกับ ประยงค์ รณรงค์ ปราชญ์ชาวบ้านรางวัล แม็กไซไซ สาขาผู้นำชุมชน นำพาชาวบ้านไม้เรียงฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่มากับระบบทุนนิยม ครูวุช กาวงษ์กลาง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคำน้อย จ.ขอนแก่น ผู้นำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในโรงเรียนบูรณาการร่วมกับการเรียนการสอน ทำให้ครูและศิษย์เข้าถึงความสุขอย่างยั่งยืน

“ความลับของหัวใจ” ภายใต้แนวคิดชีวิตเปลี่ยนได้ เปลี่ยนโลกภายในใจโลกทั้งใบก็เปลี่ยนแปลง พบกับการหักเหของชีวิต อย่าง สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้บริหารบริษัททีวีบูพา จากขุนรองปลัดชู ผู้คืนชีวิตให้แผ่นดิน น้องธันย์ เด็กหญิง ญิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์กับทัศนคติที่ผู้ใหญ่ต้องทึ่ง “เทิดไท้องค์ราชัย จากวิถีแห่งศรัทธา สู่การปฏิบัติบูชาถวายพ่อ” พบเรื่องราวการปฏิบัติบูชาน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตจนเกิดมรรคผลพร้อมนำไปขยายต่อแนวคิด จากสุคนธ์ทิพย์ สุขสีอดีตนักเรียนโรงเรียนไกลกังวล ที่มีโอกาสได้เรียนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเห็นการทรงงานหนักมาตลอดจึงตั้งปณิธานที่จะทำงานตามรอยเท้าพ่อ ปัจจุบันทำงานที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เรื่องราวดีๆจากประสบการณ์จริงของผู้ปฏิบัติและประสบผลสำเร็จที่นำมาแบ่งกันใจกลางมหานครแห่งนี้อาจจุดประกายแนวคิดพลิกใจให้พอเพียง เพื่อสุขที่ยั่งยืนกับคุณอีกคนหนึ่งก็ได้ อย่าพลาด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับปตท. รวมพลังชาวไทย เทิดไทยองค์ราชัน มหัศจรรย์ความพอเพียง สนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.84tambonsforking.com/ โทรศัพท์ ๐๒ ๕๓๗ ๓๓๕๒, ๐๒ ๕๓๗ ๓๓๕๖...โครงการรักษ์ป่าสร้างคน ๘๔ ตำบลวิถีพอเพียง มีหลักในการดำเนินการคือ 1. น้อมนำพระราชดำริ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวปฏิบัติ 2. ต้องเกิดมาจากความตื่นตัวเข้าร่วมของชุมชน 3. ใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน 4. ไม่เน้นเงินนำหน้า เน้นสร้างความรู้ให้เกิดในชุมชนและมีความยั่งยืน
5. สรุปเป็นองค์ความรู้ของชุมชนกลุ่ม ปตท.และเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การขยายผลต่อไป
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43625
ฮ้าว นอนเต็มอิ่ม แต่ทำไมยังง่วงล่ะ ?
ในยุคที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังสมองทำงานอย่างหนักในระหว่างวัน จนเหนื่อยล้าอ่อนแรงไปตามๆ กันพอตกกลางคืนก็อยากจะรีบเข้านอนเพื่อจะได้พักผ่อนออมแรงไว้เผื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใส แต่ที่ไหนได้ ขณะที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ แต่เอ๊ะ! ทำไมจึงหาวออกมาเสียงฟอดใหญ่ แล้วรู่สึกเพลียมาก เห้นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นหมอนใบนุ่มน่าหนุนไปเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็รีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะอยากมีสุขภาพดีเหมือนคนอื่นๆ ดูบ้าง ตื่นเช้ามาก็ไม่ค่อยจะสดชื่น แถมรู้สึกง่วงมากกว่าเดิมเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าอย่างนั้น เรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะ

อย่าลืมนะคะว่าจิตใจที่แจ่สมใสอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในขณะที่เรานอนหลับนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะพักตามไปด้วย การหายใจจะช้าลงอย่างสม่ำเสมอ มีการหลั่งฮอร์โมนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ในทางกลับกันหากนอนไม่พอ ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดอาการเวียน ศรีษะ คิดไม่ออก เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า การนอนที่เพียงพอทำให้คุณรับประทานอาหารลดลง ลดความอยากรับประทานลงอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพก็อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน และก็ทำให้อยากอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ เช่น

มีเรื่องไม่สบายใจ เครียดกังวลจนทำให้สมองรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
เกิดลมในช่องท้องมากเกินไป ทำให้การไหลเวียนเลือดต่ำ และรวมถึงมีอาการท้องผูก ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep apnea) เป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับมีอันตราย และทำให้เกิดความผิดปกดติอื่นจน ถึงเสียชีวิตได้ พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้บ่อยครั้งในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคความดันเลือดสูงจะทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบ่อย ในระหว่างนอนหลับ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เพื่อหายใจ ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้นอน
ภายในห้องอาจจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น เสียงหยดน้ำ เสียงเครื่องปั๊มน้ำ เสียงแอร์ที่ดังเกินไป เสียงพัดลม เสียงเข็มนาฬิกาเดิน เป็นต้น เสียงเหล่านี้อาจจะแทนกเข้าไปในความรู้สึกและคลื่นสมองของเราระหว่างนอนได้ ทำให้รบกวนการนอน และนอนไม่เต็มอิ่ม
มานอนหลับพักกายใจอย่างมีคุณภาพกันเถอะ
บุหรี่ สุรา ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีนต่างๆ งดและลืมไปได้เลย อย่างน้อยๆ ก็ 6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นสมองและทำให้ปัสสาวะบ่อย จนรบกวนการนอนได้ แถมไม่ดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก
เข้านอน และตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวันจนเคยชิน แรกๆ ก็อาจจะไม่คุ้นเคย แต่รับรองว่าเมื่อบ่อยครั้งเข้าจะชินไปเอง
จัดระเบียบการใช้ชีวิตให้ดีๆ สะสางปัญหาการงานที่คั่งค้าง และวิธีการแก้ไข เพื่อความสบายใจ และนอนหลับง่าย
ออกกำลังกายก่อนหน้าที่จะเข้านอนอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้น
จัดห้องนอนให้สะอาด น่านอนไม่มีแสงรบกวน หมั่นทำความสะอาดเครื่องนอนอยู่เสมอ เอาไปตากแดดจัดๆ ป้องกันไรฝุ่น หาหมองที่พอดีกับต้นคอ เพื่อช่วยให้นอนหลังสนิท ไม่ปวดต้นคอและหลังจะช่วยให้ผ่อนคลายมากขึ้น
สวดมนต์ หรือนั่งพักผ่อนสบายๆ สักพักก่อนนอน เพื่อให้สมองคลายกังวลจากเรื่องเครียดๆ อาจจะฟังเพลงเพราะๆ สูดอากาศที่บริสุทธ์ หรือดมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ
ดื่มน้ำอุ่น หรือนมอุ่นก่อนนอนจะช่วยในการนอนหลับ เพราะกรดอะมิโนทริปโตฟานทำให้ง่วงนอนได้ หลีกเลี่ยงการดูดหรือฟังเรื่องตื่นเต้น น่ากลัว เรพาะจะกระตุ้นให้เราไม่หลับ
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43631

อย่าลืมนะคะว่าจิตใจที่แจ่สมใสอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในขณะที่เรานอนหลับนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะพักตามไปด้วย การหายใจจะช้าลงอย่างสม่ำเสมอ มีการหลั่งฮอร์โมนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ในทางกลับกันหากนอนไม่พอ ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดอาการเวียน ศรีษะ คิดไม่ออก เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า การนอนที่เพียงพอทำให้คุณรับประทานอาหารลดลง ลดความอยากรับประทานลงอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพก็อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน และก็ทำให้อยากอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ เช่น

.gif)
.gif)
.gif)
.gif)
มานอนหลับพักกายใจอย่างมีคุณภาพกันเถอะ
.gif)
.gif)
.gif)
.gif)
.gif)
.gif)
.gif)
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43631
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555
รู้จัก ‘อีโคไล’ ระบาดที่เยอรมัน
กรณีที่มีการระบาดของโรคอุจจาระร่วงจากเชื้ออีโคไลและมีผู้ป่วยเสียชีวิตในประเทศเยอรมนีนั้น มีการสันนิษฐานว่า ผู้ป่วยอาจได้รับเชื้ออีโคไลจากการรับประทานผักบางชนิด ข่างดังกล่าวคงทำให้คนทั่วโลกเกิดความตื่นตระหนกและอยากรู้จักเชื้ออีโคไลกันมากขึ้น ซึ่ง สาระน่ารู้เรื่องดังกล่าวมีดังนี้
.jpg)
เริ่มจาก รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กีรติสิน ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า อีโคไล ( E.coli ) หรือ เอสเชอริเชียโคไล ( Escherichia coli ) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยปกติคนเรามีเชื้ออีโคไล อาศัยอยู่ในลำไส้ อยู่แล้วทุกคนร่วมกับแบคทีเรียอื่นๆ อีกหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ จะไม่ใช้อีโคไลที่ก่อโรค บางทีก็มีประโยชน์เหมือนกัน เช่น ช่วยย่อยอาหาร ส่วนอีโคไลที่ก่อโรคจะพบได้ทั่วไปตามสิ่งแวดล้อมและในสัตว์ แม้ว่าชื่อเดียวกันแต่คนละสายพันธุ์กัน คือเป็นอีโคไลสายพันธุ์ก่อโรคในคนได้ ซึ่งเชื้อดังกล่าวสามารถก่อโรคได้หลายโรค รวมถึงโรคอุจจาระร่วงมีมากมายแต่ที่จัดกลุ่มกันไว้จะเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ที่มีลักษณะการดำเนินโรคและความรุนแรงที่แตกต่างกัน คือ

1. เอ็นเทอโรท็อกซิเจนิคอีโคไล หรือ อีเทค (Enterotoxigenic E.coli:ETEC) ส่วนใหญ่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วงที่ถ่ายเหลวแบบเป็นน้ำอาการมันไม่รุนแรงและส่วนใหญ่หายได้เองพบก่อโรคได้บ่อยโดยเฉพาะพื้นที่เขตร้อนอย่างในบ้านเราโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
2. เอ็นเทอโรพาโธเจนิคอีโคไล หรือ อีเปค (Enteropathogenic E.coli : EPEC) มักก่อโรคในเด็กเล็ก และพบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา ผู้ป่วยมักมีถ่ายเหลวเป็นมูก ถ่ายไม่มาก แต่มีอาการเรื้อรังได้นานเป็นเดือนๆ ในเด็กที่เป็นนานๆบางครั้งอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารแทรกซ้อนได้
3. เอ็นเทอโรอินเวสีฟอีโคไล หรือ อีอิค (Enteroinvasive E.coli:EIEC) เชื้อกลุ่มนี้จะก่อโรคได้รุนแรงขึ้น โดยเชื้อบุกรุกผนังลำไส้ทำให้เกิดแผลผู้ป่วยมัดปวดเกร็งท้องมาก และอาจถ่ายเป็นมูกปนเลือดออกมาได้ แต่พบก่อโรคได้ไม่บ่อย
4. เอ็นเทอโรแอ็กกรีเกทีฟอีโคไล หรือ อีเอค (Enteroaggregative E.coli:EAEC) เชื้อกลุ่มนี้ก่อให้เกิดอาการที่หลากหลาย อาจถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกและอาจก่อให้เกิดท้องร่วงเรื้อรังได้ แต่ยังไม่ทราบกลไกก่อโรคที่แน่ชัดนัก
5. เอ็นเทอรโรเฮโมราจิคอีโคไล หรือ อีเฮค (Enterohemorrhagic E.coli : EHEC) เป็นเชื้อที่ก่อโรคได้รุนแรงมากที่สุด อาการผู้ป่วยมีความหลากหลายตั้งแต่ท้องร่วงถ่ายเหลวเป็นน้ำธรรมดา บางรายอาจถ่ายเป็นมูก แต่อาจมีผู้ป่วยบางส่วนที่อาการรุนแรงมากได้ เนื่องจากเชื้อสามารถบุกรุกผนังลำไส้ทำให้เกิดแผลรวมถึงเชื้อยังสามารถสร้างสารพิษ “ชิกา” (Shiga toxin) สารพิษนี้สามารถกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ แม้ว่าตัวเชื้ออีโคไลจะไม่ได้เข้าไปในเลือดด้วย โดยเชื้อจะอยู่ในลำไส้และสร้างสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสารพิษจะไปออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 ระบบใหญ่ๆ คือ ในระบบเลือดโดยจะไปทำลายเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเป็นผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะซีดเฉียบพลันรวมถึงทำลายเกล็ดเลือด ทำให้เลือดลดต่ำลงอย่างมาก เป็นผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกง่าย ผู้ป่วยจึงอาจเกิดจ้ำตามเลือดผิวหนังและมีเลือดออกที่อวัยวะต่างๆ ภายในได้ อีกระบบหนึ่งคือสารพิษจะไปออกฤทธิ์ทำลายไต หน้าที่การงานของไตเสียไป จึงทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน ภาวะทั้งสามนี้ (ซีดจากเม็ดเลือดแดงแตก เลือดออกจากเกล็ดเลือดต่ำ และไตวาย) เรียกรวมกันว่ากลุ่มอาการ “ฮีโมไลติค ยูเรมิค ซินโดรม” หรือ “เอชยูเอส” (Hemolytic uremic syndrome :HUS) ซึ่งถือเป็นภาวะที่รุนแรงมาก ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับเชื้ออีโคไลที่ระบาดอยู่ในประเทศเยอรมนีจนทำให้มีผู้ป่วยมากกว่าพันคน (และยังอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง) และมีผู้เสียชีวิตหลายรายก็คือเชื้ออีโคไล ในกลุ่มอีเฮค (EHEC) นี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อโรคได้รุนแรงมากที่สุดดังกล่าวข้างต้น มีการแบ่งกลุ่มย่อยของเชื้อในกลุ่มอีเฮค ลงอีกตามชนิดของแอนติเจนโอ (O-antigen) ซึ่งเป็นโมเลกุลอยู่ที่ผนังเซลล์ของเชื้อ และเรียกชื่อเป็นหมายเลขตามชนิดของแอนติเจนโอ ซึ่งเชื้อในกลุ่มอีเฮคที่พบก่อโรคและเป็นสาเหตุการระบาดได้บ่อยที่สุด คือ โอ-157 ส่วนใหญ่พบก่อโรคในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น เคยมีรายงานการระบาดในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริการวมถึงเคยมีการสันนิษฐานว่าอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เชื้อดังกล่าวเป็นอาวุธชีวภาพได้
สำหรับเชื้ออีโคไลกลุ่ม “อีเฮค” ที่ระบาดในประเทศเยอรมนีขณะนี้พบว่าไม่ใช่ โอ-157 มีรายงานเชื้อต้นว่าอาจจะเป็น โอ-104 แต่ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนโรค ยังมีอีกหลายสายพันธุ์ เช่น โอ-111 ก็อาจเป็นสาเหตุก่อโรค ดังกล่าวได้เช่นกัน คงต้องรอผลการพิสูจน์ เชื้อเพิ่มเติมต่อไป

