วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การถอดรหัส (Transcription) คือ อะไร (What is transcription ?)



การถอดรหัส (Transcription)
การถอดรหัส (Transcription) คือ กระบวนการการสร้างอาร์เอ็นเอ (RNA synthesis)จากดีเอ็นเอ(DNA) โดยอาศัยดีเอ็นเอ(DNA)ในส่วนที่เป็นยีน(gene)เป็นสายแม่แบบ(Template strand)ในการสร้างอาร์เอ็นเอ (RNA synthesis) หรือการถอดรหัส (Transcription) เนื่องจากทั้งอาร์เอ็นเอ(RNA)และดีเอ็นเอ(DNA)ต่างเป็นกรดนิวคลิอิกซึ่งใช้ลำดับคู่เบสของนิวคลีโอไทด์(Nucleotide)เป็นส่วนที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary) (สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้หากมีเอนไซม์ที่เหมาะสม) ในช่วงการถอดรหัส(Transcription)นั้นสายดีเอ็นเอ(DNA)ทั้ง2สายที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary)จะถูกแยกออกจากกันเฉพาะส่วนที่จะใช้ในการถอดรหัส(Transcription) ลำดับดีเอ็นเอ(DNA)จะถูกอ่านโดยเอนไซม์อาร์เอ็นเอพอลีเมอเรส (RNA polymerase) ซึ่งจะสร้างคู่เบสของนิวคลีโอไทด์(Nucleotide)ที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary)กับดีเอ็นเอ(DNA)ส่วนที่เป็นแม่แบบ(Template strand) โดยทิศในการสร้างสายอาร์เอ็นเอ(RNA)จะสร้างจากทิศ 5’ ไป 3’  โดยที่ทิศของสายอาร์เอ็นเอ(RNA)จะขนานสวนกัน(anti-parallel)กับทิศของสายดีเอ็นเอ(DNA)ส่วนที่เป็นแม่แบบ(Template strand) การถอดรหัส(Transcription)จะทำให้ได้สายอาร์เอ็นเอ(RNA)มีส่วนเบสของนิวคลีโอไทด์ที่เข้าคู่กันได้อย่างดี(complementary)กับดีเอ็นเอ(DNA) ที่มีเบสยูราซิล (Uracil, U) แทนที่ตำแหน่งของเบสไทมีน (Thymine, T) ที่เคยมีในสายดีเอ็นเอ(DNA)คู่นั้นๆ

ตัวอย่างสัตว์ที่ดัดแปลงพันธุกรรม


1.   “ หนู ”   ที่ส่งเสียงร้องเหมือนนก
นักวิทยาศาสตร์ประเทศญี่ปุ่นพัฒนา  “ หนู ”   ที่ส่งเสียงร้องเหมือนนกได้โดยบังเอิญ  ผ่านการตัดต่อพันธุวิศวกรรมที่ตั้งใจจะผลิตหนูขาสั้นและมีหางให้มีรูปร่างเหมือนสุนัขดัชชุนด์  กลายเป็นวิวัฒนาการใหม่ที่อาจนำมาต่อยอดพัฒนาเรื่องระบบภาษาและการพูดของมนุษย์ในอนาคต
ผลงานครั้งนี้เป็นของมหาวิทยาลัยโอซาก้า  นำโดยอาริคูนิ  อูชิมูระ  ตัดต่อพันธุกรรมของหนูให้เหมือนการกลายพันธุ์  ซึ่งเป็นหนทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ  ได้หนูที่จะร้องหวีดหวิวเมื่อถูกนำไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่  หรือเมื่อตัวผู้เจอตัวเมีย
หลังตัดต่อพันธุกรรม  เราตรวจดูหนูเกิดใหม่ทุกวัน  ทุกตัวแล้ววันหนึ่งก็พบว่ามีหนูที่ร้องเพลงได้เหมือนนก จากทีแรกที่คิดว่าจะพบว่ารูปร่างผิดปกติไปตามที่ตั้งใจ  ตอนนี้เรามีหนูที่ร้องได้เหมือนนกกว่า 100 ตัวแล้ว "  อูชิมูระ กล่าว
หนูเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  มีความใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่านก  จึงดีกว่าถ้านำมาศึกษาเรื่องระบบภาษาและการพูดของมนุษย์

