
เริ่มจากบิกแบง เอกภพเริ่มพองตัวและจบการพองตัวภายในช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่งของเสี้ยววินาที เอกภพหลังช่วงพองตัวจะเป็นช่วงที่มีการสร้างอนุภาคและปฏิอนุภาคมูลฐานขึ้นในเอกภพ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอนุภาคมูลฐานที่ถูกสร้างในขณะนั้นคือ ควาร์ก และแอนติควาร์ก แบบต่างๆ อิเล็กตรอนและโพสิตรอน (และเลปตรอนอื่นๆ) อนุภาคส่งแรงได้แก่ โฟตอน (อนุภาคของแสง) ดับเบิลยูและแซ็ดโบซอน กลูออน อนุภาคและปฏิอนุภาคมูลฐานเหล่านี้ถูกอธิบายโดยทฤษฏีอนุภาคแบบมาตรฐาน (Standard model of particles physics)

.jpg)
รูป Particle Zoo เป็นตุ๊กตาน่ารักๆแสดงอนุภาคและปฏิอนุภาคต่างๆที่มีในทฤษฏีอนุภาคแบบมาตรฐาน (ไม่ได้หมายความว่าอนุภาคหรือปฏิอนุภาคจริงๆ จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบนี้นะ)
เมื่ออายุของเอกภพได้ 10-5 วินาที (นับจากบิ๊กแบง) พวกควาร์กก็ได้รวมกลุ่มกันผ่านอนุภาคส่งแรงกลูออน เกิดเป็นโปรตอน นิวตรอน ขึ้น ส่วนพวกแอนติควาร์กก็ได้รวมกลุ่มกันผ่านกลูออนเกิดเป็นแอนติโปรตอน แอนตินิวตรอน เมื่ออายุของเอกภพเริ่มมาก พลังงานในตัวเอกภพก็เริ่มลดลง จนอายุ 3แสนปี เป็นเวลาที่โปรตอนรวมกับอิเล็กตรอนกลายเป็นอะตอมไฮโดรเจน กล่าวได้ว่า เมื่อเอกภพอายุ 3 แสนปีก็ได้มีอะตอมขึ้น และเวลาก็ผ่านไปและผ่านไป ไฮโดรเจนได้ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันกับไฮโดรเจนอื่น เกิดเป็นธาตุหนักขึ้นอย่างฮีเลียม ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ดำเนินต่อเรื่อยๆ ทำให้เกิดธาตุหนักขึ้นและหนักขึ้น ทำให้ในปัจจุบัน เราสำรวจพบธาตุต่างๆ ตั่งแต่ธาตุเบาจนถึงธาตุหนัก ดั่งที่เราเห็นในตารางธาตุที่เห็นได้ในหนังสือเรียนวิชาเคมี
ประวัติศาสตร์ของเอกภพมีความสอดคล้องเป็นอย่างดีกับผลการสังเกตทางดาราศาสตร์ แต่ก็ยังมีปัญหา*อยู่อีกมาก หนึ่งในปัญหาคือไม่สามารถอธิบายผลการสังเกตที่พบว่า ปฏิสสาร หรือปฏิอนุภาค ได้หายไปจากเอกภพยุคหลัง (ตามรูปคือ ตั้งแต่เอกภพอายุ 100 วินาที จนถึงปัจจุบัน) นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยตรวจพบกระจุกหรือระบบดาวที่ประกอบจากปฏิสสาร
ช่วงเวลาที่เอกภพหลังจบการพองตัวจะเป็นช่วงที่มีการสร้างอนุภาคมูลฐาน และปฏิอนุภาคมูลฐาน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจำนวนของอนุภาคจะต้องเท่ากับจำนวนของปฏิอนุภาค แต่สิ่งที่สังเกตได้ในปัจจุบันนี้ เราเห็นแต่สสาร ปฏิสสารมีอยู่น้อยมากหรือแทบจะไม่มี ปฏิสสารหายไป และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่ากลไกอะไรที่ทำให้ปฏิอนุภาคหรือปฏิสสารลดลงจนหายไปจากเอกภพ
*หมายเหตุ คำว่า ปัญหาของทฤษฎี หรือทฤษฏีมีปัญหา จะหมายถึง ทฤษฎีนั้นไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เพิ่งจะสังเกตหรือจากการทดลองใหม่ๆ บางอย่างได้
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น