โอกาสที่เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่ระบาดในประเทศเยอรมนีจะก่อโรคในคนไทยมีน้อยมากเพียงใด? รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กล่าวว่าเชื้อในกลุ่มนี้ยังไม่มีรายงานการก่อโรค หรือระบาดในประเทศไทยเชื้อพวกนี้ติดต่อทางการกิน เชื้อสามารถปนเปื้อนมากับน้ำและอาหารได้หลากหลายประเภท เคยมีรายงานการระบาดที่พบเชื้อในอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ด เช่น ในแฮมเบอร์เกอร์เชื้ออาจปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ถ้าปรุงไม่สุกก็อาจก่อโรคได้ รวมทั้งในผักและผลไม้ต่างๆ ก็สามารถพบเชื้อได้ การป้องกันการได้รับเชื้อที่สำคัญที่สุดคือหลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบ ดังนั้นต้องกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนที่เหมาะสมส่วนผักและผลไม้ จะค่อนข้างป้องกันยากเพราะนิยมกินสด ที่ระบาดในประเทศเยอรมนีคราวนี้อยู่ในระหว่างสันนิษฐานว่ามาจากผัก จึงต้องอาศัยการล้างให้สะอาดเป็นหลัก เพราะเชื้อจะอยู่ตามสิ่งแวดล้อมตามน้ำ ตามดิน ได้ทั่วไป
“ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันการติดเชื้อกลุ่มนี้ได้ แต่ไม่อยากให้ประชาชนกังวลหรือตกใจ ควรป้องกันโรคด้วยการรักษาสุขอนามัย ตามปกติ คือการกินอาหารที่ปรุงสุกในขณะที่ยังร้อน ดื่มน้ำที่สะอาดได้มาตรฐาน และล้างผักผลไม้ให้สะอาด ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่ควรทำในชีวิตประจำวันเท่านี้ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้งอีโคไล และเชื้ออื่นๆ อีกหลายตัวที่เป็นสาเหตุก่อโรคอุจจาระร่วงได้” รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กล่าว
ด้าน นพ. ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณะสุข พร้อมด้วย น.ส.กรองแก้ว ศุภวัตน์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญด้านบัคเตรีลำไส้ และ น.ส.ศรีวรรณา หัทยานนท์ นักวิทยาศาสตร์ การแพทย์ชำนาญการ ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้
โดย นพ.ปฐม อธิบายว่า อีโคไล (E.coli) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีทั้งก่อโรคและไม่ก่อโรค โดยอีโคไลทำให้เกิดโรคในคนได้ ดังนี้ 1. โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบกรวยไตอักเสบ นิ่วในไตโดยการเกิดโรคมักมีสาเหตุมาจากเชื้ออีโคไลที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของผู้ป่วยเอง
2. โรคติดเชื้อ อื่นๆ เช่น โลหิตติดเชื้อ ไส้ติ่งอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในตับ
3. โรคอุจจาระร่วง เชื้ออีโคไลเป็นแบคทีเรียประจำถิ่น พบมากในลำไส้คนสัตว์เลือดอุ่น มีเชื้ออีโคไลบางสายพันธุ์ทำให้เกิดอุจจาระร่วงได้ทั้งในคนและสัตว์โดยเชื้ออาจปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม น้ำนม โดยเชื้ออีโคไลที่ก่อโรคอุจจาระร่วงแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ตามกลไลการก่อโคร คือ เอ็นเทอโรท็อกซิเจนิคอีโคไล, เอ็นเทอโรพาโธเจนิคอีโคไล, เอ็นเทอโรอินเวสีฟอีโคไล, เอ็นเทอโรแอ็กกรีเกทีฟอีโคไล, เอ็นเทอรโรเฮโมราจิคอีโคไล

สำหรับเชื้ออีโคไลที่ระบาดใรประเทศเยอรมนีนั้นเป็นแบคทีเรียก่อโรคอุจจาระร่วงในกลุ่ม เอ็นเทอโรเฮโมราจิคอีโคไล หรือ “ชิกา ท็อคซิน โปรดิวซิ่งอีโคไล” คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ โอ-104 ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2538 โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ส่งเชื้ออีโคไลมาให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์โดยฝ่ายแบคทีเรียลำไส้ตรวจยืนยันสายพันธุ์กว่า 1,000 เชื้อต่อปี จนถึงปัจจุบัน ตรวจไปแล้วกว่า 10,000 เชื้อ ปรากฏว่ายังไม่พบ โอ-104 ในประเทศไทยแต่อย่างใด
แม้ประเทศไทยจะยังไม่พบ โอ-104 แต่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เฝ้าระวังเชื้ออีโคไลอยู่แล้ว กรณีสันนิษฐานว่าเชื้อน่าจะปนเปื้อนในผักนั้นคงต้องบอกว่าผักจากยุโรปไม่ค่อยมีการนำเข้ามาประเทศไทยเนื่องจากราคาแพง ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน คือโอกาสที่เชื้อจะเข้ามาประเทศไทยน้อยมากดังนั้นไม่ควรตื่นตระหนก สำหรับข้อแนะนำประชาชนทั่วไปคือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43620
.jpg)
เริ่มจาก รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กีรติสิน ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า อีโคไล ( E.coli ) หรือ เอสเชอริเชียโคไล ( Escherichia coli ) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยปกติคนเรามีเชื้ออีโคไล อาศัยอยู่ในลำไส้ อยู่แล้วทุกคนร่วมกับแบคทีเรียอื่นๆ อีกหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ จะไม่ใช้อีโคไลที่ก่อโรค บางทีก็มีประโยชน์เหมือนกัน เช่น ช่วยย่อยอาหาร ส่วนอีโคไลที่ก่อโรคจะพบได้ทั่วไปตามสิ่งแวดล้อมและในสัตว์ แม้ว่าชื่อเดียวกันแต่คนละสายพันธุ์กัน คือเป็นอีโคไลสายพันธุ์ก่อโรคในคนได้ ซึ่งเชื้อดังกล่าวสามารถก่อโรคได้หลายโรค รวมถึงโรคอุจจาระร่วงมีมากมายแต่ที่จัดกลุ่มกันไว้จะเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ที่มีลักษณะการดำเนินโรคและความรุนแรงที่แตกต่างกัน คือ

1. เอ็นเทอโรท็อกซิเจนิคอีโคไล หรือ อีเทค (Enterotoxigenic E.coli:ETEC) ส่วนใหญ่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วงที่ถ่ายเหลวแบบเป็นน้ำอาการมันไม่รุนแรงและส่วนใหญ่หายได้เองพบก่อโรคได้บ่อยโดยเฉพาะพื้นที่เขตร้อนอย่างในบ้านเราโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
2. เอ็นเทอโรพาโธเจนิคอีโคไล หรือ อีเปค (Enteropathogenic E.coli : EPEC) มักก่อโรคในเด็กเล็ก และพบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา ผู้ป่วยมักมีถ่ายเหลวเป็นมูก ถ่ายไม่มาก แต่มีอาการเรื้อรังได้นานเป็นเดือนๆ ในเด็กที่เป็นนานๆบางครั้งอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารแทรกซ้อนได้
3. เอ็นเทอโรอินเวสีฟอีโคไล หรือ อีอิค (Enteroinvasive E.coli:EIEC) เชื้อกลุ่มนี้จะก่อโรคได้รุนแรงขึ้น โดยเชื้อบุกรุกผนังลำไส้ทำให้เกิดแผลผู้ป่วยมัดปวดเกร็งท้องมาก และอาจถ่ายเป็นมูกปนเลือดออกมาได้ แต่พบก่อโรคได้ไม่บ่อย
4. เอ็นเทอโรแอ็กกรีเกทีฟอีโคไล หรือ อีเอค (Enteroaggregative E.coli:EAEC) เชื้อกลุ่มนี้ก่อให้เกิดอาการที่หลากหลาย อาจถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกและอาจก่อให้เกิดท้องร่วงเรื้อรังได้ แต่ยังไม่ทราบกลไกก่อโรคที่แน่ชัดนัก
5. เอ็นเทอรโรเฮโมราจิคอีโคไล หรือ อีเฮค (Enterohemorrhagic E.coli : EHEC) เป็นเชื้อที่ก่อโรคได้รุนแรงมากที่สุด อาการผู้ป่วยมีความหลากหลายตั้งแต่ท้องร่วงถ่ายเหลวเป็นน้ำธรรมดา บางรายอาจถ่ายเป็นมูก แต่อาจมีผู้ป่วยบางส่วนที่อาการรุนแรงมากได้ เนื่องจากเชื้อสามารถบุกรุกผนังลำไส้ทำให้เกิดแผลรวมถึงเชื้อยังสามารถสร้างสารพิษ “ชิกา” (Shiga toxin) สารพิษนี้สามารถกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ แม้ว่าตัวเชื้ออีโคไลจะไม่ได้เข้าไปในเลือดด้วย โดยเชื้อจะอยู่ในลำไส้และสร้างสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสารพิษจะไปออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 ระบบใหญ่ๆ คือ ในระบบเลือดโดยจะไปทำลายเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเป็นผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะซีดเฉียบพลันรวมถึงทำลายเกล็ดเลือด ทำให้เลือดลดต่ำลงอย่างมาก เป็นผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกง่าย ผู้ป่วยจึงอาจเกิดจ้ำตามเลือดผิวหนังและมีเลือดออกที่อวัยวะต่างๆ ภายในได้ อีกระบบหนึ่งคือสารพิษจะไปออกฤทธิ์ทำลายไต หน้าที่การงานของไตเสียไป จึงทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน ภาวะทั้งสามนี้ (ซีดจากเม็ดเลือดแดงแตก เลือดออกจากเกล็ดเลือดต่ำ และไตวาย) เรียกรวมกันว่ากลุ่มอาการ “ฮีโมไลติค ยูเรมิค ซินโดรม” หรือ “เอชยูเอส” (Hemolytic uremic syndrome :HUS) ซึ่งถือเป็นภาวะที่รุนแรงมาก ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับเชื้ออีโคไลที่ระบาดอยู่ในประเทศเยอรมนีจนทำให้มีผู้ป่วยมากกว่าพันคน (และยังอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง) และมีผู้เสียชีวิตหลายรายก็คือเชื้ออีโคไล ในกลุ่มอีเฮค (EHEC) นี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อโรคได้รุนแรงมากที่สุดดังกล่าวข้างต้น มีการแบ่งกลุ่มย่อยของเชื้อในกลุ่มอีเฮค ลงอีกตามชนิดของแอนติเจนโอ (O-antigen) ซึ่งเป็นโมเลกุลอยู่ที่ผนังเซลล์ของเชื้อ และเรียกชื่อเป็นหมายเลขตามชนิดของแอนติเจนโอ ซึ่งเชื้อในกลุ่มอีเฮคที่พบก่อโรคและเป็นสาเหตุการระบาดได้บ่อยที่สุด คือ โอ-157 ส่วนใหญ่พบก่อโรคในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น เคยมีรายงานการระบาดในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริการวมถึงเคยมีการสันนิษฐานว่าอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เชื้อดังกล่าวเป็นอาวุธชีวภาพได้
สำหรับเชื้ออีโคไลกลุ่ม “อีเฮค” ที่ระบาดในประเทศเยอรมนีขณะนี้พบว่าไม่ใช่ โอ-157 มีรายงานเชื้อต้นว่าอาจจะเป็น โอ-104 แต่ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนโรค ยังมีอีกหลายสายพันธุ์ เช่น โอ-111 ก็อาจเป็นสาเหตุก่อโรค ดังกล่าวได้เช่นกัน คงต้องรอผลการพิสูจน์ เชื้อเพิ่มเติมต่อไป

โอกาสที่เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่ระบาดในประเทศเยอรมนีจะก่อโรคในคนไทยมีน้อยมากเพียงใด? รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กล่าวว่าเชื้อในกลุ่มนี้ยังไม่มีรายงานการก่อโรค หรือระบาดในประเทศไทยเชื้อพวกนี้ติดต่อทางการกิน เชื้อสามารถปนเปื้อนมากับน้ำและอาหารได้หลากหลายประเภท เคยมีรายงานการระบาดที่พบเชื้อในอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ด เช่น ในแฮมเบอร์เกอร์เชื้ออาจปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ถ้าปรุงไม่สุกก็อาจก่อโรคได้ รวมทั้งในผักและผลไม้ต่างๆ ก็สามารถพบเชื้อได้ การป้องกันการได้รับเชื้อที่สำคัญที่สุดคือหลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบ ดังนั้นต้องกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนที่เหมาะสมส่วนผักและผลไม้ จะค่อนข้างป้องกันยากเพราะนิยมกินสด ที่ระบาดในประเทศเยอรมนีคราวนี้อยู่ในระหว่างสันนิษฐานว่ามาจากผัก จึงต้องอาศัยการล้างให้สะอาดเป็นหลัก เพราะเชื้อจะอยู่ตามสิ่งแวดล้อมตามน้ำ ตามดิน ได้ทั่วไป
“ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันการติดเชื้อกลุ่มนี้ได้ แต่ไม่อยากให้ประชาชนกังวลหรือตกใจ ควรป้องกันโรคด้วยการรักษาสุขอนามัย ตามปกติ คือการกินอาหารที่ปรุงสุกในขณะที่ยังร้อน ดื่มน้ำที่สะอาดได้มาตรฐาน และล้างผักผลไม้ให้สะอาด ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่ควรทำในชีวิตประจำวันเท่านี้ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้งอีโคไล และเชื้ออื่นๆ อีกหลายตัวที่เป็นสาเหตุก่อโรคอุจจาระร่วงได้” รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กล่าว
ด้าน นพ. ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณะสุข พร้อมด้วย น.ส.กรองแก้ว ศุภวัตน์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญด้านบัคเตรีลำไส้ และ น.ส.ศรีวรรณา หัทยานนท์ นักวิทยาศาสตร์ การแพทย์ชำนาญการ ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้
โดย นพ.ปฐม อธิบายว่า อีโคไล (E.coli) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีทั้งก่อโรคและไม่ก่อโรค โดยอีโคไลทำให้เกิดโรคในคนได้ ดังนี้ 1. โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบกรวยไตอักเสบ นิ่วในไตโดยการเกิดโรคมักมีสาเหตุมาจากเชื้ออีโคไลที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของผู้ป่วยเอง
2. โรคติดเชื้อ อื่นๆ เช่น โลหิตติดเชื้อ ไส้ติ่งอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในตับ
3. โรคอุจจาระร่วง เชื้ออีโคไลเป็นแบคทีเรียประจำถิ่น พบมากในลำไส้คนสัตว์เลือดอุ่น มีเชื้ออีโคไลบางสายพันธุ์ทำให้เกิดอุจจาระร่วงได้ทั้งในคนและสัตว์โดยเชื้ออาจปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม น้ำนม โดยเชื้ออีโคไลที่ก่อโรคอุจจาระร่วงแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ตามกลไลการก่อโคร คือ เอ็นเทอโรท็อกซิเจนิคอีโคไล, เอ็นเทอโรพาโธเจนิคอีโคไล, เอ็นเทอโรอินเวสีฟอีโคไล, เอ็นเทอโรแอ็กกรีเกทีฟอีโคไล, เอ็นเทอรโรเฮโมราจิคอีโคไล