2.  GloFish
ปลาม้าลายเรืองแสงเป็น  ปลาที่ไม่ได้พบเห็นในธรรมชาติ(แน่นอน)  เพราะมันเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม โดยนำยีนจากแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลชนิดพิเศษ  ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนที่เรืองแสงได้เองตามธรรมชาติใน  ไปใส่ไว้ในสายของดีเอ็นเอที่ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของปลาม้าลาย  จึงทำให้ปลาม้าลายซึ่งปกติมีลักษณะใสและไม่เรืองแสง เปลี่ยนแปลงลักษณะกลายไปเป็นปลาม้าลายที่เรืองแสงได้  เช่นเดียวกับแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลที่เป็นเจ้าของดีเอ็นเอนั้นๆ  โดยการทดลองนี้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์นำโดย  ดร.ซีหยวน  กง  (Dr. Zhiyuan Gong) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ปลาม้าลายเรืองแสงเหล่านี้เป็นตัวสภาพ ความเป็นพิษของแหล่งน้ำ   
ปัจจุบันมีการซื้อขายปลาม้าลาย เรืองแสงสีแดงในชื่อ  โกลฟิช (GloFish)  เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐฯ  ในเดือนมกราคม  2004  โดยก่อนหน้านั้น  มีการทดลองเพื่อตรวจสอบประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดเป็นเวลานานกว่า  2  ปี  จนในที่สุดองค์การอาหารและยา  (Food and Drug Administration, FDA) ของประเทศสหรัฐฯ  ก็อนุญาตให้จำหน่ายได้ โดยระบุชัดเจนว่า  “ ไม่มีหลัก ฐานว่าปลาม้าลายดังกล่าวมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าปลาม้าลายทั่วไปแต่อย่างใด ”

3.  Umbuku Lizard
  เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ไม่มี  เหตุผลหรือวัตถุประสงค์ ในการดัดแปลงพันธ์กรรม  แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสามารถทำได้  โดยพันธุกรรมในซิมบับเว  ได้จัดการดัดแปลงให้ตุ๊กแกสัตว์พื้นเมืองที่มีขนาดเล็กและหายากในแอฟริกา  โดยทำให้มันบินได้  แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า Umbuku Lizard

4.  Dolion
  มันน่าจะเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น  ที่สุดของวิทยาศาสตร์ที่  สามารถนำ  DNA  มาใช้ได้อย่างเหลือเชื่อ Dolion  เป็นการดัดแปลงพันธุกรรมระหว่างสิงโตและสุนัข  จนได้ผลิตผลสัตว์เหลือเชื่อนี้ (บนโลกมีสัตว์ชนิดนี้แค่สามตัวและมันอยู่ในห้องปฏิบัติการ  ภาพด้านข้างมีชื่อว่า Rex ซึ่งเป็นตัว แรก และข้อมูลของมันไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ (มันจะดุเหมือนสิงโตไหมนี้)

5.   Fern Spider
 
แมงมุมเฟิร์นไม่ซ้ำกันในรายการที่เอาสัตว์และพืชมารวมกัน  เป็นการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยใช้  แมงมุมพันธุ์ในอิตาลีชื่อ  Wolf spider  (Lycosa tarantula) และ ponga fern (Cyathea dealbata)  วัตถุประสงค์ในการผสมพันธุ์มหัศจรรย์นี้คือการศึกษาอัตราการรอดของแมงมุมใน ธรรมชาติ  การทดลองนี้เป็นของ  ในนิวซีแลนด์  แต่ผลการศึกษายังไม่เผยแพร่

7.  Lemurat
 
ความมั่งคั่งของคนรวยชาวจีนกำลังเพิ่มขึ้น  พวกเขากำลังมองสัตว์เลี้ยงที่แปลกใหม่เอาไว้โอ้อวดเงินทองของพวกเขา  และนั้นเองจึงเป็นที่มาของบริษัทวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์จีนในการแข่งขันผลิตสัตว์ข้ามสายพันธุ์ให้ประสบผลสำเร็จมากที่สุด(เพื่อการเงิน  จนที่สุดพวกเขาก็ได้แมวพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมระหว่างพวกลิงและแมว  ทำให้ได้สัตว์ที่มีขนนุ่มหลายสีของแมว  และหางลายและตาเหลืองที่มักพบในสัตว์จำพวกลิง  โดยทั่วไปมันไม่อันตราย    และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Prolos Fira

8.  Cats glow
 
แมวเรืองแสงเกิดจาก  ดัดแปลงพันธุกรรมโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเกาหลีใต้ ทำให้แมวมีสามารถเรืองแสงได้ในความมืดเมื่อสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต  
โดย กง อิลคุน ผู้เชี่ยวชาญด้านโคลนนิ่ง  มหาวิทยาลัยแห่งชาติยองซัง  ได้สร้างแมวขึ้นมา  3  ตัว  แมวเหล่านี้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมในส่วนของยีนที่ผลิตโปรตีนฟลูออเรสเซนต์  นับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการโคลนแมวที่ถูกดัดแปลงยีนดังกล่าวตอนแรกพวกเขาได้แมว  3  ตัว  แต่ตอนนี้เหลือรอดชีวิตเพียง  2  ตัว  และเติบโตจนมีน้ำหนัก  3  กก และ  3.5  กก โดยวัตถุประสงค์ในการทดลองนี้ก็เพื่อนำ เทคโนโลยีไปใช้ในการโคลนแมวที่มียีนผิดปกติ  รวมทั้งมีประโยชน์ในการพัฒนาการรักษาโรคโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์  หรือจะนำมาใช้ในการโคลน สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดต่างๆ  เช่น  เสือ  เสือดาว  และแมวป่าก็ยังได้

