.jpg)
เริ่มจาก รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กีรติสิน ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า อีโคไล ( E.coli ) หรือ เอสเชอริเชียโคไล ( Escherichia coli ) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยปกติคนเรามีเชื้ออีโคไล อาศัยอยู่ในลำไส้ อยู่แล้วทุกคนร่วมกับแบคทีเรียอื่นๆ อีกหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ จะไม่ใช้อีโคไลที่ก่อโรค บางทีก็มีประโยชน์เหมือนกัน เช่น ช่วยย่อยอาหาร ส่วนอีโคไลที่ก่อโรคจะพบได้ทั่วไปตามสิ่งแวดล้อมและในสัตว์ แม้ว่าชื่อเดียวกันแต่คนละสายพันธุ์กัน คือเป็นอีโคไลสายพันธุ์ก่อโรคในคนได้ ซึ่งเชื้อดังกล่าวสามารถก่อโรคได้หลายโรค รวมถึงโรคอุจจาระร่วงมีมากมายแต่ที่จัดกลุ่มกันไว้จะเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ที่มีลักษณะการดำเนินโรคและความรุนแรงที่แตกต่างกัน คือ

1. เอ็นเทอโรท็อกซิเจนิคอีโคไล หรือ อีเทค (Enterotoxigenic E.coli:ETEC) ส่วนใหญ่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วงที่ถ่ายเหลวแบบเป็นน้ำอาการมันไม่รุนแรงและส่วนใหญ่หายได้เองพบก่อโรคได้บ่อยโดยเฉพาะพื้นที่เขตร้อนอย่างในบ้านเราโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
2. เอ็นเทอโรพาโธเจนิคอีโคไล หรือ อีเปค (Enteropathogenic E.coli : EPEC) มักก่อโรคในเด็กเล็ก และพบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา ผู้ป่วยมักมีถ่ายเหลวเป็นมูก ถ่ายไม่มาก แต่มีอาการเรื้อรังได้นานเป็นเดือนๆ ในเด็กที่เป็นนานๆบางครั้งอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารแทรกซ้อนได้
3. เอ็นเทอโรอินเวสีฟอีโคไล หรือ อีอิค (Enteroinvasive E.coli:EIEC) เชื้อกลุ่มนี้จะก่อโรคได้รุนแรงขึ้น โดยเชื้อบุกรุกผนังลำไส้ทำให้เกิดแผลผู้ป่วยมัดปวดเกร็งท้องมาก และอาจถ่ายเป็นมูกปนเลือดออกมาได้ แต่พบก่อโรคได้ไม่บ่อย
4. เอ็นเทอโรแอ็กกรีเกทีฟอีโคไล หรือ อีเอค (Enteroaggregative E.coli:EAEC) เชื้อกลุ่มนี้ก่อให้เกิดอาการที่หลากหลาย อาจถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกและอาจก่อให้เกิดท้องร่วงเรื้อรังได้ แต่ยังไม่ทราบกลไกก่อโรคที่แน่ชัดนัก
5. เอ็นเทอรโรเฮโมราจิคอีโคไล หรือ อีเฮค (Enterohemorrhagic E.coli : EHEC) เป็นเชื้อที่ก่อโรคได้รุนแรงมากที่สุด อาการผู้ป่วยมีความหลากหลายตั้งแต่ท้องร่วงถ่ายเหลวเป็นน้ำธรรมดา บางรายอาจถ่ายเป็นมูก แต่อาจมีผู้ป่วยบางส่วนที่อาการรุนแรงมากได้ เนื่องจากเชื้อสามารถบุกรุกผนังลำไส้ทำให้เกิดแผลรวมถึงเชื้อยังสามารถสร้างสารพิษ “ชิกา” (Shiga toxin) สารพิษนี้สามารถกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ แม้ว่าตัวเชื้ออีโคไลจะไม่ได้เข้าไปในเลือดด้วย โดยเชื้อจะอยู่ในลำไส้และสร้างสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสารพิษจะไปออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 ระบบใหญ่ๆ คือ ในระบบเลือดโดยจะไปทำลายเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเป็นผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะซีดเฉียบพลันรวมถึงทำลายเกล็ดเลือด