สำหรับเชื้ออีโคไลที่ระบาดใรประเทศเยอรมนีนั้นเป็นแบคทีเรียก่อโรคอุจจาระร่วงในกลุ่ม เอ็นเทอโรเฮโมราจิคอีโคไล หรือ “ชิกา ท็อคซิน โปรดิวซิ่งอีโคไล” คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ โอ-104 ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2538 โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ส่งเชื้ออีโคไลมาให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์โดยฝ่ายแบคทีเรียลำไส้ตรวจยืนยันสายพันธุ์กว่า 1,000 เชื้อต่อปี จนถึงปัจจุบัน ตรวจไปแล้วกว่า 10,000 เชื้อ ปรากฏว่ายังไม่พบ โอ-104 ในประเทศไทยแต่อย่างใด
แม้ประเทศไทยจะยังไม่พบ โอ-104 แต่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เฝ้าระวังเชื้ออีโคไลอยู่แล้ว กรณีสันนิษฐานว่าเชื้อน่าจะปนเปื้อนในผักนั้นคงต้องบอกว่าผักจากยุโรปไม่ค่อยมีการนำเข้ามาประเทศไทยเนื่องจากราคาแพง ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน คือโอกาสที่เชื้อจะเข้ามาประเทศไทยน้อยมากดังนั้นไม่ควรตื่นตระหนก สำหรับข้อแนะนำประชาชนทั่วไปคือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43620
คุณมีรอยเท้าทางนิเวศน์ มากน้อยแค่ไหน ?
รอยเท้า เป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นถึงว่าเราเดินไปทางไหนทิศใด ส่วยรอยเท้าทางนิเวศน์ ก็เช่นกัน เป็นการแสดงถึงวิธีการวัดผลกระทบซึ่งมนุษย์ โรงเรียน เมือง หรือประเทศที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเราต้องอุปโภคสิ่งต่างๆ จากธรรมชาติ เช่น น้ำ อาหาร อากาศ ป่าไม้ แร่ธาตุ แสงอาทิตย์ รวมทั้งกรับวนการจัดการกับของเสีย ทุกกระบวนการเพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างจุลินทรีย์ พืช รวมทั้งสัตว์อื่นๆในแต่ละวันที่เราได้ใช้ทรัพยากรนี้จนเกิดเป็นของเสียต่างๆ ขึ้น รอยเท้าทางนิเวศน์เฉลี่ยทั่วโลกต่อหนึ่งคนคือ 2.3 เฮกตาร์ หากเราแบ่ง 12% ของพื้นผิวโลก สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พวกเราแต่ละคนจะมีไม่ถึงคนละ 2 เฮกตาร์ ซึ่งหมายความว่ามนุษย์เราใช้ ทรัพยากรมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นอย่างน้อย 20%

เรามีรอยเท้าทางนิเวศน์มากเกินไปหรือไม่?
ขนาดของรอยเท้าทางนิเวศน์ของบุคคลขึ้นอยู่กับปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นมีชีวิตประจำวันแบบใด ตากปกติแล้วผู้มีฐานะมักจะใช้พลังงานมากกว่า เพราะมีทรัพย์สินต่างๆ มากกว่า เช่นบ้าน รถยนต์ อาหาร และมักจะใช้อย่างไม่รู้คุณค่า ทำให้เกิดมลภาวะสู่สิ่งแวดล้อมได้ บ่อยครั้งกว่า ความจริงแล้วนั้นคนทุกคนแม้กระทั่งคนยากจนซึ่งมีความจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ก็เป็นผู้สร้างรอยเท้าทางนิเวศน์ขึ้นเช่นกัน การดำรงชีวิตของคนเหล่านี้มีส่วนในการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ผลกระทบจะมีเพียงเล็กน้อย แต่จำนวนคนที่มากมายทำให้รอยเท้าทางนิเวศน์รวมกันเป็นขนาดใหญ่ได้
ข้อเท็จจริงเรื่องรอยเท้าทางนิเวศน์
คนจำนวนมากได้รับการบอกเล่าให้ใช้ถุงกระดาษพลาสติก แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าถุงพลาสติก 2 ถุงใช้พลังงานโดยรวมน้อยกว่าถุงกระดาษ 1 ใบถึง 13% และทำให้เกิดมลภาวะน้อยกว่าถึง 72% แต่สิ่งที่สำคัญคือเราจึงต้องนำถุงพลาสติกกลับมาใช้ใหม่หลายๆครั้ง เพื่อทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทน
รอยเท้าทางนิเวศน์ในเอเชีย – แปซิฟิค มีขนาดใหญ่กว่าความสามารถทางชีวภาพที่เป็นอยู่ 1.7 เท่า ซึ่งหมายความว่าภูมิภาคนี้ต้องมีพื้นที่มากขึ้นอีก 1.5 เท่า เพื่อรองรับการบริโภคทรัพยากร
นักเรียนหนึ่งคนเดินทาง 5 กิโลเมตรเพื่อไปโรงเรียนต้องใช้ที่ดินในแง่นิเวศน์วิทยาเพิ่ม 122 ตารางเมตรสำหรับการเดินทางด้วยจักรยานยนต์ 301 ตารางเมตร สำหรับรถประจำทางและ 1,422 ตารางเมตรสำหรับรถยนต์
การปลูกพืชในเรือนกระจกให้ผลผลิตในแง่เศรษฐกิจสูงกว่ามาก แต่ถ้าดูผลกระทบด้านนิเวศน์วิทยามันทำให้เกิดรอยเท้าทางนิเวศน์ที่ใหญ่กว่าการปลูกในไร่ 10 – 20 เท่า
.jpg)
รอยเท้าทางนิเวศน์ของอาหารมีความผันแปรมาก รอยเท้าทางนิเวศน์ของอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์มีขนาดใหญ่กว่ารอยเท้าทางนิเวศน์ของอาหารที่ทำจากพืชสามเท่า ยังมีความต้องการทรัพยากรอีกมากเพื่อใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อสัตว์และพืช
คงถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องหันมาย้อนดูรอยเท้าทางนิเวศน์ของตนเองอย่างจริงจังกันเสียที เพื่อให้ทุกก้าวเดินของเราเป็นการก้าวเดินเพื่อตนเองและเพื่อโลกที่สวยงาม
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43623

.gif)
ขนาดของรอยเท้าทางนิเวศน์ของบุคคลขึ้นอยู่กับปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นมีชีวิตประจำวันแบบใด ตากปกติแล้วผู้มีฐานะมักจะใช้พลังงานมากกว่า เพราะมีทรัพย์สินต่างๆ มากกว่า เช่นบ้าน รถยนต์ อาหาร และมักจะใช้อย่างไม่รู้คุณค่า ทำให้เกิดมลภาวะสู่สิ่งแวดล้อมได้ บ่อยครั้งกว่า ความจริงแล้วนั้นคนทุกคนแม้กระทั่งคนยากจนซึ่งมีความจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ก็เป็นผู้สร้างรอยเท้าทางนิเวศน์ขึ้นเช่นกัน การดำรงชีวิตของคนเหล่านี้มีส่วนในการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ผลกระทบจะมีเพียงเล็กน้อย แต่จำนวนคนที่มากมายทำให้รอยเท้าทางนิเวศน์รวมกันเป็นขนาดใหญ่ได้
.gif)
คนจำนวนมากได้รับการบอกเล่าให้ใช้ถุงกระดาษพลาสติก แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าถุงพลาสติก 2 ถุงใช้พลังงานโดยรวมน้อยกว่าถุงกระดาษ 1 ใบถึง 13% และทำให้เกิดมลภาวะน้อยกว่าถึง 72% แต่สิ่งที่สำคัญคือเราจึงต้องนำถุงพลาสติกกลับมาใช้ใหม่หลายๆครั้ง เพื่อทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทน
รอยเท้าทางนิเวศน์ในเอเชีย – แปซิฟิค มีขนาดใหญ่กว่าความสามารถทางชีวภาพที่เป็นอยู่ 1.7 เท่า ซึ่งหมายความว่าภูมิภาคนี้ต้องมีพื้นที่มากขึ้นอีก 1.5 เท่า เพื่อรองรับการบริโภคทรัพยากร
นักเรียนหนึ่งคนเดินทาง 5 กิโลเมตรเพื่อไปโรงเรียนต้องใช้ที่ดินในแง่นิเวศน์วิทยาเพิ่ม 122 ตารางเมตรสำหรับการเดินทางด้วยจักรยานยนต์ 301 ตารางเมตร สำหรับรถประจำทางและ 1,422 ตารางเมตรสำหรับรถยนต์
การปลูกพืชในเรือนกระจกให้ผลผลิตในแง่เศรษฐกิจสูงกว่ามาก แต่ถ้าดูผลกระทบด้านนิเวศน์วิทยามันทำให้เกิดรอยเท้าทางนิเวศน์ที่ใหญ่กว่าการปลูกในไร่ 10 – 20 เท่า
.jpg)
รอยเท้าทางนิเวศน์ของอาหารมีความผันแปรมาก รอยเท้าทางนิเวศน์ของอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์มีขนาดใหญ่กว่ารอยเท้าทางนิเวศน์ของอาหารที่ทำจากพืชสามเท่า ยังมีความต้องการทรัพยากรอีกมากเพื่อใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อสัตว์และพืช
คงถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องหันมาย้อนดูรอยเท้าทางนิเวศน์ของตนเองอย่างจริงจังกันเสียที เพื่อให้ทุกก้าวเดินของเราเป็นการก้าวเดินเพื่อตนเองและเพื่อโลกที่สวยงาม
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43623
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555
กาลเวลาในพระพุทธศาสนา
ขอบคุณข้อมูลจากจุลสารก๊าซไลน์ ภายใต้ความร่วมมือของ ปตท.กับวิชาการดอทคอม
ที่มา : จุลสารก๊าซไลน์
ที่มา : จุลสารก๊าซไลน์
ในปัจจุบันนี้เรามีสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำมากมายในวันหนึ่งๆ ซึ่งต้องแข่งขันกับเวลาเสียด้วย เพราะหากเราใช้ชีวิตไม่สมดุล สิ่งที่ตามมาก็คือ ปัญหาต่างๆ ที่เราต้องตามมาแก้ในภายหลัง เช่น หากใช้เวลาในการทำงานไม่เหมาะสม ปัญหาในการทำงานก็จะตามมา หรือหากทำงานมากเกินไปก็เป็นผลเสียต่อสุขภาพรวมถึงเรื่องการทำงานและครอบครัวหากเราไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย ความสุขที่เกิดจากการมีครอบครัวก็จะหายไป ธรรมะพักใจฉบับนี้จึงขอเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องกาลเวลาในพระพุทธศาสนา

สำหรับพระพุทธศาสนานั้นได้มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้เกี่ยวกับกาลเวลาว่า “กาลเวลาย่อมกลืนตัวเองรวมทั้งสัตว์โลกทั้งหลาย” ซึ่งหมายความว่า เมื่อกลาเวลาผ่านไป ชีวิตทั้งหลายก็สั้นลงๆ และ เมื่อเวลาผ่านไปก็ทำให้เกิดอดีตที่ล่วงผ่านไป เกิดเป็นปัจจุบันขณะและมีอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้นกาลเวลานี้เองที่ทำให้เกิดความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เกิดความไม่เที่ยง เกิดความทุกข์เกิดขึ้น
หากกาลเวลาหยุดเดินไม่ล่วงไป ความไม่เที่ยง ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และความทุกข์ก็ย่อมจะไม่เกิดด้วย ดังเช่นร่างกายเรานี้ กาลเวลาผ่านไป เราก็เปลี่ยนจากเด็ก มาเป็นหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ มาเป็น คนแก่ จนถึงแตกสลายดับไป เพราะกาลเวลานี้เองที่ทำให้เรานำชีวิตร่างกายผ่านวัยเด็ก มาจนถึงปัจจุบันและจะดับไปในที่สุด ถ้าหากกาลเวลาหยุดความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงก็จะสิ้นสุด เช่นถ้าหากว่ากาลเวลาหยุดเมื่อเป็นเด็กนั้นเราก็จะเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาไม่เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่
ฉะนั้น กาลเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ใช้เวลาให้ดี กล่าวคือ หากเราทำดีเวลาเช้าก็เช้าดี ทำดีเวลาบ่ายก็บ่ายดี ทำดีเวลาเย็นก็เย็นดี ทำดีเมื่อใดก็ฤกษ์งามยามดีเมื่อนั้น และเมื่อทำดีชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตดีถ้าตรงกันข้ามก็ทำชั่ว ชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตชั่ว ไม่ทำดีปล่อยให้กาลเวลาล่วงไปโดยปราศจากประโยชน์ ชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตเปล่า
ดังนั้น จึงมีพระพุทธภาษิตตรัสเตือนเอาไว้ว่า “ความดี ความเพียร ควรรีบกระทำเสียตั้งแต่วันนี้ทีเดียว เพราะว่าใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมาต่อหรือไม่ในวันพรุ่งนี้” การที่เราเป็นผู้ที่มีศรัทธาพื้นฐาน อยู่ในพระพุทธศาสนาและได้ถึงพระพุทธเจ้าพระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะคือที่พึ่ง ย่อมจะบังเกิดหิริความละอายใจต่อความชั่วโอตตัปปะความเกรงกลัวต่อความชั่วเป็นเหตุให้หยุดไม่ทำความชั่วต่างๆ หรือเมื่อกำลังทำอยู่ก็หยุดได้
ส่วนผู้ที่ไม่มีศรัทธาและไม่ได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะแม้นึกได้ ก็ไม่เกิดหิริไม่เกิดโอตตัปปะ ก็อาจจะยังหยุดยั้งไม่ได้แต่แม้เช่นนั้นหากได้สติดังนี้บ่อยๆแล้วก็อาจจะเกิดหิริเกิดโอตตัปปะขึ้นได้ อาจหยุดยั้งได้ เพราะทุกๆคนนั้นมีจิตใจซึ่งเป็นธาตุรู้ และทุกคนย่อมจะสำนึกในบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์น้อยหรือมากอยู่ด้วยกัน