อ้างอิงจาก http://genetic.siam2web.com/?cid=1505554

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทคโนโลยีเขียนหนังสือด้วย"สายตา"


อีกไม่นานนี้ ผู้พิการแขนและขาจะสามารถ"เขียนหนังสือ"ได้ด้วยตาแล้ว ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส
เทคโนโลยีการเขียนด้วยสายตานี้จะจับกลไกของกล้ามเนื้อประสาทให้ทำสิ่งที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ นั่นคือ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในทิศทางที่แปลกๆได้อย่างนิ่มนวล
"สำหรับคนที่แขนขาขยับไม่ได้ เทคโนโลยีนี้คือคำตอบที่ทำให้การสื่อสารทางภาษาและความรู้สึกเกิดขึ้นได้เร็ว สร้างสรรค์ และมีความจำเพาะกับคนๆนั้น" ดร.ชอง โลรองโก้ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยของ Centre National de la Recherche Scientifique (CNRS) ฝรั่งเศสเผยในวารสารวิชาการ Current Biology
เทคโนโลยีของ ดร.โลรองโก้นี้จะติดอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของสายตาในช่วงคลื่นอินฟราเรดไว้ที่ศีรษะ เพื่อบันทึกการเคลื่อนไหวของตา และใช้ซอฟต์แวร์ในการสร้างการแสดงผลเสมือนที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบได้
นักวิจัยให้ผู้ทดสอบฝึกซ้อม 30 นาทีเป็นเวลา 3 ครั้ง และผู้ทดสอบส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่า สายตาสามารถคัดลายมือต่อๆกันไปได้อย่างราบลื่น ตลอดจนเขียนตัวเลข และลายเซ็นบนจอเสมือนได้อย่างสวยงาม
ในการเขียนนี้ ผู้ทดสอบจะไม่สามารถมองเห็นตัวอักษรที่เขียนได้ แต่จะเป็นเพียงแค่ภาพสีดำและขาวที่กระพริบสลับไปมาบนจอสีเทา คล้ายกับหมึกที่มองไม่เห็น
จุดเหล่านี้จะทำให้เกิดภาพลวงตาที่เรียกว่า "reverse phi motion" (ดูตัวอย่างได้จากคลิปประกอบ) ที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า จอกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับสายตา
ดร.โลรองโก้ ชี้ว่า ภาพลวงตาเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้ทดสอบมีการเคลื่อนไหวของสายตาที่ราบลื่นไปในทิศทางที่ต้องการ
ดร.โลรองโก้ อธิบายว่า เราสามารถติดตามรถที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างราบลื่น แต่ฉากหลังที่ไม่ได้เคลื่อนที่ไปด้วยอย่างตึกรามบ้านช่อง ตาจะมีการเคลื่อนไหวแบบ "กระตุก" หรือที่เรียกว่า saccade (ตาเคลื่อนไหวเร็ว) เนื่องจากว่าตามักจะสนใจเฉพาะส่วนที่เป็นจุดๆเท่านั้น
"ถ้าคุณพยายามจะเคลื่อนไหวสายตาให้ราบลื่น บอกได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้หรอก" ดร.โลรองโก้ชี้ "ระบบเสมือนที่เรามีจำเป็นจะต้องมีเป้าหมายที่เคลื่อนที่ (เพื่อให้ตามีการเคลื่อนไหวที่ราบลื่น) "
โดยทั่วไปแล้ว คนจะรู้ว่าสิ่งที่มองอยู่นั้นคืออะไร แต่จะไม่รู้ตัวว่าตากำลังเคลื่อนที่ไปอย่างไร
"การแสดงผลนี้ออกมาตรงกันข้ามเลย คุณจะไม่ได้สนใจสิ่งที่คุณเห็น แต่จะสนใจว่าคุณเคลื่อนไหวสายตาอย่างไร" ดร.โลรองโก้อธิบาย
นักวิจัยเชื่อว่า หากให้ผู้ทดสอบฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้คนที่มีความบกพร่องด้านการเรียนรู้สามารถควบคุมสายตาตนเองได้ และจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญที่ต้องมีสายตาที่ดีอย่างศัลยแพทย์และนักกีฬา สามารถทำหน้าที่ได้ยอ่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเชื่อว่า การฝึกซ้อมอาจไม่ได้ผลกับทุกคน โดยในการทดลองฝึกคน 6 กลุ่มนั้น มีเพียง 4 กลุ่มเท่านั้นที่มีการควบคุมสายตาที่ดีขึ้น
ทางด้านรองศาสตราจารย์ไมค์ ฮอร์สลีย์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อเทคนิคการเรียนรู้และการศึกษา มหาวิทยาลัยซีคิว ชี้ว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่ล้ำค่าและจะมีประโยชน์ในอนาคต
"เขามองการเคลื่อนไหวของตาแบบรวดเร็วนี้ในมุมที่แตกต่างออกไป"
"ก้าวต่อไปของ ดร.โลรองโก้ และทีมงานก็คือ ใช้เป้าหมายให้มากขึ้นดูว่าคนสามารถทำอะไรกับมันได้"
รศ.ฮอร์สลีย์ บอกว่า งานวิจัยเรื่องการตรวจจับการเคลื่อนไหวของสายตานั้นกำลังเติบโตอย่างมากในวงการตรวจจับการเคลื่อนไหวของตาในออสเตรเลีย และอีกไม่นานนี้ น่าจะมีการประยุกต์นำงานวิจัยเรื่องการตรวจจับสายตามาใช้ได้อย่างน่าทึ่ง

แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2012/07/27/3554096.htm

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154464

นักวิทย์ยุโรปปิ๊ง'อาหารอัจฉริยะ'จี้สมองให้อิ่ม


ในเมื่อความอ้วนส่วนใหญ่เกิดจากการตามใจปาก อยากกินอะไรก็หามากิน และเมื่อไม่ออกกำลังกายทำให้เกิดส่วนเกินสะสม นักวิจัยเนเธอร์แลนด์พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการพัฒนา 'อาหารอัจฉริยะ' ที่สามารถสื่อสารไปยังสมองเพื่อบอกให้หยุดกิน และอิ่มได้แล้ว
เจนส์ โฮล์สต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ร่วมกับจูเลียน เมอร์เซอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอ้วนจากมหาวิทยาลัยอาเบอร์ดีน ประเทศอังกฤษ กำลังค้นคว้าเรื่องดังกล่าว

โฮล์สต์ กล่าวว่า สารอาหารจะสื่อสารกับเซลล์ของลำไส้ จากนั้นจะมีการสื่อสารเชิงเคมี โดยส่งฮอร์โมนไปบอกสมองว่ากระเพาะเต็ม อิ่มได้แล้ว โดยในลำไส้จะมีเมโลกุลเล็กๆ ที่ชื่อ กลูคากอน ไลก์ เปปไทด์-วัน หรือ GLP-1 ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเกี่ยวกับความอยากอาหารไปยังสมอง

ทั้งนี้ ทีมวิจัยหวังว่าการค้นพบจะนำไปสู่การผลิตยาที่เลียนแบบการส่งข้อความไปยังสมอง เพื่อแก้ปัญหาโรคอ้วนอย่างได้ผล



ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด
256598

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154477

พื้นผิวน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ละลายฉับพลัน กับความคลาดเคลื่อนในการตีความ


  เมื่อ 2-3 วันก่อน องค์การนาซ่าได้เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมของเกาะกรีนแลนด์ ในภาพแสดงพื้นที่ที่เคยเป็นน้ำแข็ง (สีขาว) ในวันที่ 8 กรกฎาคม (ภาพซ้าย) เปลี่ยนเป็นสีแดงในวันที่ 12 กรกฎาคม (ภาพขวา) ซึ่งหมายถึงมีการละลายของน้ำแข็งเกิดขึ้น  พื้นที่สีแดงกินบริเวณกว้างถึง 97% ของพื้นที่เกาะ

             ในช่วงแรกนักวิทยาศาสตร์คิดว่าระบบดาวเทียมทำงานผิดพลาด เพราะการละลายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 4 วันเท่านั้น แต่เมื่อได้ตรวจสอบกับข้อมูลจากดาวเทียมหลายดวงปรากฏว่าให้ผลตรงกัน จึงยืนยันได้ว่าเกิดการละลายขึ้นจริง

             เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก และสร้างความแตกตื่น กระแสตอบรับส่วนเป็นในทำนองว่า
"มันเริ่มแล้วสินะ" "โลกใกล้อวสานไปทุกที" "น้ำท่วมโลกแน่" ฯลฯ
             ถึงขนาดมีการคำนวณปริมาณน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ว่าถ้าละลายเป็นน้ำจะทำให้ระดับน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นเท่าไหร่

จริงๆ แล้ว มันน่ากลัวขนาดเลยหรือ?             ประเด็นหนึ่งที่ดูเหมือนหลายคนจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากรายงานของนาซ่าก็คือ เรื่องความหมายของตัวเลข 97%

ซึ่งอาจเป็นเพราะการตีความของผู้รับสารเองที่ตีความเพี้ยนไป หรืออาจเพราะนำเสนอที่ไม่ชัดเจน ไม่ได้ระบุลงไปว่า 97% นี้หมายถึงอย่างไร

             จึงขอย้ำไว้ที่นี้เลยว่า การละลายของน้ำแข็ง 97% นั้นหมายถึง ผิวหน้าของน้ำแข็ง 97% ของพื้นที่น้ำแข็งทั้งหมดมีการละลาย ไม่ใช่ ปริมาณน้ำแข็ง 97% บนเกาะละลายหายไป

              เทียบง่ายๆ สมมุติ มีน้ำแข็งอยู่ 10 ก้อน หยิบมาดูพบว่ามี 9 ก้อนที่เริ่มมีน้ำหยดๆ ส่วนอีก 1 ก้อน ยังแข็งแห้งเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ใช่ว่า 9 ก้อนนั้นเหลวเป็นน้ำไปหมด