ทำให้เลือดลดต่ำลงอย่างมาก เป็นผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกง่าย ผู้ป่วยจึงอาจเกิดจ้ำตามเลือดผิวหนังและมีเลือดออกที่อวัยวะต่างๆ ภายในได้ อีกระบบหนึ่งคือสารพิษจะไปออกฤทธิ์ทำลายไต หน้าที่การงานของไตเสียไป จึงทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน ภาวะทั้งสามนี้ (ซีดจากเม็ดเลือดแดงแตก เลือดออกจากเกล็ดเลือดต่ำ และไตวาย) เรียกรวมกันว่ากลุ่มอาการ “ฮีโมไลติค ยูเรมิค ซินโดรม” หรือ “เอชยูเอส” (Hemolytic uremic syndrome :HUS) ซึ่งถือเป็นภาวะที่รุนแรงมาก ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับเชื้ออีโคไลที่ระบาดอยู่ในประเทศเยอรมนีจนทำให้มีผู้ป่วยมากกว่าพันคน (และยังอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง) และมีผู้เสียชีวิตหลายรายก็คือเชื้ออีโคไล ในกลุ่มอีเฮค (EHEC) นี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อโรคได้รุนแรงมากที่สุดดังกล่าวข้างต้น มีการแบ่งกลุ่มย่อยของเชื้อในกลุ่มอีเฮค ลงอีกตามชนิดของแอนติเจนโอ (O-antigen) ซึ่งเป็นโมเลกุลอยู่ที่ผนังเซลล์ของเชื้อ และเรียกชื่อเป็นหมายเลขตามชนิดของแอนติเจนโอ ซึ่งเชื้อในกลุ่มอีเฮคที่พบก่อโรคและเป็นสาเหตุการระบาดได้บ่อยที่สุด คือ โอ-157 ส่วนใหญ่พบก่อโรคในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น เคยมีรายงานการระบาดในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริการวมถึงเคยมีการสันนิษฐานว่าอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เชื้อดังกล่าวเป็นอาวุธชีวภาพได้
สำหรับเชื้ออีโคไลกลุ่ม “อีเฮค” ที่ระบาดในประเทศเยอรมนีขณะนี้พบว่าไม่ใช่ โอ-157 มีรายงานเชื้อต้นว่าอาจจะเป็น โอ-104 แต่ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนโรค ยังมีอีกหลายสายพันธุ์ เช่น โอ-111 ก็อาจเป็นสาเหตุก่อโรค ดังกล่าวได้เช่นกัน คงต้องรอผลการพิสูจน์ เชื้อเพิ่มเติมต่อไป

โอกาสที่เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่ระบาดในประเทศเยอรมนีจะก่อโรคในคนไทยมีน้อยมากเพียงใด? รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กล่าวว่าเชื้อในกลุ่มนี้ยังไม่มีรายงานการก่อโรค หรือระบาดในประเทศไทยเชื้อพวกนี้ติดต่อทางการกิน เชื้อสามารถปนเปื้อนมากับน้ำและอาหารได้หลากหลายประเภท เคยมีรายงานการระบาดที่พบเชื้อในอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ด เช่น ในแฮมเบอร์เกอร์เชื้ออาจปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ถ้าปรุงไม่สุกก็อาจก่อโรคได้ รวมทั้งในผักและผลไม้ต่างๆ ก็สามารถพบเชื้อได้ การป้องกันการได้รับเชื้อที่สำคัญที่สุดคือหลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบ ดังนั้นต้องกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนที่เหมาะสมส่วนผักและผลไม้ จะค่อนข้างป้องกันยากเพราะนิยมกินสด ที่ระบาดในประเทศเยอรมนีคราวนี้อยู่ในระหว่างสันนิษฐานว่ามาจากผัก จึงต้องอาศัยการล้างให้สะอาดเป็นหลัก เพราะเชื้อจะอยู่ตามสิ่งแวดล้อมตามน้ำ ตามดิน ได้ทั่วไป
“ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันการติดเชื้อกลุ่มนี้ได้ แต่ไม่อยากให้ประชาชนกังวลหรือตกใจ ควรป้องกันโรคด้วยการรักษาสุขอนามัย ตามปกติ คือการกินอาหารที่ปรุงสุกในขณะที่ยังร้อน ดื่มน้ำที่สะอาดได้มาตรฐาน และล้างผักผลไม้ให้สะอาด ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่ควรทำในชีวิตประจำวันเท่านี้ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้งอีโคไล และเชื้ออื่นๆ อีกหลายตัวที่เป็นสาเหตุก่อโรคอุจจาระร่วงได้” รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กล่าว
ด้าน นพ. ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณะสุข พร้อมด้วย น.ส.กรองแก้ว ศุภวัตน์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญด้านบัคเตรีลำไส้ และ น.ส.ศรีวรรณา หัทยานนท์ นักวิทยาศาสตร์ การแพทย์ชำนาญการ ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้
โดย นพ.ปฐม อธิบายว่า อีโคไล (E.coli) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีทั้งก่อโรคและไม่ก่อโรค โดยอีโคไลทำให้เกิดโรคในคนได้ ดังนี้ 1. โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบกรวยไตอักเสบ นิ่วในไตโดยการเกิดโรคมักมีสาเหตุมาจากเชื้ออีโคไลที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของผู้ป่วยเอง
2. โรคติดเชื้อ อื่นๆ เช่น โลหิตติดเชื้อ ไส้ติ่งอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในตับ
3. โรคอุจจาระร่วง เชื้ออีโคไลเป็นแบคทีเรียประจำถิ่น พบมากในลำไส้คนสัตว์เลือดอุ่น มีเชื้ออีโคไลบางสายพันธุ์ทำให้เกิดอุจจาระร่วงได้ทั้งในคนและสัตว์โดยเชื้ออาจปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม น้ำนม โดยเชื้ออีโคไลที่ก่อโรคอุจจาระร่วงแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ตามกลไลการก่อโคร คือ เอ็นเทอโรท็อกซิเจนิคอีโคไล, เอ็นเทอโรพาโธเจนิคอีโคไล, เอ็นเทอโรอินเวสีฟอีโคไล, เอ็นเทอโรแอ็กกรีเกทีฟอีโคไล, เอ็นเทอรโรเฮโมราจิคอีโคไล

สำหรับเชื้ออีโคไลที่ระบาดใรประเทศเยอรมนีนั้นเป็นแบคทีเรียก่อโรคอุจจาระร่วงในกลุ่ม เอ็นเทอโรเฮโมราจิคอีโคไล หรือ “ชิกา ท็อคซิน โปรดิวซิ่งอีโคไล” คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ โอ-104 ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2538 โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ส่งเชื้ออีโคไลมาให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์โดยฝ่ายแบคทีเรียลำไส้ตรวจยืนยันสายพันธุ์กว่า 1,000 เชื้อต่อปี จนถึงปัจจุบัน ตรวจไปแล้วกว่า 10,000 เชื้อ ปรากฏว่ายังไม่พบ โอ-104 ในประเทศไทยแต่อย่างใด
แม้ประเทศไทยจะยังไม่พบ โอ-104 แต่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เฝ้าระวังเชื้ออีโคไลอยู่แล้ว กรณีสันนิษฐานว่าเชื้อน่าจะปนเปื้อนในผักนั้นคงต้องบอกว่าผักจากยุโรปไม่ค่อยมีการนำเข้ามาประเทศไทยเนื่องจากราคาแพง ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน คือโอกาสที่เชื้อจะเข้ามาประเทศไทยน้อยมากดังนั้นไม่ควรตื่นตระหนก สำหรับข้อแนะนำประชาชนทั่วไปคือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43620
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น