ฉะนั้นการที่เราพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่าวันคืนที่ล่วงไปแล้วเรากำลังทำอะไร อยู่เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ให้เราได้รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์ เป็นโทษ เป็นสิ่งที่ทำอย่างคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปหรือไม่ การที่เรามีสติพิจารณาผลที่เกิดจากการกระทำของเรา จะก่อให้เกิดปัญญาว่าสิ่งดีหรือสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเรานั้นเกิดจากการกระทำอันใดของเรา
เพราะฉะนั้นหากเรามีสติบ่อยๆ ในวันหนึ่งๆ เราย่อมมี หิริโอตตัปปะ หยุดยั้งทำความชั่วได้ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นอยู่สม่ำเสมอ ก่อให้เกิดการเลือกเฟ้นที่จะทำแต่ความดี เมื่อเราทำแต่ความดีจิตใจของเราก็จะเกิดเป็นปิติ จะเกิดความเพียรพยายามที่จะทำดียิ่งๆ ขึ้นไป ดังนั้นถึงแม้ว่ากลาเวลาจะล่วงไป ผ่านไป สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ปัญญาของเราจะเพิ่มพูนมากขึ้น เรื่อยๆ สามารถ เลือกเฟ้นว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนควรขจัดทิ้งไปเพื่อก่อให้เกิดแต่ส่องที่ดี สิ่งที่มีประโยชน์ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปเปล่าๆขอให้ผู้อ่านทุกท่านพึงพิจารณาด้วยปัญญาเถิด
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43598
หลุมลุ่มลึก
วันนี้ลุงยองจะมาชวนลูกๆ หลานๆ ทดลองทำเกษตรพอเพียงแบบหลุมเดียวเอายู่ ซึ่งใครๆ ที่ยังสงสัยไม่เข้าใจว่าเกษตรพอเพียงคืออะไร วันนี้ลุงเลยจะแนะนำให้เป็นตัวอย่าง โดยการปลูกพืชหลายอย่างในหลุมเดียว

หลุมที่ว่านี้ ความจริง ก็ไม่ต้องขุดกันเป็นหลุมลึกแต่อย่างใด เพียงแค่เป็นคำเชิงอุปมาอุปมัยให้เห็นภาพเท่านั้น เริ่มจากหาพื้นที่สักประมาณ 1 ตารางเมตร แล้วก็ปลูกหญ้าแฝกล้อมรอบเอาไว้จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า วงกลม วงรี ได้ทั้งสิ้น จากนั้นก็หาพืชพันธุ์มาลงให้หลากหลาย เพื่อจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเอง โดยเลือกมาจากไม้ 5 ประเภท เหมือนกับรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ดังนี้
๑. ไม้พี่เลี้ยง เป็นไม้ที่ให้ร่มเงา เก็บน้ำ เก็บความชื้นโดยเฉพาะกล้วยนี่เหมาะเหม็ง เพราะปลูกไม่ถึงปีก็ได้ลูกกินแล้ว ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกด้วยนะ จะได้ช่วยบังแดดแรงตอนบ่าย
๒. ไม้ฉลาด เป็นจำพวกศรีทนได้ ทั้งแดดทั้งฝน ไม้ต้องดูแลอะไรมากอย่าง ชะอม ผักหวาน มะละกอ แถมเก็บกินได้ตลอดทั้งปี
๓. ไม้ปัญญาอ่อน อันนี้ตรงกันข้ามกับไม้ฉลาด คือไม่ทน อ่อนแอ ออกดอกออกผลแล้วก็ตาย ต้องการการทะนุถนอม ก็พวกไม้ล้มลุกพืชผักสวนครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพริก มะเขือ กระเพราะ โหระพา คะน้า ผักบุ้ง
๔. ไม้บำนาญ อันนี้เป็นไม้ยืนต้น เก็บกินไปได้นานอย่าง มะม่วง มะนาว ขนุน ชมพู่ เงาะ มังคุด กระท้อน ไม้ผลที่แต่ก่อนเรามักจะปลูกไว้ในบ้าน แต่เดี๋ยวนี้ลุงเห็นมีแต่ปีบ ลั่นทม หูกระจง ที่กินไม่ได้แต่เท่... เฮ้อ
๕. ไม้มรดก อันนี้ต้องปลูกกันเป็นสิบ ๆ ปี อย่างที่ชื่อบอกเก็บไว้เป็นมรดกตกทอด คนปลูกไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ปลูก ก็จำพวกไม้ป่า สัก ประดู่ พยุง ชิงชัน ยางนา เป็นต้น อย่าลืมปลูกตรงกันข้ามกับไม้พี่เลี้ยง
ลูกๆ หลานๆก็เลือกดูแล้วกันว่าอย่างไหนเหมาะกับพื้นที่ของเราถ้าอยู่ในบ้านพักอาศัย ไม้มรดกก็อาจจะไม่เหมาะเพราะจะใหญ่ยักษ์เกินไป ไม้บำนาญ 1 ต้นต่อหลุมก็พอ แต่ถ้ามีพื้นที่เป็นไร่ก็อาจจะเพิ่มจำนวนหลุม แต่อย่าลืมเว้นระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 4 เมตรด้วย เมื่อลงมือปลูกแล้ว ถึงพืชที่เราเลือกจะช่วยกันเองได้ประมาณหนึ่งแต่เราก็ต้องแวะเวียนไปดูแลกันด้วย ประมาณว่ารดน้ำไม้ปัญญาอ่อนทุกวัน คนอื่นได้อานิสงส์ไปด้วย และพืชกลิ่นแรงก็ช่วยไล่แมลงศัตรูพืช ต้องคอยกำจัดวัชพืช ตัดแต่งทรงพุ่มต้นไม้ให้ละลานกัน ให้มีแสงส่องลอดได้ แล้วหญ้าแฝกที่ปลูกล้อมไว้ก็จะช่วยยึดดินไว้ด้วยโครงสร้างร่างแหของราก ดักตะกอนและปุ๋ยไว้ไม่ให้ไหลไปไหนแถมปมของรากยังมีจุลินทรีย์ ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดินด้วย ลงมือกันวันนี้เลยนะ จะได้ติดตามดูผลงานความเจริญงอกงามจากหยาดเหงื่อแรงงาน ด้วยความพอเพียงของเราเอง
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43599

หลุมที่ว่านี้ ความจริง ก็ไม่ต้องขุดกันเป็นหลุมลึกแต่อย่างใด เพียงแค่เป็นคำเชิงอุปมาอุปมัยให้เห็นภาพเท่านั้น เริ่มจากหาพื้นที่สักประมาณ 1 ตารางเมตร แล้วก็ปลูกหญ้าแฝกล้อมรอบเอาไว้จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า วงกลม วงรี ได้ทั้งสิ้น จากนั้นก็หาพืชพันธุ์มาลงให้หลากหลาย เพื่อจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเอง โดยเลือกมาจากไม้ 5 ประเภท เหมือนกับรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ดังนี้





ลูกๆ หลานๆก็เลือกดูแล้วกันว่าอย่างไหนเหมาะกับพื้นที่ของเราถ้าอยู่ในบ้านพักอาศัย ไม้มรดกก็อาจจะไม่เหมาะเพราะจะใหญ่ยักษ์เกินไป ไม้บำนาญ 1 ต้นต่อหลุมก็พอ แต่ถ้ามีพื้นที่เป็นไร่ก็อาจจะเพิ่มจำนวนหลุม แต่อย่าลืมเว้นระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 4 เมตรด้วย เมื่อลงมือปลูกแล้ว ถึงพืชที่เราเลือกจะช่วยกันเองได้ประมาณหนึ่งแต่เราก็ต้องแวะเวียนไปดูแลกันด้วย ประมาณว่ารดน้ำไม้ปัญญาอ่อนทุกวัน คนอื่นได้อานิสงส์ไปด้วย และพืชกลิ่นแรงก็ช่วยไล่แมลงศัตรูพืช ต้องคอยกำจัดวัชพืช ตัดแต่งทรงพุ่มต้นไม้ให้ละลานกัน ให้มีแสงส่องลอดได้ แล้วหญ้าแฝกที่ปลูกล้อมไว้ก็จะช่วยยึดดินไว้ด้วยโครงสร้างร่างแหของราก ดักตะกอนและปุ๋ยไว้ไม่ให้ไหลไปไหนแถมปมของรากยังมีจุลินทรีย์ ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดินด้วย ลงมือกันวันนี้เลยนะ จะได้ติดตามดูผลงานความเจริญงอกงามจากหยาดเหงื่อแรงงาน ด้วยความพอเพียงของเราเอง
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43599
ข่าวโครงการวิจัยปฏิสสาร ตอน2 และ สรุป
รายงานทีมวิจัย ALPHA ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือ CERN COURIER ฉบับ Volume 51 Number 2 ประจำเดือน มีนาคม 2011 ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ตอนนั้น (ปี 2010) พวกเขาสามารถกักแอนติไฮโดรเจนไว้ได้ไม่เกิน 172 มิลลิวินาที สิ่งที่พวกเขาจะทำในปี 2011 คือการพัฒนาเทคนิคในการลดพลังงานของโพสิตรอน เพื่อที่จะสร้างแอนติไฮโดรเจนให้ได้พลังงานต่ำยิ่งกว่านี้
.jpg)
จนกระทั่ง วันที่ 5 มิถุนายน ปี 2011 ทีมวิจัย ALPHA ก็ตีพิมพ์ความก้าวหน้าลงในวารสาร Nature Physics และ CERN Press Release เป็นรายงานการสร้างและกักเก็บแอนติไฮโดรเจนราว 300 อะตอม ไว้ได้ 1000 วินาที
การที่นักวิทยาศาสตร์สามารถเก็บแอนติไฮโดรเจนไว้ได้นานระดับนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำการทดลองวัดสเปคตรัมของแอนติไฮโดรเจนด้วยเลเซอร์หรือคลื่นไมโครเวฟ แนะนำผลการวัดมาเปรียบเทียบกันสเปคตรัมของไฮโดรเจน ถ้าหากสมบัติของแอนติไฮโดรเจนสามารถอธิบายด้วยฟิสิกส์แบบเดียวกับไฮโดรเจนแล้ว สเปคตรัมของแอนติไฮโดรเจนเทียบกับไฮโดรเจนจะต้องเหมือนกัน
อีกหนึ่งการทดลองที่จะทำกับแอนติไฮโดรเจนคือการดูพฤติกรรมของแอนติไฮโดรเจนในสนามโน้มถ่วง ซึ่งการทดลองนี้จะเริ่มในเร็วๆนี้โดยทีมวิจัย AEGIS

สรุป
นักวิทยาศาสตร์ใช้ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาและฟิสิกส์อนุภาคในการเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ของเอกภพ ในปัจจุบันก็ได้มีประวัติศาสตร์ของเอกภพถือว่าเป็นแบบมาตรฐานในปัจจุบัน ตามที่อธิบายไว้ในหน้าที่สอง ประวัติศาสตร์นี้ยังมีปัญหาอยู่อีกมาก หนึ่งในปัญหาคือ การหายไปของปฏิสสาร ในปัจจุบัน องค์กร CERN มีโครงการที่จะสร้างและกักเก็บปฏิสสารเพื่อการวิจัย ตอนนี้ทีมวิจัย ALPHA แห่ง CERN สามารถ สร้างและกักเก็บอะตอมของปฏิสสารนั้นคือแอนติไฮโดรเจนไว้ได้นานถึง 1000 วินาที จากนั้น พวกเขามีแผนที่จะทดลองแอนติไฮโดรเจนที่เก็บไว้ได้นี้ โดยการทดลองจะเป็นการทดลองเพื่อดูว่าแอนติไอโดรเจนและไฮโดรเจนมีพฤติกรรมสอดคล้องกับฟิสิกส์เดียวกันหรือไม่ การทดลองดังกล่าวเป็นการทดลองที่ให้ความแม่นยำสูง ถ้าแอนติไฮโดรเจนมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมือนกับไฮโดรเจนแล้ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพวกเราจะตรวจวัดความแตกต่างนั้นได้ และจะศึกษาต่อไปว่าเราจะปรับปรุงความรู้ด้านฟิสิกส์อนุภาคที่มีได้อย่างไร และความต่างนั้นจะมีความเชื่อมโยงกับกลไกธรรมชาติที่ทำให้ปฏิสสารหายไปจากเอกภพหรือไม่
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012

.jpg)
จนกระทั่ง วันที่ 5 มิถุนายน ปี 2011 ทีมวิจัย ALPHA ก็ตีพิมพ์ความก้าวหน้าลงในวารสาร Nature Physics และ CERN Press Release เป็นรายงานการสร้างและกักเก็บแอนติไฮโดรเจนราว 300 อะตอม ไว้ได้ 1000 วินาที
การที่นักวิทยาศาสตร์สามารถเก็บแอนติไฮโดรเจนไว้ได้นานระดับนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำการทดลองวัดสเปคตรัมของแอนติไฮโดรเจนด้วยเลเซอร์หรือคลื่นไมโครเวฟ แนะนำผลการวัดมาเปรียบเทียบกันสเปคตรัมของไฮโดรเจน ถ้าหากสมบัติของแอนติไฮโดรเจนสามารถอธิบายด้วยฟิสิกส์แบบเดียวกับไฮโดรเจนแล้ว สเปคตรัมของแอนติไฮโดรเจนเทียบกับไฮโดรเจนจะต้องเหมือนกัน
อีกหนึ่งการทดลองที่จะทำกับแอนติไฮโดรเจนคือการดูพฤติกรรมของแอนติไฮโดรเจนในสนามโน้มถ่วง ซึ่งการทดลองนี้จะเริ่มในเร็วๆนี้โดยทีมวิจัย AEGIS

