1. “ หนู ” ที่ส่งเสียงร้องเหมือนนก

นักวิทยาศาสตร์ประเทศญี่ปุ่นพัฒนา “ หนู ” ที่ส่งเสียงร้องเหมือนนกได้โดยบังเอิญ ผ่านการตัดต่อพันธุวิศวกรรมที่ตั้งใจจะผลิตหนูขาสั้นและมีหางให้มีรูปร่างเหมือนสุนัขดัชชุนด์ กลายเป็นวิวัฒนาการใหม่ที่อาจนำมาต่อยอดพัฒนาเรื่องระบบภาษาและการพูดของมนุษย์ในอนาคต
ผลงานครั้งนี้เป็นของมหาวิทยาลัยโอซาก้า นำโดยอาริคูนิ อูชิมูระ ตัดต่อพันธุกรรมของหนูให้เหมือนการกลายพันธุ์ ซึ่งเป็นหนทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ได้หนูที่จะร้องหวีดหวิวเมื่อถูกนำไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ หรือเมื่อตัวผู้เจอตัวเมีย
" หลังตัดต่อพันธุกรรม เราตรวจดูหนูเกิดใหม่ทุกวัน ทุกตัวแล้ววันหนึ่งก็พบว่ามีหนูที่ร้องเพลงได้เหมือนนก จากทีแรกที่คิดว่าจะพบว่ารูปร่างผิดปกติไปตามที่ตั้งใจ ตอนนี้เรามีหนูที่ร้องได้เหมือนนกกว่า 100 ตัวแล้ว " อูชิมูระ กล่าว
หนูเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีความใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่านก จึงดีกว่าถ้านำมาศึกษาเรื่องระบบภาษาและการพูดของมนุษย์
2. GloFish

ปลาม้าลายเรืองแสงเป็น ปลาที่ไม่ได้พบเห็นในธรรมชาติ(แน่นอน) เพราะมันเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม โดยนำยีนจากแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลชนิดพิเศษ ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนที่เรืองแสงได้เองตามธรรมชาติใน ไปใส่ไว้ในสายของดีเอ็นเอที่ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของปลาม้าลาย จึงทำให้ปลาม้าลายซึ่งปกติมีลักษณะใสและไม่เรืองแสง เปลี่ยนแปลงลักษณะกลายไปเป็นปลาม้าลายที่เรืองแสงได้ เช่นเดียวกับแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลที่เป็นเจ้าของดีเอ็นเอนั้นๆ โดยการทดลองนี้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์นำโดย ดร.ซีหยวน กง (Dr. Zhiyuan Gong) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ปลาม้าลายเรืองแสงเหล่านี้เป็นตัวสภาพ ความเป็นพิษของแหล่งน้ำ
ปัจจุบันมีการซื้อขายปลาม้าลาย เรืองแสงสีแดงในชื่อ โกลฟิช (GloFish) เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2004 โดยก่อนหน้านั้น มีการทดลองเพื่อตรวจสอบประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดเป็นเวลานานกว่า 2 ปี จนในที่สุดองค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration, FDA) ของประเทศสหรัฐฯ ก็อนุญาตให้จำหน่ายได้ โดยระบุชัดเจนว่า “ ไม่มีหลัก ฐานว่าปลาม้าลายดังกล่าวมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าปลาม้าลายทั่วไปแต่อย่างใด ”
3. Umbuku Lizard

เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ไม่มี เหตุผลหรือวัตถุประสงค์ ในการดัดแปลงพันธ์กรรม แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสามารถทำได้ โดยพันธุกรรมในซิมบับเว ได้จัดการดัดแปลงให้ตุ๊กแกสัตว์พื้นเมืองที่มีขนาดเล็กและหายากในแอฟริกา โดยทำให้มันบินได้ แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า Umbuku Lizard
4. Dolion

มันน่าจะเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ที่สุดของวิทยาศาสตร์ที่ สามารถนำ DNA มาใช้ได้อย่างเหลือเชื่อ Dolion เป็นการดัดแปลงพันธุกรรมระหว่างสิงโตและสุนัข จนได้ผลิตผลสัตว์เหลือเชื่อนี้ (บนโลกมีสัตว์ชนิดนี้แค่สามตัวและมันอยู่ในห้องปฏิบัติการ ภาพด้านข้างมีชื่อว่า Rex ซึ่งเป็นตัว แรก) และข้อมูลของมันไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ (มันจะดุเหมือนสิงโตไหมนี้)
5. Fern Spider

แมงมุมเฟิร์นไม่ซ้ำกันในรายการที่เอาสัตว์และพืชมารวมกัน เป็นการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยใช้ แมงมุมพันธุ์ในอิตาลีชื่อ Wolf spider (Lycosa tarantula) และ ponga fern (Cyathea dealbata) วัตถุประสงค์ในการผสมพันธุ์มหัศจรรย์นี้คือการศึกษาอัตราการรอดของแมงมุมใน ธรรมชาติ การทดลองนี้เป็นของ ในนิวซีแลนด์ แต่ผลการศึกษายังไม่เผยแพร่
7. Lemurat

ความมั่งคั่งของคนรวยชาวจีนกำลังเพิ่มขึ้น พวกเขากำลังมองสัตว์เลี้ยงที่แปลกใหม่เอาไว้โอ้อวดเงินทองของพวกเขา และนั้นเองจึงเป็นที่มาของบริษัทวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์จีนในการแข่งขันผลิตสัตว์ข้ามสายพันธุ์ให้ประสบผลสำเร็จมากที่สุด(เพื่อการเงิน) จนที่สุดพวกเขาก็ได้แมวพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมระหว่างพวกลิงและแมว ทำให้ได้สัตว์ที่มีขนนุ่มหลายสีของแมว และหางลายและตาเหลืองที่มักพบในสัตว์จำพวกลิง โดยทั่วไปมันไม่อันตราย และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Prolos Fira
8. Cats glow

แมวเรืองแสงเกิดจาก ดัดแปลงพันธุกรรมโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเกาหลีใต้ ทำให้แมวมีสามารถเรืองแสงได้ในความมืดเมื่อสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต
โดย กง อิลคุน ผู้เชี่ยวชาญด้านโคลนนิ่ง มหาวิทยาลัยแห่งชาติยองซัง ได้สร้างแมวขึ้นมา 3 ตัว แมวเหล่านี้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมในส่วนของยีนที่ผลิตโปรตีนฟลูออเรสเซนต์ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการโคลนแมวที่ถูกดัดแปลงยีนดังกล่าวตอนแรกพวกเขาได้แมว 3 ตัว แต่ตอนนี้เหลือรอดชีวิตเพียง 2 ตัว และเติบโตจนมีน้ำหนัก 3 กก. และ 3.5 กก. โดยวัตถุประสงค์ในการทดลองนี้ก็เพื่อนำ เทคโนโลยีไปใช้ในการโคลนแมวที่มียีนผิดปกติ รวมทั้งมีประโยชน์ในการพัฒนาการรักษาโรคโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ หรือจะนำมาใช้ในการโคลน สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น เสือ เสือดาว และแมวป่าก็ยังได้
อ้างอิงจาก http://genetic.siam2web.com/?cid=1505554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น