             ในรายงานของนาซ่าระบุไว้ว่า โดยปกติช่วงหน้าร้อนประมาณ 50% ของพื้นพี่จะมีการละลายของน้ำแข็งอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงครึ่งหนึ่งของพื้นที่มีการละลาย อีกครึ่งไม่ละลายเลย และครึ่งที่ละลายก็ไม่ได้ละลายหายไปหมด แต่ละลายแค่ผิวหน้า เมื่อน้ำที่ละลายไหลไปแถวๆ ชายฝั่งก็จะแข็งตัวอีกครั้ง เป็นสมดุลของปริมาณน้ำแข็งบนเกาะ

             เพียงแต่เหตุการณ์คราวนี้ พื้นที่ที่เกิดการละลายเพิ่มขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา และขยายพื้นที่อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าปริมาณน้ำที่ละลายออกมามากน้อยแค่ไหน และจะกลับเป็นน้ำแข็งเหมือนที่ผ่านๆ หรือไม่ การละลายนี้จะส่งผลให้มวลน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ลดลงหรือไม่ ยังไม่มีข้อสรุป

             แม้หลายฝ่ายจะแสดงความเห็นในทำนองว่า "ไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ที่แปลกขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต" แต่การไม่เคยพบเห็นก็ไม่ได้หมายความว่า "เป็นเรื่องผิดปกติ"
             ช่วงชีวิตของคนไม่ได้ยาวนานนักหากเทียบกับโลก เหตุการณ์แบบนี้อาจเคยเกิดมาเป็นร้อยๆ ครั้ง ตลอดช่วงเผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงอยู่แต่เราไม่ได้รับรู้

             จากการศึกษาชั้นน้ำแข็ง ครั้งล่าสุดเราพบว่าการละลายแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน นั่นคือมีเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ก็ไม่น่าจะถือว่า "ผิดธรรมชาติ"?

             ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า เรื่องนี้ปกติอย่าไปสนใจ หรือคนที่กังวลแค่คิดไปเอง

             เหตุการณ์นี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรตรวจติดตามถึงผลกระทบ ควรตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น โดยจะต้องพิจารณาวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ และต้องนำเสนออย่างถูกต้องรัดกุม ไม่ใช่นำเสนอเพื่อกระพือกระแสวันสิ้นโลกให้ตื่นตระหนก ทางผู้รับข่าวสารเองก็ขอให้วิเคราะห์แยกแยะให้ดี อย่าเพิ่งรีบเชื่อมโยงไปเป็นเรื่องหายนะวันสิ้นโลกอย่างเดียว 

             เพราะเรื่องวันสิ้นโลกนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรทีสนับสนุนเลยนอกจากภาพยนตร์ 

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43991

รายชื่อ 5 ลำดับของดาวน่าบุกเบิก


เมื่อประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา สถาบัน Planetary Habitability Laboratoryจากมหาวิทยาลัย Universided de Puerto Rico (หรือ PHL@UPR) ได้จัดอันดับดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตมากที่สุด 5 อันดับ การจัดอันดับมีน่าจะสืบเนื่องจากการถกเถียงเรื่องการมีอยู่ของดาวนอกระบบสุริยะที่ชื่อ Gliese581g ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ห้าของระบบดาวเคราะห์ชื่อGliese581 (หรือก็คือชื่อของดาวฤกษ์ของระบบนั้น) ซึ่งนักดาราศาสตร์เชื่อว่า ดาวที่กำลังเป็นข้อถกเถียงนี้เป็นดาวที่เหมาะสมต่อสรรพชีวิตบนโลกของเรามากที่สุดเท่าที่เคยพบมา ประกอบกับโครงการการออกตามล่าหาดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ได้อีกหลายโครงการ เช่น โครงการเคปเลอร์ เป็นต้น จนได้ค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ๆ มากมาย และการจัดอันดับนี้จึงเป็นการนำเสนอผลการสำรวจจากทุกโครงการ ถ้าหากดาว Gliese581gมีอยู่จริง จะทำให้ 5 อันดับแรก ของดาวที่น่าจะไปตั้งถิ่นฐานมีดังต่อไปนี้

ข้อตกลง
1. การบอกมวลของดาว รัศมีของดาว และแรงโน้มถ่วงที่ผิวดาวจะบอกเป็นจำนวนเท่าของปริมาณเดียวกันของโลก
2. 1 ปีแสงคือระยะทางประมาณ 9.4 ล้านล้านกิโลเมตร หรือ 9,460,730,472,580.8 กิโลเมตร

ลำดับที่ 5
 Gliese 581d


มีมวลประมาณ 6.9 เท่า รัศมีดาวประมาณ 2.2 เท่า ทำให้มีแรงโน้มถ่วงที่ผิวดาวประมาณ 1.45 เท่า และ อุณหภูมิ -37 องศาเซลเซียส ดาวดวงนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 20.3 ปีแสง มีค่า ESI เป็น 0.72