สรุป
นักวิทยาศาสตร์ใช้ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาและฟิสิกส์อนุภาคในการเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ของเอกภพ ในปัจจุบันก็ได้มีประวัติศาสตร์ของเอกภพถือว่าเป็นแบบมาตรฐานในปัจจุบัน ตามที่อธิบายไว้ในหน้าที่สอง ประวัติศาสตร์นี้ยังมีปัญหาอยู่อีกมาก หนึ่งในปัญหาคือ การหายไปของปฏิสสาร ในปัจจุบัน องค์กร CERN มีโครงการที่จะสร้างและกักเก็บปฏิสสารเพื่อการวิจัย ตอนนี้ทีมวิจัย ALPHA แห่ง CERN สามารถ สร้างและกักเก็บอะตอมของปฏิสสารนั้นคือแอนติไฮโดรเจนไว้ได้นานถึง 1000 วินาที จากนั้น พวกเขามีแผนที่จะทดลองแอนติไฮโดรเจนที่เก็บไว้ได้นี้ โดยการทดลองจะเป็นการทดลองเพื่อดูว่าแอนติไอโดรเจนและไฮโดรเจนมีพฤติกรรมสอดคล้องกับฟิสิกส์เดียวกันหรือไม่ การทดลองดังกล่าวเป็นการทดลองที่ให้ความแม่นยำสูง ถ้าแอนติไฮโดรเจนมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมือนกับไฮโดรเจนแล้ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพวกเราจะตรวจวัดความแตกต่างนั้นได้ และจะศึกษาต่อไปว่าเราจะปรับปรุงความรู้ด้านฟิสิกส์อนุภาคที่มีได้อย่างไร และความต่างนั้นจะมีความเชื่อมโยงกับกลไกธรรมชาติที่ทำให้ปฏิสสารหายไปจากเอกภพหรือไม่
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012
ข่าวโครงการวิจัยปฏิสสาร ตอน1
กลไกธรรมชาติใดที่ทำให้ปฏิสสารหายไปจนแทบไม่มีปฏิสสารเหลือเลยในเอกภพยุคหลัง
วิธีที่จะตอบคำถามนี้ นำไปสู่พัฒนาการในเชิงทฤษฏีและการทดลอง ทางหนึ่งของการทดลองคือการสร้างและกักเก็บปฏิสสาร และเรียนรู้สมบัติต่างๆจากปฏิสสารโดยตรง แอนติอะตอมที่ไม่ซับซ้อนมากนักคือแอนติไฮโดรเจน ในช่วงแรกๆของวิจัย นักวิทยาศาสตร์จะพยายามคิดค้นเทคนิคในการสร้างและกักเก็บแอนติไฮโดรเจนไว้ ความท้าทายจะอยู่ที่ว่า พวกเขาจะทำอย่างไรเพื่อที่จะสร้างแอนติไฮโดรเจนให้มีจำนวนที่มากพอ และเก็บไว้ได้นานพอที่จะนำพวกมันไปทดลอง การทดลองเกี่ยวกับแอนติไฮโดรเจนจะมีประเด็นที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมของแอนติไฮโดรเจนจะเป็นไปตามกฏฟิสิกส์เดี่ยวกันกับไฮโดรเจนหรือไม่

ต่อไปนี้จะเป็นการอธิบายวิธีการสร้างและกักเก็บแอนติไฮโดรเจนอย่างสรุป ซึ่งเรียบเรียงจากหนังสือ CERN COURIER ฉบับ Volume 51 Number 2 ประจำเดือนมีนาคม ปี 2011
การะบวนการสร้างไฮโดรเจนจะเริ่มจาก การนำลำอนุภาคแอนติโปรตอนจากเครื่องชะลอความเร็วของแอนติโปรตอน (CERN's antiproton decelerator หรือ AD) ส่วนลำอนุภาคโพสิตรอนจะนำมาจาก 22Na positon emitter การรวมปฏิอนุภาคทั้งสองเพื่อสร้างแอนติไฮโดรเจน และกักเก็บแอนติไฮโดรเจน จะทำใน Penning trap ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ เครื่องมือหลักของศูนย์วิจัยอัลฟา หรือ ALPHA central apparatus
ถ้าหากเราเก็บปฏิอนุภาคไว้ในภาชนะปกติ ปฏิอนุภาคจะเคลื่อนที่ชนกับผนังของภาชนะและเกิดการประลัย (Annihilation) กันกับอนุภาคที่ผนังภาชนะ ยิ่งอนุภาคมีอุณหภูมิสูงพวกมันจะเคลื่อนที่เร็ว โอกาสที่จะเคลื่อนที่ไปชนกับผนังภาชนะก็ยิ่งมาก ทำให้ปฏิอนุภาคหายไปอย่างรวดเร็วมาก เพื่อที่จะเก็บปฏิอนุภาคให้ได้นานขึ้น นักวิทยาศาสตร์ต้องสร้างภาชนะหรือเครื่องมือพิเศษที่กักเก็บปฏิอนุภาคไว้โดยใช้สนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ทีมวิจัย AlPHA จึงต้องมีเครื่องมือกักเก็บชื่อว่า Penning traps สำหรับกักเก็บปฏิอนุภาค
.png)

รูปแสดงส่วนประกอบต่างๆของอุปกรณ์การวิจัยของทีมวิจัย ALPHA
เราอาจจะจินตนาการว่า Penning traps เป็นภาชนะทรงกระบอกสุญญากาศปลายเปิดสองด้าน ลำแอนติโปรตอนและลำของโพสิตรอนจะเข้าสู่ Penning traps จากปลายทรงกระบอกคนละด้าน และถูกกักให้อยู่ตำแหน่งคนละตำแหน่งของแนวแกนของทรงกระบอกโดยใช้ศักย์ไฟฟ้า แม้ว่าจะกักปฏิอนุภาคไม่ให้เคลื่อนที่ตามแนวแกนได้แล้วแต่ปฏิอนุภาคยังเคลื่อนที่ตามแนวรัศมีไปชนกับผนังของทรงกระบอกได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปฏิอนุภาคเคลื่อนที่ตามแนวรัศมี ใน Penning traps จะมีสนามแม่เหล็กความเข็มสูงจากลวดโซเลนอย์ดด้วย และสนามแม่เหล็กนี้จะกักไม่ให้ปฏิอนุภาคเคลื่อนที่ตามแนวรัศมี

รูปแสดงวิธีการกักพลาสม่าของแอนติโปรตอนและพลาสม่าของโพสิตรอนใน Penning Traps
คำที่ว่า กัก นี้ พูดเพื่อความง่ายไม่ได้หมายความว่าปฏิอนุภาคจะหยุดการเคลื่อนที่ ควรจะพูดว่าปฏิอนุภาคทั้งสองจะเป็นพลาสม่า (มองว่าเป็นหมอกปฏิอนุภาคก็ได้) ซึ่งถูกจำกัดการเคลื่อนที่ด้วยศักย์ไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก หมอกแอนติโปรตอนจะเคลื่อนที่ได้บริเวณจำกัดบริเวณหนึ่ง ส่วนหมอกโพสิตรอนจะถูกจำกัดให้อยู่อีกบริเวณหนึ่ง พลาสม่าของโพสิตรอนจะยังมีพลังงานสูง พลังงานของโพสิตรอนจะลดลงใน Penning traps โดยสนามแม่เหล็กและกระบวนการ Evaporative cooling (เข้าใจว่า พลาสม่าแอนติโปรตอนมีพลังงานต่ำแล้ว เพราะนำมาจากเครื่อง Antiproton decelerator) จนพลังงานของโพสิตรอนลดลงเหลือประมาณ 40 เคลวิน* แอนติโปรตอนจะถูกลากเข้ามารวมกันโพสิตรอนที่พลังงานต่ำนี้ แอนติไฮโดรเจนจะมีพลังงานไม่เกิน 0.5 เคลวิน เกิดขึ้นเป็นส่วนน้อย
.jpg)
รูปแสดงการกักอะตอมของแอนติไฮโดรเจน โดยใช้สนามแม่เหล็ก ในรูปแสดงให้เห็นว่า จะใช้แม่เหล็กล้อมแอนติไฮโดรเจนไว้ด้วยแม่เหล็ก 8 แท่ง (แทนสนามแม่เหล็กจาก Octupole) รวมทั้งด้านหัวด้านท้ายด้วยแม่เหล็กอีก 2 แท่ง (แทนสนามแม่เหล็กจาก Mirror Coil ทั้งสอง)
การสร้างแอนติไฮโดรเจนที่ ALPHA จะใช้แอนติโปรตอนประมาณสามหมื่นอนุภาค และใช้โพสิตรอนราวๆสองล้านอนุภาค เนื่องจากแอนติไฮโดรเจนเป็นกลางทางไฟฟ้า จึงไม่สามารถกักแอนติไฮโดรเจนนี้ด้วยศักย์ไฟฟ้าได้ การกักขังแอนติไฮโดรเจนทำโดยแรงอ่อนๆ อันเนื่องจากแม่เหล็กสองขั้วของแอนติอะตอมในสนามแม่เหล็ก เครื่อง Penning traps จะมีสนามแม่เหล็กเพื่อการกักเก็บแอนติไฮโดรเจนจาก 8 ขั้ว หรือ Octupole รอบผนังของภาชนะ ยังมีสนามแม่เหล็กจาก Miror coils ปิดหัวปิดท้าย อุปกรณ์สร้างสนามแม่เหล็กที่กล่าวมาจะสามารถกักแอนติไฮโดรเจนที่มีพลังงานไม่เกิน 0.7 เคลวิน
*หมายเหตุ พลังงานของอนุภาคในวิชาฟิสิกส์อนุภาคจะนิยมใช้หน่วยเป็น อิเล็กตรอนโวลต์ แต่ในบางครั้งก็มีการใช้หน่วย เคลวิน ด้วย จริงๆแล้วหน่วยเคววินเป็นหน่วยของอุณหภูมิ ดังนั้นจากคำว่า (ตัวอย่างเช่น) อนุภาคมีพลังงาน 40 เคลวิน จะหมายความว่า อนุภาคมีพลังงานในปริมาณที่สอดคล้องกับอุณหภูมิ 40 เคลวิน
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012
เล่าประวัติศาสตร์ของเอกภพ
นี่คือประวัติศาสตร์ของเอกภพแบบที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบัน เป็นการรวมความรู้ของจักรวาลวิทยา รวมกับ ฟิสิกส์อนุภาค

เริ่มจากบิกแบง เอกภพเริ่มพองตัวและจบการพองตัวภายในช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่งของเสี้ยววินาที เอกภพหลังช่วงพองตัวจะเป็นช่วงที่มีการสร้างอนุภาคและปฏิอนุภาคมูลฐานขึ้นในเอกภพ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอนุภาคมูลฐานที่ถูกสร้างในขณะนั้นคือ ควาร์ก และแอนติควาร์ก แบบต่างๆ อิเล็กตรอนและโพสิตรอน (และเลปตรอนอื่นๆ) อนุภาคส่งแรงได้แก่ โฟตอน (อนุภาคของแสง) ดับเบิลยูและแซ็ดโบซอน กลูออน อนุภาคและปฏิอนุภาคมูลฐานเหล่านี้ถูกอธิบายโดยทฤษฏีอนุภาคแบบมาตรฐาน (Standard model of particles physics)

.jpg)
รูป Particle Zoo เป็นตุ๊กตาน่ารักๆแสดงอนุภาคและปฏิอนุภาคต่างๆที่มีในทฤษฏีอนุภาคแบบมาตรฐาน (ไม่ได้หมายความว่าอนุภาคหรือปฏิอนุภาคจริงๆ จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบนี้นะ)
เมื่ออายุของเอกภพได้ 10-5 วินาที (นับจากบิ๊กแบง) พวกควาร์กก็ได้รวมกลุ่มกันผ่านอนุภาคส่งแรงกลูออน เกิดเป็นโปรตอน นิวตรอน ขึ้น ส่วนพวกแอนติควาร์กก็ได้รวมกลุ่มกันผ่านกลูออนเกิดเป็นแอนติโปรตอน แอนตินิวตรอน เมื่ออายุของเอกภพเริ่มมาก พลังงานในตัวเอกภพก็เริ่มลดลง จนอายุ 3แสนปี เป็นเวลาที่โปรตอนรวมกับอิเล็กตรอนกลายเป็นอะตอมไฮโดรเจน กล่าวได้ว่า เมื่อเอกภพอายุ 3 แสนปีก็ได้มีอะตอมขึ้น และเวลาก็ผ่านไปและผ่านไป ไฮโดรเจนได้ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันกับไฮโดรเจนอื่น เกิดเป็นธาตุหนักขึ้นอย่างฮีเลียม ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ดำเนินต่อเรื่อยๆ ทำให้เกิดธาตุหนักขึ้นและหนักขึ้น ทำให้ในปัจจุบัน เราสำรวจพบธาตุต่างๆ ตั่งแต่ธาตุเบาจนถึงธาตุหนัก ดั่งที่เราเห็นในตารางธาตุที่เห็นได้ในหนังสือเรียนวิชาเคมี
ประวัติศาสตร์ของเอกภพมีความสอดคล้องเป็นอย่างดีกับผลการสังเกตทางดาราศาสตร์ แต่ก็ยังมีปัญหา*อยู่อีกมาก หนึ่งในปัญหาคือไม่สามารถอธิบายผลการสังเกตที่พบว่า ปฏิสสาร หรือปฏิอนุภาค ได้หายไปจากเอกภพยุคหลัง (ตามรูปคือ ตั้งแต่เอกภพอายุ 100 วินาที จนถึงปัจจุบัน) นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยตรวจพบกระจุกหรือระบบดาวที่ประกอบจากปฏิสสาร
ช่วงเวลาที่เอกภพหลังจบการพองตัวจะเป็นช่วงที่มีการสร้างอนุภาคมูลฐาน และปฏิอนุภาคมูลฐาน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจำนวนของอนุภาคจะต้องเท่ากับจำนวนของปฏิอนุภาค แต่สิ่งที่สังเกตได้ในปัจจุบันนี้ เราเห็นแต่สสาร ปฏิสสารมีอยู่น้อยมากหรือแทบจะไม่มี ปฏิสสารหายไป และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่ากลไกอะไรที่ทำให้ปฏิอนุภาคหรือปฏิสสารลดลงจนหายไปจากเอกภพ
*หมายเหตุ คำว่า ปัญหาของทฤษฎี หรือทฤษฏีมีปัญหา จะหมายถึง ทฤษฎีนั้นไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เพิ่งจะสังเกตหรือจากการทดลองใหม่ๆ บางอย่างได้
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012

เริ่มจากบิกแบง เอกภพเริ่มพองตัวและจบการพองตัวภายในช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่งของเสี้ยววินาที เอกภพหลังช่วงพองตัวจะเป็นช่วงที่มีการสร้างอนุภาคและปฏิอนุภาคมูลฐานขึ้นในเอกภพ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอนุภาคมูลฐานที่ถูกสร้างในขณะนั้นคือ ควาร์ก และแอนติควาร์ก แบบต่างๆ อิเล็กตรอนและโพสิตรอน (และเลปตรอนอื่นๆ) อนุภาคส่งแรงได้แก่ โฟตอน (อนุภาคของแสง) ดับเบิลยูและแซ็ดโบซอน กลูออน อนุภาคและปฏิอนุภาคมูลฐานเหล่านี้ถูกอธิบายโดยทฤษฏีอนุภาคแบบมาตรฐาน (Standard model of particles physics)