      ดาวดวงนี้ถูกตรวจพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2550 จากข้อมูลที่เห็น ดาวดวงนี้หนาวมาก (หนาวกว่าลำปาง ไม่น้อยกว่า 40 องศาเซลเซียส) ถึงกระนั้นดาวดวงนี้ก็ใหญ่พอที่จะมีชั้นบรรยากาศ นักวิทยาศาสตร์จึงแนะนำว่าหากทำให้ดาวดวงนี้เกิดภาวะเรือนกระจกในระดับพอเหมาะ อากาศในดาวจะอบอุ่นขึ้นและพวกเราจะสามารถใช้ชีวิตบนดาวดวงนี้ได้สบาย เพื่อการนี้ พวกเขาจะศึกษาบรรยากาศของดาวในรายละเอียดต่อไป

ลำดับที่ 4 : HD85512b


มีมวลประมาณ 3.6 เท่า มีรัศมีประมาณ 1.7 เท่า จึงมีแรงโน้มถ่วงประมาณ 1.38 เท่า มีอุณภูมิผิวอยู่ที่ 25 องศาเซลเซียส และอยู่ห่างจากโลกไป 36.3 ปีแสง มีค่า ESI เป็น 0.77

ดาวดวงนี้ถูกค้นพบเมื่อ สิงหาคม ถึง กันยายน พ.ศ. 2554 โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ ที่ชิลี

ลำดับที่ 3 : Kepler22b


ดาวมีมวล 6.4 เท่า รัศมีประมาณ 2.1 เท่า จึงมีแรงดึงดูดที่ผิวอยู่ที่ 1.45 เท่า อุณหภูมิที่ผิวประมาณ 31 องศาเซลเซียส เป็นดาวที่อยู่ไกลจากโลกมาก เกือบ 600 ปีแสง มีค่า ESI เป็น 0.81

      ดาวดวงนี้ถูกค้นพบและยืนยันโดยขององค์การนาซาเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2554 โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ (Kepler space telescrope) เชื่อกันว่าดาวดวงนี้มีความคล้ายกับโลกอย่างมาก นอกจากนี้ ดาวฤกษ์ต้นสังกัดของ Kepler22b ก็มีความคล้ายกับดวงอาทิตย์ของเราอย่างมากเช่นกัน

ลำดับที่ 2 : Gliese667Cc


มวลของดาวมีค่าเป็น 5 เท่า มีรัศมี 2 เท่า มีความโน้มถ่วงประมาณ 1.25 เท่า อุณหภูมิที่ผิวอยู่ที่ 27 องศาเซลเซียส มีระยะห่างจากโลกอยู่ที่ 28 ปีแสง มีค่า ESI เป็น 0.85

      ดาว Gliese667Cc ถูกค้นพบเมื่อ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2012 เนื่องจากดาวฤกษ์ชื่อ Glieses667C ที่ดาว Gliese667Cc โคจรรอบนั้น เป็นสมาชิกอยู่ในระบบดาวฤกษ์แฝดสาม (triple-star system) ซึ่งในระบบนี้จะประกอบด้วยดาวฤกษ์  Glieses667A, Glieses667B และ Glieses667C ทำให้หลายคนจินตนาการว่าหากเราไปยืนอยู่ที่ดาวเคราะห์ Gliese667Cc แล้ว เราจะได้เห็นเหมือนกับมีดวงอาทิตย์ 3 ดวง บนท้องฟ้า

และอันดับที่ 1 : Gliese581g


ดาวมีมวล 2.6 เท่า และมีรัศมีเป็น 1.4 เท่า ซึ่งทำให้มีแรงโน้มถ่วงที่ผิวเป็น 1.33 เท่า ดาวมีอุณหภูมิที่ผิวอยู่ที่ 10 องศาเซลเซียส อยู่ห่างจากโลกเพียง 20.2 ปีแสง ซึ่งถือว่าเป็นดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุดเท่าที่ค้นพบ มีค่า ESI เป็น 0.91

      ดาวดวงนี้ถูกค้นพบโดย กลุ่ม Lick-Camegie Exoplanet Survey โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ Keck ที่เกาะฮาวาย ดาวดวงนี้ถูกค้นพบเมื่อ เดือน กันยายน พ.ศ. 2552 และสร้างความฮือฮาต่อวงการดาราศาสตร์ในเวลานั้น เพราะมันคือดาวที่เอื้อต่อชีวิตที่อยู่ใกล้โลกมากๆ อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดาวดวงนี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ แต่หลักฐานหรือข้อมูลการสำรวจที่มีอยู่ตอนนี้สนับสนุนว่ามีอยู่จริง ปัจจุบันกำลังรอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการมีอยู่ (หรือไม่มีอยู่) ต่อไป

      ในการที่จะระบุว่าดาวดวงใดเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต จะใช้ค่า ESI เป็นเกณฑ์ (จริงๆแล้วคือ GlobalESI) หากอยากรู้ว่าค่า ESI ที่ว่านี้คืออะไรเลื่อนลงอ่านหน้าที่ 2 ได้เลย


เกณฑ์การตัดสินดาวเคราะห์

  เกณฑ์การตัดสินดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะมีแนวคิดง่ายๆ คือ ดาวดวงนั้นเหมือนโลกมากแค่ไหน แม้แนวคิดจะง่าย แต่ทำจริงยากมาก เพราะมีอุปสรรค คือ ดาวแต่ละดวงที่ค้นพบนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเดินทางไปถึงด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ดังนั้นการเดินทางไปที่ดาวนั้น แล้วดูให้เห็นกับตาว่าดาวดวงนั้นเหมาะสำหรับการตั้งรกรากหรือไม่คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในยุคนี้ การสำรวจจึงทำได้แค่เฝ้ามองห่างๆ ด้วยกล้องโทรทรรศน์หลายตัว แล้วนำข้อมูลจำนวนมากจากการเฝ้ามองมาวิเคราะห์ จึงจะสามารถสนับสนุนได้ว่าดาวที่กำลังจับตามองนั้นเหมือนโลกมากแค่ไหน ถึงกระนั้น การที่นักดาราศาสตร์จะนำข้อมูลที่ยุ่งยากจำนวนมหาศาลมาพูดคุยกันระหว่างหน่วยงาน หรือ นำมาแสดงต่อสาธารณะชนนั้นคงจะเป็นเรื่องไม่เข้าท่า พวกเขาจึงสร้างปริมาณ ที่เรียกว่า Earth Similarity Index (ดรรชนีความเหมือนโลก หรือ ESI) แต่บางครั้งปริมาณนี้ถูกเรียกว่า Easy Scale Index ค่าของ ESI มีได้ตั้งแต่ 0 ถึง 1 โดย 0 คือมีความเหมือนกับโลกเป็น 0% (อยู่ไม่ได้อย่างแน่นอนๆๆ) และค่า 1 หมายถึงมีความเหมือนโลกเป็น 100% ดังนั้นโลกจึงมีค่า ESI เป็น 1 อย่างไม่ต้องสงสัย


ดาวเคราะห์ที่ถือว่าเหมือนโลกหรือ Earth like จะมี ESI (Global ESI) ตั้งแต่ 0.8 ขึ้นไป จาก 5 ลำดับที่จัดมา จะเห็นว่ามี Earth-like เพียง 3 ดวงเท่านั้น

ในส่วนถัดไปของบทความนี้จะขออธิบายในรายละเอียดของ ESI ว่ามันมีแนวคิดอย่างไร เอาล่ะ สูตรคำนวณ ESI เป็นดังนี้


โดยที่ x คือลักษณะที่พื้นฐานของดาวเคราะห์ที่เราสำรวจ เช่น อุณหภูมิ รัศมีดาว มวลของดาว เป็นต้น ส่วนx0 คือลักษณะพื้นฐานของโลก ค่า w คือ น้ำหนักความสำคัญของแต่ละลักษณะพื้นฐานของดาว เป็นต้นว่า อุณหภูมิมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตมาก ค่า w จะมากด้วย และ n คือจำนวนข้อมูลทั้งหมดของทุกๆ ลักษณะ คือ ถ้ามีการวัดข้อมูลทั้งหมด 100 ครั้ง ค่า n จะถูกแทนด้วย 100

      ทาง PHL ได้เลือกลักษณะของดาวที่สำคัญๆ 4 ชนิดที่สามารถวัดค่าเป็นตัวเลขได้ คือ รัศมีเฉลี่ยของดาว ความหนาแน่นของดาว ความเร็วหลุดพ้น และอุณหภูมิผิวดาว นั่นหมายความว่า ค่า x จะมีอยู่ 4 กลุ่ม และต่าต่างๆ จะต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าของโลก (หรือค่าอ้างอิง) ซึ่งก็คือ x0


รูปแสดงลักษณะของอุณหภูมิผิวดาว หากดาวเย็นเกินไปจะกลายเป็น Cool Planet (ซ้าย) ดาวที่อุณหภูมิกำลังดีคือ Warm Planet (กลาง) ส่วนดาวที่ร้อนเกินไปคือ Hot Planet (ขวา)