.jpg)
รูป Particle Zoo เป็นตุ๊กตาน่ารักๆแสดงอนุภาคและปฏิอนุภาคต่างๆที่มีในทฤษฏีอนุภาคแบบมาตรฐาน (ไม่ได้หมายความว่าอนุภาคหรือปฏิอนุภาคจริงๆ จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบนี้นะ)
เมื่ออายุของเอกภพได้ 10-5 วินาที (นับจากบิ๊กแบง) พวกควาร์กก็ได้รวมกลุ่มกันผ่านอนุภาคส่งแรงกลูออน เกิดเป็นโปรตอน นิวตรอน ขึ้น ส่วนพวกแอนติควาร์กก็ได้รวมกลุ่มกันผ่านกลูออนเกิดเป็นแอนติโปรตอน แอนตินิวตรอน เมื่ออายุของเอกภพเริ่มมาก พลังงานในตัวเอกภพก็เริ่มลดลง จนอายุ 3แสนปี เป็นเวลาที่โปรตอนรวมกับอิเล็กตรอนกลายเป็นอะตอมไฮโดรเจน กล่าวได้ว่า เมื่อเอกภพอายุ 3 แสนปีก็ได้มีอะตอมขึ้น และเวลาก็ผ่านไปและผ่านไป ไฮโดรเจนได้ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันกับไฮโดรเจนอื่น เกิดเป็นธาตุหนักขึ้นอย่างฮีเลียม ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ดำเนินต่อเรื่อยๆ ทำให้เกิดธาตุหนักขึ้นและหนักขึ้น ทำให้ในปัจจุบัน เราสำรวจพบธาตุต่างๆ ตั่งแต่ธาตุเบาจนถึงธาตุหนัก ดั่งที่เราเห็นในตารางธาตุที่เห็นได้ในหนังสือเรียนวิชาเคมี
ประวัติศาสตร์ของเอกภพมีความสอดคล้องเป็นอย่างดีกับผลการสังเกตทางดาราศาสตร์ แต่ก็ยังมีปัญหา*อยู่อีกมาก หนึ่งในปัญหาคือไม่สามารถอธิบายผลการสังเกตที่พบว่า ปฏิสสาร หรือปฏิอนุภาค ได้หายไปจากเอกภพยุคหลัง (ตามรูปคือ ตั้งแต่เอกภพอายุ 100 วินาที จนถึงปัจจุบัน) นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยตรวจพบกระจุกหรือระบบดาวที่ประกอบจากปฏิสสาร
ช่วงเวลาที่เอกภพหลังจบการพองตัวจะเป็นช่วงที่มีการสร้างอนุภาคมูลฐาน และปฏิอนุภาคมูลฐาน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจำนวนของอนุภาคจะต้องเท่ากับจำนวนของปฏิอนุภาค แต่สิ่งที่สังเกตได้ในปัจจุบันนี้ เราเห็นแต่สสาร ปฏิสสารมีอยู่น้อยมากหรือแทบจะไม่มี ปฏิสสารหายไป และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่ากลไกอะไรที่ทำให้ปฏิอนุภาคหรือปฏิสสารลดลงจนหายไปจากเอกภพ
*หมายเหตุ คำว่า ปัญหาของทฤษฎี หรือทฤษฏีมีปัญหา จะหมายถึง ทฤษฎีนั้นไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เพิ่งจะสังเกตหรือจากการทดลองใหม่ๆ บางอย่างได้
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012
หน้าที่ 1 - มนุษย์เป็นผู้ช่างคิดช่างสงสัย
เผ่าพันธุ์มนุษย์มีที่มาอย่างไร สิ่งมีชีวิตอุบัติขึ้นบนโลกได้อย่างไร โลกและอวกาศเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สสารและสิ่งต่างๆ แยกย่อยได้หรือไม่ ถ้าแยกย่อยได้แล้วหน่วยที่เล็กที่สุดของสสารคืออะไร
พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับโลกและท้องฟ้าจะเริ่มการศึกษาทางดาราศาสตร์ เริ่มจากการโคจรของวัตถุในระบบสุริยะของเรา ต่อมา เราก็ได้เรียนรู้ระบบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ไปจนถึงระดับแกแลกซี่ ไปจนถึงระดับเอกภพ ซึ่งการเรียนรู้เอกภพจะเป็นขอบเขตของจักรวาลวิทยา


เราคงเคยได้รับรู้ข่าวของเรื่องเร่งอนุภาค Large Heavy Ion Collider หรือ LHC ขององค์กรเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือ CERN กันมาบ้างแล้ว ในปัจจุบัน LHC ถือเป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่มีขนาดใหญ่และมีพลังมากที่สุดของโลก และ เราอาจจะเคยได้ยินกันบ้างว่าการทดลองด้วยเครื่อง LHC นี้จะเป็นอีกก้าวหนึ่งของพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ที่จะทำให้เราเข้าใจเอกภพได้ดียิ่งขึ้น อาจจะมีคนสงสัยว่า การเร่งอนุภาคมาชนกันเพื่อศึกษาสมบัติของสิ่งที่เล็กยิ่งกว่าอะตอมนี้จะช่วยให้เราเข้าใจระบบที่มีขนาดใหญ่มากอย่างเอกภพได้อย่างไร มีคำอธิบายครับ มาลองดูกัน
การศึกษาในขอบเขตความรู้ของจักรวาลวิทยาคือการศึกษาว่าเอกภพของเราทั้งหมด เกิดและมีวิวัฒนาการอย่างไร การอธิบายเอกภพจะเป็นไปในลักษณะย้อนอดีต นั้นคือ เรากำลังพยายามเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเอกภพ ตั้งแต่กำเนิด ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ทฤษฏีสัมพัทธทั่วไปของไอน์สไตน์รวมกันหลักของจักรวาลวิทยาเป็นตัวจักรสำคัญในการอธิบายเอกภพ นำไปสู่การอธิบายด้วยทฤษฎีบิ๊กแบง (Big bang)
ในบริบทของทฤษฎีบิ๊กแบง มีใจความโดยสรุปว่า เอกภพกำเนิดจากบิ๊กแบง ทุกๆที่ในอวกาศ ณ ขณะเกิดบิ๊กแบง จะมีพลังงานมหาศาลมาก หลังจากเกิดบิ๊กแบงแล้วเป็นเวลา 10-37 วินาที เอกภพก็ได้เข้าสู่ช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก เรียกว่าช่วงการพองตัว หรือ Inflation หลังจากจบช่วงการพองตัว เอกภพเริ่มก็มีพลังงานต่ำลงและขยายตัวขึ้น แต่การขยายตัวครั้งหลังนี้จะช้ากว่าช่วงการพองตัวมาก หลังจากจบการพองตัว เราเชื่อว่าพลังงานในเอกภพจะประกอบด้วยพลังงานจาก มวลสาร และ มวลสารมืด พลังงานของการแผ่รังสี และพลังงานมืด พลังงานทั้งสี่ประเภทจะสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน และสัดส่วนพลังงานดังกล่าวก็เปลี่ยนไปเมื่ออายุของเอกภพเพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

รูปแสดงสัดส่วนพลังงานในเอกภพยุคปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดได้ว่า ภายในเอกภพปัจจุบันนี้มีสัดส่วนพลังงานมืดประมาณ 72% ของพลังงานทัั้งหมด ในปัจจุบันพลังงานของการแผ่รังสีมีสัดส่วนน้อยมากจนสามารถประมาณได้ว่ามีสัดส่วนพลังงานเป็นศูนย์
ความรู้ที่อธิบายระบบที่มีขนาดใหญ่ระดับจักรวาล และความรู้ที่ใช้อธิบายระบบที่มีขนาดเล็กระดับอนุภาค ได้ถูกนำมาบรรจบกัน เพื่อที่เราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเอกภพ
หมายเหตุ
คำว่า จักรวาล แปลมาจาก Cosmos ส่วนคำว่า เอกภพ แปลมาจาก Universe และคำว่า จักรวาลวิทยา แปลมาจากคำว่า Cosmology ในบทความนี้หรือโดยทั่วไปจะมีการใช้คำว่า จักรวาล และคำว่า เอกภพ ในความหมายที่เหมือนกัน นั้นคือคำว่า จักรวาล จะหมายถึง เอกภพ
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012
พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับโลกและท้องฟ้าจะเริ่มการศึกษาทางดาราศาสตร์ เริ่มจากการโคจรของวัตถุในระบบสุริยะของเรา ต่อมา เราก็ได้เรียนรู้ระบบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ไปจนถึงระดับแกแลกซี่ ไปจนถึงระดับเอกภพ ซึ่งการเรียนรู้เอกภพจะเป็นขอบเขตของจักรวาลวิทยา

ในอีกมุมหนึ่ง พัฒนาการของวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะตอบคำถามว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกได้อย่างไรก็จะเป็นส่วนของการศึกษาทางชีววิทยา จากระดับสิ่งมีชีวิตลงไปที่การทำงานของเนื้อเยื่อ เล็กลงไปเรื่อยๆ จนถึงระดับเซลล์ การทำงานของสารต่างๆภายในเซลล์จะสามารถอธิบายโดยความรู้ของวิชาเคมี เล็กลงไปจากระดับเคมีก็จะถึงระดับของโครงสร้างภายในอะตอมซึ่งเป็นขอบเขตความรู้ของฟิสิกส์อนุภาค


การศึกษาในขอบเขตความรู้ของจักรวาลวิทยาคือการศึกษาว่าเอกภพของเราทั้งหมด เกิดและมีวิวัฒนาการอย่างไร การอธิบายเอกภพจะเป็นไปในลักษณะย้อนอดีต นั้นคือ เรากำลังพยายามเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเอกภพ ตั้งแต่กำเนิด ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ทฤษฏีสัมพัทธทั่วไปของไอน์สไตน์รวมกันหลักของจักรวาลวิทยาเป็นตัวจักรสำคัญในการอธิบายเอกภพ นำไปสู่การอธิบายด้วยทฤษฎีบิ๊กแบง (Big bang)
ในบริบทของทฤษฎีบิ๊กแบง มีใจความโดยสรุปว่า เอกภพกำเนิดจากบิ๊กแบง ทุกๆที่ในอวกาศ ณ ขณะเกิดบิ๊กแบง จะมีพลังงานมหาศาลมาก หลังจากเกิดบิ๊กแบงแล้วเป็นเวลา 10-37 วินาที เอกภพก็ได้เข้าสู่ช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก เรียกว่าช่วงการพองตัว หรือ Inflation หลังจากจบช่วงการพองตัว เอกภพเริ่มก็มีพลังงานต่ำลงและขยายตัวขึ้น แต่การขยายตัวครั้งหลังนี้จะช้ากว่าช่วงการพองตัวมาก หลังจากจบการพองตัว เราเชื่อว่าพลังงานในเอกภพจะประกอบด้วยพลังงานจาก มวลสาร และ มวลสารมืด พลังงานของการแผ่รังสี และพลังงานมืด พลังงานทั้งสี่ประเภทจะสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน และสัดส่วนพลังงานดังกล่าวก็เปลี่ยนไปเมื่ออายุของเอกภพเพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

รูปแสดงสัดส่วนพลังงานในเอกภพยุคปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดได้ว่า ภายในเอกภพปัจจุบันนี้มีสัดส่วนพลังงานมืดประมาณ 72% ของพลังงานทัั้งหมด ในปัจจุบันพลังงานของการแผ่รังสีมีสัดส่วนน้อยมากจนสามารถประมาณได้ว่ามีสัดส่วนพลังงานเป็นศูนย์
สิ่งที่อยู่นอกบริบทของจักรวาลวิทยาคือความเป็นไปในรายละเอียดของสสาร และพลังงาน (แน่นอนว่า จักรวาลวิทยาก็ไม่สามารถตอบได้ว่า สสารมืดและพลังงานมืดคืออะไรกันแน่) ความรู้ที่จะเติมเต็มจักรวาลวิทยาคือความรู้ของฟิสิกส์อนุภาค ถ้าเรามีความรู้ฟิสิกส์อนุภาคเป็นอย่างดีแล้ว เราจะเข้าใจเอกภพเป็นอย่างดีด้วย
ความรู้ที่อธิบายระบบที่มีขนาดใหญ่ระดับจักรวาล และความรู้ที่ใช้อธิบายระบบที่มีขนาดเล็กระดับอนุภาค ได้ถูกนำมาบรรจบกัน เพื่อที่เราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเอกภพ
หมายเหตุ
คำว่า จักรวาล แปลมาจาก Cosmos ส่วนคำว่า เอกภพ แปลมาจาก Universe และคำว่า จักรวาลวิทยา แปลมาจากคำว่า Cosmology ในบทความนี้หรือโดยทั่วไปจะมีการใช้คำว่า จักรวาล และคำว่า เอกภพ ในความหมายที่เหมือนกัน นั้นคือคำว่า จักรวาล จะหมายถึง เอกภพ
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012
วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
เผย 30 ปีก่อน ยานพบสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์