      ทาง PHL เสนอว่า อุณหภูมิ และความหนาแน่น มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตมาก เพราะหากดาวร้อนเกินไป หรือหนาวเย็นมากเกินไป ชีวิตก็จะอาศัยอยู่บนดาวดวงไม่ได้ สำหรับอุณหภูมิจึงมีน้ำหนักของความสำคัญสูงถึง 5.58 ส่วนความหนาแน่นดาวจะเป็นตัวบอกว่าดาวดวงนั้นเป็นดาวหินหรือดาวแก๊ส มาจากสมมุติฐานที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้บนดาวดวงนั้นเป็นดาวหินแข็ง (พูดง่ายๆ ว่ามีพื้นให้ยืนนั่นแหละ) หากดาวดวงใดมีความหนาแน่นน้อย ดาวดวงนั้นจะเป็นดาวเคราะห์แก๊ส (เหมือนดาวพฤหัสกับดาวเสาร์) ดาวดวงนั้นก็ไม่น่าจะเอื้อต่อการดำรงชีพ ดังนั้นความหนาแน่นดาวจึงเป็นลักษณะที่สำคัญรองจากอุณหภูมิ จึงมีน้ำหนักเป็น 1.07 ส่วนลักษณะรัศมีดาว และความเร็วหลุดพ้นน่าจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแรงดึงดูดของดาว หากดาวมีมวลมาก แต่รัศมีน้อย จะทำให้ดาวมีแรงดึงดูดมาก ส่งผลให้ความเร็วหลุดพ้นมีค่ามาก ดาวที่มีแรงดึงดูดมากเกินไปอาจทำให้อากาศในดาวมีความหนาแน่นสูง ความชื้นสูง แม้จะเป็นดาวที่อุณหภูมิพอเหมาะแต่ในสภาพนั้น สิ่งมีชีวิตคงจะอยู่ได้ไม่ง่ายนัก น้ำหนักความสำคัญของความเร็วหลุดพ้นและรัศมีจึงมีค่าเป็น 0.7 และ 0.57 ตามลำดับ
ลักษณะทั้งสี่ที่มาพิจารณา ESI นั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. Surface ESI คือผลคูณของ ESI ที่คำนวณจากอุณหภูมิผิวดาวและความเร็วหลุดพ้น
2. Interier ESI คือผลคูณของ ESI ที่คำนวณจากรัศมีเฉลี่ยและความหนาแน่น
3. Global ESI คือผลคูณของข้อ 1. และ 2. หรือก็คือผลคูณของ ESI จากทั้ง 4 ปริมาณ และเป็น ESI รวมที่จะนำไปกำกับดาวในแหล่งข่าว

      ในหน้าถัดไปเราจะมาดูผลของดาวเคราะห์ทั้งหมดทั้งที่ยืนยันแล้วและยังไม่ยืนยัน แล้วเราจะมาดูสิว่ามีดาวมากน้อยแค่ไหนที่มีค่า Surface ESI หรือ Interier ESI มากกว่า 0.8


ESI ของดาวทั้งหมด

  ในปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะอยู่ประมาณ 3000 ดวง โดยมีฐานข้อมูลจาก
1. ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจำนวน 777 ดวง ที่ยืนยันแล้ว และ 174 ดวง ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน จากฐานข้อมูล Extrasolar Planets Encyclopedia
2. ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจำนวน 2,321 ดวง ที่ยืนยันแล้วและยังไม่ได้รับการยืนยัน จากฐานข้อมูล NASA Kepler Candidates
ข้อมูลบางส่วนจากฐานข้อมูลทั้งสองถูกนำมาจุดลงบนกราฟระหว่าง Surface ESI และ Interier ESI ดังรูป


     จุดสี่เหลี่ยมสีฟ้าแทนดาวจำนวน 258 ดวง ที่เด่นๆ จาก Extrasolar Planets Encyclopedia จุดสามเหลี่ยมสีเขียวคือดาวจำนวน 1,235 ดวงจาก Kepler Candidates และจุดวงกลมสีส้มคือดาวเคราะห์ที่รัศมีใหญ่กว่า 100 กิโลเมตร ในระบบสุริยะของเรา จะเห็นว่าข้อมูลจาก Kepler Candidates ส่วนใหญ่จะเป็นดาวเคราะห์หิน มีอยู่สองดวงที่อยู่ในบริเวณ Earth-like ซึ่งมีค่า Global ESI มากกว่า 0.8 และยังมีอีกสามดวงที่มีค่า ESI เกือบๆ ถึง 0.8 ส่วนจุดสีเหลี่ยมสีฟ้าจุดเดียวที่อยู่ในบริเวณ Earth-like คือดาว G581gที่หนึ่งของเรานั้นเอง

สรุป
      ในปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ได้ตามล่าหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะอย่างจริงจัง จนมีข้อมูลมากในระดับหนึ่ง ประกอบด้วยดาวที่ยืนยันแล้วและดาวที่รอการยืนยัน นอกจากนี้พวกเขายังได้ค้นหาต่อไปอีกว่าจะมีดาวเคราะห์ดวงใดที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลกจะไปตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านหลังใหม่ได้บ้าง โดยการใช้ ESI เกณฑ์ ซึ่งคำนวณจาก อุณหภูมิผิว ความหนาแน่นดาว ความเร็วหลุดพ้น และ รัศมีดาว จากการใช้เกณฑ์ดังกล่าว PHL ก็ได้จัดอันดับดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีพมากที่สุดโดยเรียงลำดับ ESI จากมากที่สุด และน้อยลงถัดๆ ไป 5 ลำดับ 

บทความนี้เรียบเรียงจาก
[1] The Hebitable Exoplanets Catalog, http://phl.upr.edu, July 30, 2012

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43995