เผย 30 ปีก่อน ยานพบสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์ (ไอเอ็นเอ็น)
นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย เผย 30 ปีก่อน ยานวีนัส ได้บันทึกภาพบนดาวศุกร์พบสิ่งมีชีวิต คาดเป็นแมงป่อง รวมทั้งแผ่นจาน สิ่งขยับได้สีดำ กำลังเคลื่อนไหวขณะกล้องกำลังบันทึกภาพดังกล่าว
เดลีเมล์ สื่อของอังกฤษ รายงานว่า นายลีโอนิด คาซานโฟมาลิติ นักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิจยอวกาศของรัสเซีย อ้างว่า จากการสำรวจดาววีนัส ศุกร์ โดยยานอวกาศรัสเซีย หรือ ยานวีนัส 13 เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา พบว่า ดาวดวงนี้น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยยานดังกล่าวได้บันทึกภาพบนดาวศุกร์ และจากการวิเคราะห์ภาพพบว่า ปรากฏสิ่งมีชีวิตคล้ายแมงป่อง รวมทั้งแผ่นจาน สิ่งขยับได้สีดำ กำลังเคลื่อนไหว ขณะกล้องกำลังบันทึกภาพดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ด้านนาซาแสดงทัศนะว่า ที่ผ่านมายังไม่มีหลักฐานว่า มีสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์ ซึ่งมีอุณหภูมิบนพื้นผิวดาวร้อน 464 องศาเซลเซียส
โดยดาวดวงนี้มีโครงสร้างและขนาดคล้ายโลก มีชั้นบรรยากาศหนาที่เป็นพิษที่เกิดจากปฏิกิริยาเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ว่า ครั้งหนึ่งดาวศุกร์อาจมีสิ่งมีชีวิต ซึ่งที่ผ่านมา การวิเคราะห์ได้มุ่งเน้นต่อประเด็นว่า ดาวดวงนี้มีทะเล หรือสิ่งมีชีวิตอื่น หรือไม่ ก่อนจะเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกขึ้นบนพื้นผิวดาวเหมือนเช่นปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ นักวิทย์ระบุว่า ทฤษฎีปัจจุบันชี้ว่า ดาวศุกร์และโลกอาจเริ่มต้นคล้ายกัน โดยดาวทั้งสองดวงอาจมีน้ำปริมาณมาก ส่วนโลกก็มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาก รายงานระบุว่า นับตั้งแต่ยานรัสเซียได้สำรวจดาวศุกร์เมื่อ 30 ปีก่อน นาซาสามารถบันทึกภาพที่มีละเอียดมากขึ้นเยอะเกี่ยวกับพื้นผิวของดาว ซึ่งไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตให้เห็น
อ้างอิงจาก http://hilight.kapook.com/view/66880
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555
“สตีเฟน ฮอว์กิง” ผู้รอดชีวิตท้าความตายมา 50 ปี
ในขณะที่ “สตีเฟน ฮอว์กิง” มีชื่อเสียงจากการถอดรหัสความลึกลับของจักรวาล การมีชีวิตรอดมาถึง 50 ปีของเขาก็เป็นปริศนาสำหรับวงการแพทย์ เพราะโรคที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นอัจฉริยะร่างพิการนี้มักจะคร่าชีวิตผู้ป่วยเพียงไม่นานหลังแพทย์วินิจฉัยพบ
ก่อนวันเกิดปีที่ 21 ไม่นาน “สตีเฟน ฮอว์กิง” (Stephen Hawking) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) ของอังกฤษ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนอ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis: ALS) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่าโรคลู เกห์ริก (Lou Gehrig's disease) ซึ่งในสหราชอาณาจักรเรียกโรคนี้ว่าโรคประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Motor Neurone Disease) ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตหลังจากได้รับการวินิจฉัยเพียงไม่กี่ปี แต่เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาเขาเพิ่งมีอายุครบ 70 ปี
“ผมไม่เคยรู้จักใครที่รอดชีวิตมาได้นานขนาดนี้” เอพีระบุความเห็นของ อัมมาร์ อัล-ชาลาบิ (Ammar Al-Chalabi) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและดูแลผู้ป่วยโรคประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวบกพร่อง (Motor Neurone Disease Care and Research Centre ) ของมหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอน (King's College London) แม้ว่าเขาไม่ได้บำบัดดูแลฮอว์กิง หากแต่ได้ให้ความเห็นว่าการมีชีวิตอันยืนยาวดังกล่าวเป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา”
“มันไม่ใช่เรื่องปกตินักสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ที่มีชีวิตรอดมานานหลายทศวรรษ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก” ดร.รัพ แทนแดน (Dr.Rup Tandan) ศาสตราจารย์ประสาทวิทยาของวิทยาลัยแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ (University of Vermont College of Medicine) กล่าว โดยเอพีระบุว่าผู้ป่วยที่มีอายุยืนยาวตามที่แทนแดนกล่าวนั้นอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ หากแต่ฮอว์กิงไม่ได้ใช้เครื่องดังกล่าว
“ผมโชคดีที่อาการป่วยของผมเป็นไปอย่างช้าๆ กว่ากรณีปกติ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าคนเราอย่าได้สูญเสียความหวัง ผมมักจะได้รับคำถามบ่อยๆ ว่า “คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่เป็นโรคเอแอลเอส?” คำตอบก็คือ ไม่เท่าไร ผมพยายามจะใช้ชีวิตให้ปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่คิดถึงอาการป่วยของตัวเอง หรือไม่นึกเสียดายถึงสิ่งที่ขัดขวางผมในการได้ทำโน่นทำนี่ ซึ่งก็ไม่ได้มากมายนัก” บีบีซีนิวส์รายงานความเห็นของฮอว์กิง
เมื่อได้รับการวินิจฉัยในช่วงต้นๆ อาการของฮอว์กิงยังไม่รุนแรงนัก โดยมีอาการซุ่มซ่ามเล็กน้อย และมีอาการสะดุดกับล้มอย่างไม่สามารถอธิบายได้เพียงไม่กี่ครั้ง หากแต่โดยธรรมชาติของโรคแล้วอาการป่วยจะทรุดลงเรื่อยๆ โดยไม่มีทางรักษา ซึ่งการวินิจฉัยดังกล่าวสร้างความตกใจอย่างยิ่ง แต่ก็ได้ช่วยในการวางแผนกรอบอนาคตของเขา
“แม้ว่าตอนนั้นจะมีเมฆหมอกบดบังอนาคตของผม แต่ผมก็พบสิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ตัวเองนั่นคือผมมีความสุขในชีวิตขณะปัจจุบันมากกว่าที่ผ่านมา ผมเริ่มสร้างความก้าวหน้าให้งานวิจัยของตัวเอง และได้หมั้นหมายกับผู้หญิงที่ชื่อ เจน ไวล์ด (Jane Wilde) คนที่ผมได้พบในช่วงที่ได้รับการวินิจฉัยอาการป่วย การหมั้นหมายดังกล่าวได้เปลี่ยนชีวิตของผม และให้บางสิ่งที่ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้น” ฮอว์กิงกล่าว
บีบีซีนิวส์ระบุอีกว่า ตอนนี้แพทย์ยังคงอยู่ในความมืดมนว่าอะไรคือสาเหตุของโรคประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวผิดปกติ แต่เท่าที่ทราบคือ 5% ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากพันธุกรรม ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถส่งต่อความผิดปกติจากคนรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้
ในปี 1974 ฮอว์กิงและเจนซึ่งมีลูกด้วยกัน 3 คนได้จัดการดูแลอาการป่วยจากโรคเอเอสแอลด้วยวิธีของพวกเขาเอง ในตอนนั้นเขายังคงกินอาหารเองได้ ตื่นและเข้านอนได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าการเดินเป็นระยะทางไกลจะทำไม่ได้แล้ว แต่เมื่อหลายๆ อย่างเริ่มลำบากมากขึ้น และกล้ามเนื้อที่ไม่ทำงานก็ทำให้เขาล้มบ่อยขึ้น ฮอว์กิงและภรรยาจึงตัดสินใจรับนักศึกษามาอยู่ด้วยเพื่อช่วยดูแลธุระต่างๆ ภายในบ้าน โดยแลกกับการให้พักในบ้านและสอนหนังสือให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็เป็นที่แน่ชัดว่าฮอว์กิงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ และเขาต้องใช้ชีวิตหลังตื่นนอนทั้งหมดบนรถเข็น และในปี 1985 เขาก็มีอาการแทรกซ้อนมากขึ้นเมื่อป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ทำให้เขาต้องได้รับการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง โดยบีบีซีนิวส์ระบุว่าโรคเอเอสแอลทำให้ปอดของเขาอ่อนแอลง และต้องต่อสู้กับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางระบบประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง
เพื่อช่วยเหลือฮอว์กิงจากการหายใจที่ลำบาก เขาจึงต้องได้รับการศัลยกรรมเจาะคอเพื่อใส่ท่อเข้าไปแทนหลอดลม ซึ่งการรักษาดังกล่าวประสบความสำเร็จ แต่ก็ทำให้เขาไม่มีเสียงที่จะสื่อสารกับคนอื่น ในช่วงหนึ่งเขาสื่อสารด้วยวิธีกระพริบตาเลือกอักษรทีละตัวเมื่อมีใครชี้ไปยังตัวอักษรที่เขาต้องการเพื่อสะกดออกมาเป็นคำ หลังจากนั้น วอลท์ วอลทอสซ์ (Walt Waltosz) ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์จากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ซึ่งได้ยินเรื่องราวของฮอว์กิงก็ได้ส่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขาเขียนขึ้นเองมาให้ใช้คู่กับเครื่องสังเคราะห์เสียง
เอพีระบุว่าตอนนี้มีวิธีเดียวที่เขาจะสื่อกับคนอื่นได้นั่นคือการกระตุกแก้มข้างขวา โดยต้องอาศัยคอมพิวเตอร์และเครื่องสังเคราะห์เสียงเพื่อช่วยในการพูด ซึ่งเซนเซอร์แสงอินฟราเรดขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่บนแว่นตาของเขาจะเชื่อมต่อไปยังคอมพิวเตอร์ จากนั้นเซนเซอร์จะตรวจวัดการกระตุกของแก้มซึ่งเป็นการเลือกคำที่แสดงอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ จากนั้นคำที่ถูกเลือกก็จะถูกสังเคราะห์ออกมาเป็นเสียง ฮอว์กิงต้องใช้เวลา 10 นาทีเพื่อสร้างคำพูด 1 ประโยค
“ปัญหาเดียวของเครื่องสังเคราะห์เสียงคือมันทำให้ผมมีสำเนียงอเมริกัน” ฮอว์กิงระบุในเว็บไซต์ส่วนตัวของเขา และเครื่องสังเคราะห์เสียงนี้ช่วยให้เขาเขียนหนังสือเล่มใหม่คือ “The Grand Design” ด้วยเวลาถึง 4 ปี แต่ก็เลยกำหนดเวลาตีพิมพ์หนังสือของสำนักพิมพ์
ด้าน จูดิธ ครอสเดลล์ (Judith Croasdell) ผู้ช่วยส่วนตัวของฮอว์กิงบอกเอพีว่าเจ้านายของเธอเป็นผู้ป่วยที่ไม่ธรรมดา โดยวิธีที่เขาสื่อสารนั้นอาจจะช้าเกินทนสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคกีดกวางความคิดของเขา ซึ่งหลังจากอยู่โรงพยาบาลในช่วงสั้นๆ ฮอว์กิงบอกกับเธอว่า เขาใช้เวลาคิดเรื่องหลุมดำ โดยเจ้านายของเธอจะเข้าที่ทำงานหลังอาหารเช้ามื้อใหญ่และการอ่านข่าว แม้ว่าฮอว์กิงจะไม่ใช่คนไปทำงานเช้า แต่ก็ทำงานเลิกดึก 1-2 ทุ่มป็นประจำ
ครั้งแรกที่ฮอว์กิงได้รับความสนใจอย่างมากคือเมื่อปี 1988 ที่เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ “ประวัติย่อของกาลเวลา” (A Brief History of Time) ซึ่งเป็นการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับเอกภพอย่างง่ายๆ และหนังสือดังกล่าวได้ตีพิมพ์ไปทั่วโลกกว่า 10 ล้านเล่ม และทฤษฎีของเขาในเวลาต่อมาก็ได้ปฏิวัติความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับหลุมดำและทฤษฎีบิกแบง (Big Bang) ซึ่งอธิบายกำเนิดเอกภพ
เพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ฮอว์กิงทางมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์จึงได้จัดประชุมสัมมนาที่เปิดกว้างแก่สาธารณะในหัวข้อ “แถลงการณ์แห่งเอกภพ” (The State of the Universe) ซึ่งนอกจากฮอว์กิงเองแล้วยังมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำคนอื่นๆ อีกรวม 27 คนที่จะแสดงปาฐกถาในงานดังกล่าว แต่ปรากฏว่าในวันนั้นเขามีสุขภาพย่ำแย่เกินกว่าจะร่วมงานได้
ฮอว์กิงรับตำแหน่งศาสตราจารย์ลูคัสเซียน (Lucusian) ทางด้านคณิตศาสตร์ที่เคมบริดจ์ยาวนานถึง 30 ปี และเกษียณจากตำแหน่งดังกล่าวเมื่อปี 2009 โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในอดีตอย่าง เซอร์ ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) ก็ได้รับตำแหน่งเดียวกันนี้ ปัจจุบันฮอว์กิงเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่ศูนย์จักรวิทยาเชิงทฤษฎีของเคมบริดจ์ ซึ่งเขาประสบความสำเร็จทั้งหมดนี้ด้วยสภาพร่างกายที่เกือบจะเป็นอัมพาตทั้งตัว
สำหรับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสนี้จะเข้าจู่โจมประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะจะทุกข์ทรมานจากอาการอ่อนแรงและการสูญเสียกล้ามเนื้อ จากนั้นกลายเป็นอัมพาต และมีปัญหาในการพูด การกลืนอาหารและการหายใจ โดยมีผู้ป่วยโรคนี้เพียง 10% ที่มีชีวิตอยู่นานกว่า 10 ปี
ใครที่ป่วยเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนที่ฮอว์กิงเป็น ก็มีโอกาสมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า โดยคนส่วนใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้จะมีอายุอยู่ในช่วง 50-70 ปี โดยคาดว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ 2-5 ปีหลังมีอาการพูดไม่ชัด กลืนอาหารได้ลำบากและกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ครอสเดลล์กล่าวว่า แพทย์ประจำตัวของฮอว์กิงไม่ให้ความเห็นถึงอาการของฮอว์กิงแก่สื่อ
อาจจะมีบางสาเหตุที่ทำให้อาการของฮอว์กิงเลวลงช้ากว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ในโรคเดียวกัน โดยทาง อัล-ชาลาบิ และคณะกำลังวิเคราะห์ตัวอย่างดีเอ็นเอจากฮอว์กิงเปรียบเทียบกับผู้ป่วยรายอื่น เพื่อดูว่ามีบางอย่างที่จำเพาะสำหรับโรคของเขาหรืออาจมีการกลายพันธุ์ใดๆ ที่จะอธิบายได้ถึงการมีชีวิตอยู่ที่ยืนนาน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยคนอื่นๆ ได้
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าลักษณะการดูแลที่ฮอว์กิงได้รับ ซึ่งรวมถึงการดูแลตลอด 24 ชั่วโมงนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามีอายุที่ยาวนานขึ้น โดยในมุมของ เวอร์จิเนีย ลี (Virginia Lee) ผู้เชี่ยวชาญโรคทางสมองจากคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเพนน์ซิลวาเนีย (University of Pennsylvania) สหรัฐฯ ระบุว่า บางที่อาการของโรคอาจจะคงที่และการดูแลอย่างที่ฮอว์กิงได้รับอาจจะเป็นปัจจัยให้เขามีชีวิตรอด และการยังคงความกระตือรือร้นทางปัญญาก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฮอว์กิงมีความกระตือรือร้นดังกล่าว
“เขาคือคนที่น่าทึ่งจริงๆ เขาคือคนที่รู้จักจัดการหาวิธีรับมือกับทุกปัญหาที่โรครุมเร้า” อัลชาลาบิกล่าว และบอกว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคลูเกห์ริกนี้จะเสียชีวิตหลังจากกล้ามเนื้อควบคุมการหายใจหยุดทำงาน แต่เขาก็ไม่มีคำพยากรณ์ถึงปัญหาสุขภาพที่ฮอว์กิงจะได้รับในอนาคต
อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000006696
ก่อนวันเกิดปีที่ 21 ไม่นาน “สตีเฟน ฮอว์กิง” (Stephen Hawking) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) ของอังกฤษ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนอ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis: ALS) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่าโรคลู เกห์ริก (Lou Gehrig's disease) ซึ่งในสหราชอาณาจักรเรียกโรคนี้ว่าโรคประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Motor Neurone Disease) ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตหลังจากได้รับการวินิจฉัยเพียงไม่กี่ปี แต่เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาเขาเพิ่งมีอายุครบ 70 ปี
“ผมไม่เคยรู้จักใครที่รอดชีวิตมาได้นานขนาดนี้” เอพีระบุความเห็นของ อัมมาร์ อัล-ชาลาบิ (Ammar Al-Chalabi) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและดูแลผู้ป่วยโรคประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวบกพร่อง (Motor Neurone Disease Care and Research Centre ) ของมหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอน (King's College London) แม้ว่าเขาไม่ได้บำบัดดูแลฮอว์กิง หากแต่ได้ให้ความเห็นว่าการมีชีวิตอันยืนยาวดังกล่าวเป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา”
“มันไม่ใช่เรื่องปกตินักสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ที่มีชีวิตรอดมานานหลายทศวรรษ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก” ดร.รัพ แทนแดน (Dr.Rup Tandan) ศาสตราจารย์ประสาทวิทยาของวิทยาลัยแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ (University of Vermont College of Medicine) กล่าว โดยเอพีระบุว่าผู้ป่วยที่มีอายุยืนยาวตามที่แทนแดนกล่าวนั้นอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ หากแต่ฮอว์กิงไม่ได้ใช้เครื่องดังกล่าว
“ผมโชคดีที่อาการป่วยของผมเป็นไปอย่างช้าๆ กว่ากรณีปกติ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าคนเราอย่าได้สูญเสียความหวัง ผมมักจะได้รับคำถามบ่อยๆ ว่า “คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่เป็นโรคเอแอลเอส?” คำตอบก็คือ ไม่เท่าไร ผมพยายามจะใช้ชีวิตให้ปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่คิดถึงอาการป่วยของตัวเอง หรือไม่นึกเสียดายถึงสิ่งที่ขัดขวางผมในการได้ทำโน่นทำนี่ ซึ่งก็ไม่ได้มากมายนัก” บีบีซีนิวส์รายงานความเห็นของฮอว์กิง
เมื่อได้รับการวินิจฉัยในช่วงต้นๆ อาการของฮอว์กิงยังไม่รุนแรงนัก โดยมีอาการซุ่มซ่ามเล็กน้อย และมีอาการสะดุดกับล้มอย่างไม่สามารถอธิบายได้เพียงไม่กี่ครั้ง หากแต่โดยธรรมชาติของโรคแล้วอาการป่วยจะทรุดลงเรื่อยๆ โดยไม่มีทางรักษา ซึ่งการวินิจฉัยดังกล่าวสร้างความตกใจอย่างยิ่ง แต่ก็ได้ช่วยในการวางแผนกรอบอนาคตของเขา
“แม้ว่าตอนนั้นจะมีเมฆหมอกบดบังอนาคตของผม แต่ผมก็พบสิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ตัวเองนั่นคือผมมีความสุขในชีวิตขณะปัจจุบันมากกว่าที่ผ่านมา ผมเริ่มสร้างความก้าวหน้าให้งานวิจัยของตัวเอง และได้หมั้นหมายกับผู้หญิงที่ชื่อ เจน ไวล์ด (Jane Wilde) คนที่ผมได้พบในช่วงที่ได้รับการวินิจฉัยอาการป่วย การหมั้นหมายดังกล่าวได้เปลี่ยนชีวิตของผม และให้บางสิ่งที่ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้น” ฮอว์กิงกล่าว
บีบีซีนิวส์ระบุอีกว่า ตอนนี้แพทย์ยังคงอยู่ในความมืดมนว่าอะไรคือสาเหตุของโรคประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวผิดปกติ แต่เท่าที่ทราบคือ 5% ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากพันธุกรรม ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถส่งต่อความผิดปกติจากคนรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้
ในปี 1974 ฮอว์กิงและเจนซึ่งมีลูกด้วยกัน 3 คนได้จัดการดูแลอาการป่วยจากโรคเอเอสแอลด้วยวิธีของพวกเขาเอง ในตอนนั้นเขายังคงกินอาหารเองได้ ตื่นและเข้านอนได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าการเดินเป็นระยะทางไกลจะทำไม่ได้แล้ว แต่เมื่อหลายๆ อย่างเริ่มลำบากมากขึ้น และกล้ามเนื้อที่ไม่ทำงานก็ทำให้เขาล้มบ่อยขึ้น ฮอว์กิงและภรรยาจึงตัดสินใจรับนักศึกษามาอยู่ด้วยเพื่อช่วยดูแลธุระต่างๆ ภายในบ้าน โดยแลกกับการให้พักในบ้านและสอนหนังสือให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็เป็นที่แน่ชัดว่าฮอว์กิงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ และเขาต้องใช้ชีวิตหลังตื่นนอนทั้งหมดบนรถเข็น และในปี 1985 เขาก็มีอาการแทรกซ้อนมากขึ้นเมื่อป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ทำให้เขาต้องได้รับการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง โดยบีบีซีนิวส์ระบุว่าโรคเอเอสแอลทำให้ปอดของเขาอ่อนแอลง และต้องต่อสู้กับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางระบบประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง
เพื่อช่วยเหลือฮอว์กิงจากการหายใจที่ลำบาก เขาจึงต้องได้รับการศัลยกรรมเจาะคอเพื่อใส่ท่อเข้าไปแทนหลอดลม ซึ่งการรักษาดังกล่าวประสบความสำเร็จ แต่ก็ทำให้เขาไม่มีเสียงที่จะสื่อสารกับคนอื่น ในช่วงหนึ่งเขาสื่อสารด้วยวิธีกระพริบตาเลือกอักษรทีละตัวเมื่อมีใครชี้ไปยังตัวอักษรที่เขาต้องการเพื่อสะกดออกมาเป็นคำ หลังจากนั้น วอลท์ วอลทอสซ์ (Walt Waltosz) ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์จากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ซึ่งได้ยินเรื่องราวของฮอว์กิงก็ได้ส่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขาเขียนขึ้นเองมาให้ใช้คู่กับเครื่องสังเคราะห์เสียง
เอพีระบุว่าตอนนี้มีวิธีเดียวที่เขาจะสื่อกับคนอื่นได้นั่นคือการกระตุกแก้มข้างขวา โดยต้องอาศัยคอมพิวเตอร์และเครื่องสังเคราะห์เสียงเพื่อช่วยในการพูด ซึ่งเซนเซอร์แสงอินฟราเรดขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่บนแว่นตาของเขาจะเชื่อมต่อไปยังคอมพิวเตอร์ จากนั้นเซนเซอร์จะตรวจวัดการกระตุกของแก้มซึ่งเป็นการเลือกคำที่แสดงอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ จากนั้นคำที่ถูกเลือกก็จะถูกสังเคราะห์ออกมาเป็นเสียง ฮอว์กิงต้องใช้เวลา 10 นาทีเพื่อสร้างคำพูด 1 ประโยค
“ปัญหาเดียวของเครื่องสังเคราะห์เสียงคือมันทำให้ผมมีสำเนียงอเมริกัน” ฮอว์กิงระบุในเว็บไซต์ส่วนตัวของเขา และเครื่องสังเคราะห์เสียงนี้ช่วยให้เขาเขียนหนังสือเล่มใหม่คือ “The Grand Design” ด้วยเวลาถึง 4 ปี แต่ก็เลยกำหนดเวลาตีพิมพ์หนังสือของสำนักพิมพ์
ด้าน จูดิธ ครอสเดลล์ (Judith Croasdell) ผู้ช่วยส่วนตัวของฮอว์กิงบอกเอพีว่าเจ้านายของเธอเป็นผู้ป่วยที่ไม่ธรรมดา โดยวิธีที่เขาสื่อสารนั้นอาจจะช้าเกินทนสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคกีดกวางความคิดของเขา ซึ่งหลังจากอยู่โรงพยาบาลในช่วงสั้นๆ ฮอว์กิงบอกกับเธอว่า เขาใช้เวลาคิดเรื่องหลุมดำ โดยเจ้านายของเธอจะเข้าที่ทำงานหลังอาหารเช้ามื้อใหญ่และการอ่านข่าว แม้ว่าฮอว์กิงจะไม่ใช่คนไปทำงานเช้า แต่ก็ทำงานเลิกดึก 1-2 ทุ่มป็นประจำ
ครั้งแรกที่ฮอว์กิงได้รับความสนใจอย่างมากคือเมื่อปี 1988 ที่เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ “ประวัติย่อของกาลเวลา” (A Brief History of Time) ซึ่งเป็นการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับเอกภพอย่างง่ายๆ และหนังสือดังกล่าวได้ตีพิมพ์ไปทั่วโลกกว่า 10 ล้านเล่ม และทฤษฎีของเขาในเวลาต่อมาก็ได้ปฏิวัติความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับหลุมดำและทฤษฎีบิกแบง (Big Bang) ซึ่งอธิบายกำเนิดเอกภพ
เพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ฮอว์กิงทางมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์จึงได้จัดประชุมสัมมนาที่เปิดกว้างแก่สาธารณะในหัวข้อ “แถลงการณ์แห่งเอกภพ” (The State of the Universe) ซึ่งนอกจากฮอว์กิงเองแล้วยังมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำคนอื่นๆ อีกรวม 27 คนที่จะแสดงปาฐกถาในงานดังกล่าว แต่ปรากฏว่าในวันนั้นเขามีสุขภาพย่ำแย่เกินกว่าจะร่วมงานได้
ฮอว์กิงรับตำแหน่งศาสตราจารย์ลูคัสเซียน (Lucusian) ทางด้านคณิตศาสตร์ที่เคมบริดจ์ยาวนานถึง 30 ปี และเกษียณจากตำแหน่งดังกล่าวเมื่อปี 2009 โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในอดีตอย่าง เซอร์ ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) ก็ได้รับตำแหน่งเดียวกันนี้ ปัจจุบันฮอว์กิงเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่ศูนย์จักรวิทยาเชิงทฤษฎีของเคมบริดจ์ ซึ่งเขาประสบความสำเร็จทั้งหมดนี้ด้วยสภาพร่างกายที่เกือบจะเป็นอัมพาตทั้งตัว
สำหรับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสนี้จะเข้าจู่โจมประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะจะทุกข์ทรมานจากอาการอ่อนแรงและการสูญเสียกล้ามเนื้อ จากนั้นกลายเป็นอัมพาต และมีปัญหาในการพูด การกลืนอาหารและการหายใจ โดยมีผู้ป่วยโรคนี้เพียง 10% ที่มีชีวิตอยู่นานกว่า 10 ปี
ใครที่ป่วยเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนที่ฮอว์กิงเป็น ก็มีโอกาสมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า โดยคนส่วนใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้จะมีอายุอยู่ในช่วง 50-70 ปี โดยคาดว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ 2-5 ปีหลังมีอาการพูดไม่ชัด กลืนอาหารได้ลำบากและกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ครอสเดลล์กล่าวว่า แพทย์ประจำตัวของฮอว์กิงไม่ให้ความเห็นถึงอาการของฮอว์กิงแก่สื่อ
อาจจะมีบางสาเหตุที่ทำให้อาการของฮอว์กิงเลวลงช้ากว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ในโรคเดียวกัน โดยทาง อัล-ชาลาบิ และคณะกำลังวิเคราะห์ตัวอย่างดีเอ็นเอจากฮอว์กิงเปรียบเทียบกับผู้ป่วยรายอื่น เพื่อดูว่ามีบางอย่างที่จำเพาะสำหรับโรคของเขาหรืออาจมีการกลายพันธุ์ใดๆ ที่จะอธิบายได้ถึงการมีชีวิตอยู่ที่ยืนนาน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยคนอื่นๆ ได้
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าลักษณะการดูแลที่ฮอว์กิงได้รับ ซึ่งรวมถึงการดูแลตลอด 24 ชั่วโมงนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามีอายุที่ยาวนานขึ้น โดยในมุมของ เวอร์จิเนีย ลี (Virginia Lee) ผู้เชี่ยวชาญโรคทางสมองจากคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเพนน์ซิลวาเนีย (University of Pennsylvania) สหรัฐฯ ระบุว่า บางที่อาการของโรคอาจจะคงที่และการดูแลอย่างที่ฮอว์กิงได้รับอาจจะเป็นปัจจัยให้เขามีชีวิตรอด และการยังคงความกระตือรือร้นทางปัญญาก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฮอว์กิงมีความกระตือรือร้นดังกล่าว
“เขาคือคนที่น่าทึ่งจริงๆ เขาคือคนที่รู้จักจัดการหาวิธีรับมือกับทุกปัญหาที่โรครุมเร้า” อัลชาลาบิกล่าว และบอกว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคลูเกห์ริกนี้จะเสียชีวิตหลังจากกล้ามเนื้อควบคุมการหายใจหยุดทำงาน แต่เขาก็ไม่มีคำพยากรณ์ถึงปัญหาสุขภาพที่ฮอว์กิงจะได้รับในอนาคต
อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000006696
เอาคืนบ้าง ปลา ปลอมเป็น หมึก
![]() | ||
![]() | ![]() | ![]() |
ปลาอมไข่ที่ปลายลูกศรสีแดงพรางตัวเป็นส่วนหนึ่งของหนวดหมึกยักษ์พรางตัว (บีบีซีนิวส์) |
มองเผินๆ เหมือนดาวทะเล แต่ดูอีกทีคือหมึกพรางตัว (บีบีซีนิวส์)
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยพบ “หมึก” พรางตัวเป็นปลาสิงโตและงูทะเล ด้วยการดัดแปลงการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนสีให้กลมกลืน แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นปลาแอบปลอมตัวเป็นหมึกพรางตัวบ้าง
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงน (gottingen university) เยอรมนี รายงานว่าปลาอมไข่แบล็กมาร์เบิล (black-marble jawfish) ได้ปลอมตัวเองให้กลมกลืนไปกับหนวดหมึกยักษ์พรางตัว (mimic octopus) และรายงานเรื่องดังกล่าวลงวารสารคอรัลรีฟส์ (Coral Reefs) โดยการเลียนแบบกลับไปกลับมานี้เกิดขึ้นที่บริเวณชายฝั่งของอินโดนีเซีย
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าการค้นพบดังกล่าวเป็นหลักฐานแรกของการอยู่ร่วมกันที่ไม่ปกติระหว่างปลาอมไข่ (jawfish) ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า สตาลิกซ์ ซีเอฟ.ฮิสทริโอ (Stalix cf. histrio) ซึ่งเป็นปลาขี้ขลาดที่พบทั่วไปใกล้ๆ กับรูของพวกมันบริเวณพื้นทรายก้นทะเล และหมึกพรางตัวที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ธัวมอคโทปุส มิมิคัส (Thaumoctopus mimicus)
โกเดฮาร์ด คอปป์ (Godehard Kopp) เป็นผู้บันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวได้ และได้ส่งหลักฐานไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่สถาบันวิทยาศาสตร์แคลิฟอร์เนีย (California Academy of Sciences) ในซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ เพื่อช่วยจำแนกหลักฐานดังกล่าว
ดร.ลุยซ์ โรชา (Dr.Luiz Rocha) ภัณฑารักษ์ทางด้านมีนวิทยาสถาบันดังกล่าวระบุว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องพิเศษ ไม่เพียงเพราะปลาอมไข่พรางตัวได้ แต่ยังเป็นกรณีแรกที่ปลาชนิดนี้มีวิวัฒนาการไปสู่การเลียนแบบได้ โดยมันพรางตัวเพื่อให้หมึกยักษ์คอยปกป้องขณะหาอาหาร
อ้างอิงจาก http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=16784372.0
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)