วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Bioethics : ชีวิตอันยืนยาวทำให้มนุษย์มีความสุขมากขึ้นหรือไม่

มนุษย์ต่างปรารถนาชีวิตอันยืนยาวมาช้านาน การมีชีวิตยืนยาวหมายความว่าเราจะมีประสบการณ์ในโลกมากขึ้น ย่อมเพิ่มโอกาสที่จะไขว่คว้าหาความสุขตามลัทธิสุขนิยม (hedonism) หรือมีเวลายาวนานมากขึ้นในการค้นคว้าแก่นสารในชีวิตปัจเจกชน มุ่งมั่นทำสิ่งที่ใฝ่ฝันอย่างอัตถิภาวะนิยม (existentialism) หรือใช้เวลาครุ่นคิดหาความจริงแท้ของชีวิตตามหลักศานตินิยม (non-hedonism)

ไม่ว่าจะดำรงชีวิตโดยหลักปรัชญาใด ชีวิตอันยืนยาวก็คงเป็นสิ่งพึงปรารถนา และมนุษย์ต่างทำทุกวิถีทางให้อยู่บนโลกนี้ได้ยาวนานยิ่งขึ้น นับแต่อดีตกาลก่อนประวัติศาสตร์ อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์มีค่าประมาณ 25-40 ปี ด้วยความก้าวหน้าทางอารยธรรม ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับต่อวันจึงเพิ่มขึ้น สวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ณ ปัจจุบันมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้นถึงประมาณ 80 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆในอนาคต





อนาคตที่มนุษย์จะมีอายุขัยเฉลี่ยเกินร้อยปีหรือมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้นเป็นอนาคตที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความก้าวหน้าทางการแพทย์จะช่วยขจัดโรคร้ายที่คุกคามเมื่อเราชราภาพ อวัยวะที่เสื่อมตามกาลจะถูกปลูกถ่ายแทนที่ เทคโนโลยีทางชีวภาพและทางเภสัชกรรมจะช่วยให้เราสามารถหยุดยั้งหรือชะลอความแก่ชราของเซลล์ หรือแม้แต่เทคโนโลยีทางวิศวกรรมในการทดแทนอวัยวะของมนุษย์ด้วยจักรกล (Bionics) ดังนั้นคำถามเกี่ยวกับวิทยาการเพิ่มอายุขัยของมนุษย์จึงไม่ใช่ มันจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เป็น จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น และเป็นคำถามสำคัญทางชีวจริยศาสตร์ข้อหนึ่งในปัจจุบัน

ดังที่กล่าวข้างต้น การมีชีวิตยืนยาวดูเหมือนจะเป็นสิ่งพึงปรารถนา เมื่อเรามีเวลาเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนโลกได้ยาวนานขึ้น แก้ไขสิ่งผิดพลาดในอดีตได้มากยิ่งขึ้น แต่แท้จริงแล้ว การมีชีวิตที่ยืนยาวจะทำให้สังคมมนุษย์โดยรวมมีความสุขมากขึ้นหรือไม่ เป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหาคำตอบ และแน่นอนว่ารูปแบบสังคมมนุษย์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

การมีชีวิตอันยืนยาวอาจเป็นสวรรค์ของนักปราชญ์ เมื่อเวลาอีกมากมายมหาศาลให้ค้นคว้าหาความรู้ บุคคลหนึ่งๆอาจเลือกที่จะศึกษาหาความรู้ในหลายด้านหลากมิติ นักกรีฑา-พ่อครัว-นักดนตรี-ศาสตราจารย์ด้านวรรณคดี ทั้งหมดนี้อาจเป็นบุคคลเดียวในต่างช่วงเวลาของชีวิต หรือบุคคลหนึ่งอาจเลือกศึกษาความรู้ในเรื่องหนึ่งเรื่องเดียวอย่างลึกซึ้ง จนเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างที่สุดในรายละเอียดปลีกย่อยของสาขาที่ตนศึกษา การศึกษาค้นพบสิ่งใหม่ๆอาจเป็นไปอย่างก้าวกระโดด

นิยามของความรักจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ บุคคลหนึ่งจะสามารถครองคู่กับคู่รักของตนได้ยาวนานสักเพียงไหน... 80 ปี... 100 ปี... 200 ปี เมื่อมนุษย์รู้ว่าเวลาในชีวิตของตนเองเหลืออีกมากมายนัก ระยะเวลาในการสมรสอาจสั้นลงไปกว่าปัจจุบันเสียอีก เนื่องจากเราไม่ต้องอดทนอยู่ร่วมกันจนตายจาก ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาอยู่กับความเบื่อหน่าย เมื่อรู้ว่ายังมีเวลาอีกมากในชีวิตเพื่อลองสิ่งแปลกใหม่ การหย่าร้างจักเป็นสิ่งธรรมดาสามัญเสียยิ่งกว่าก่อน นักจิตวิทยาเชื่อว่าในสถานการณ์ดังกล่าว รูปแบบการแต่งงานจะเปลี่ยนจากสิ่งยืนยาวเป็นสิ่งชั่วคราว

หากการมีชีวิตอันยืนยาวนั้นเกิดควบคู่กับการชะลอความเสื่อมความสามารถในการสืบพันธุ์ (โดยเฉพาะในเพศหญิง) อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพ่อ-แม่-ลูกมีอายุต่างกันมาก เป็นต้นว่า 70-80 ปี หรือพี่น้องร่วมสายเลือดที่อายุต่างกันกว่า 50 ปี หรือพี่น้องต่างพ่อแม่อันไม่รู้จบที่เกิดจากการสมรสใหม่-ซ้ำแล้วซ้ำเล่า-ของบุพการี ความสัมพันธ์ทางเครือญาติคงซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ความแตกต่างระหว่างวัยจะทำให้เกิดความเหินห่าง ความขัดแย้งในวงศาคณาญาติ...เมื่อทุกการตัดสินใจในตระกูลมีการตัดสินใจก่อนหน้า และคำเสนอแนะอันไม่รู้จบระหว่างเครือญาติ

ในด้านการงาน บริษัทต่างๆจะมีที่ว่างให้บัณฑิตจบใหม่ไฟแรงหรือไม่ เมื่อมีตัวเลือกของผู้สมัครที่อายุมากกว่าแต่มีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า 50 ปี หรือพนักงานเก่าที่ครองตำแหน่งในที่ทำงานมากว่า 100 ปี โลกนี้อาจหมุนไปด้วยบุคคลเพียงไม่กี่คน เนื่องจากผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ลงจากตำแหน่งหรือตายจากไป ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาในแต่ละคณะของมหาวิทยาลัยไม่เกษียณให้ใครเข้ามาแทนที่ ผู้นำศาสนาครองตำแหน่งยาวนานไม่มีใครสืบทอด นักสังคมวิทยาต่างเชื่อว่าสังคมที่ผูกติดกับบุคคลเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแทนที่ เป็นสัญญาณของความเสื่อมถอยของสังคมนั้น

การมีชีวิตอันยืนยาวอาจไม่ช่วยแก้ไขปัญหาสังคมที่สำคัญใดๆ ตัวอย่างเช่นสงคราม ความขัดแย้งระหว่างบุคคลนั้นไม่ถูกกำจัด หรืออาจยิ่งขยายภาพลักษณ์มากขึ้น เมื่อบุคคลที่เป็นอริกันไม่ตายจากกันไป และยังคงแพร่ขยายความเกลียดชังในระหว่างผู้มีชีวิต หรือปัญหาความยากจนและคุณภาพชีวิต การมีชีวิตอันยืนยาวอาจยิ่งขยายช่องว่างทางฐานะของปัจเจกชนยิ่งขึ้น เมื่อผู้มีฐานะมีอายุยืนยาว สะสมสินทรัพย์ทิ้งห่างผู้อื่นไปอย่างไม่รู้จบสิ้น

ณ เวลาปัจจุบัน เราอาจมองไม่เห็นภาพของปัญหาดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากอนาคตนั้นยังอีกไกลนักกว่าจะถึง และเมื่อเวลานั้นเราอาจไม่อยู่ทันเห็นปัญหา เพราะเราอาจจัดเป็นมนุษย์ยุคเก่าที่มีอายุขัยสั้น ขณะที่คนที่ประสบปัญหาคือทายาทของเรา มนุษย์ยุคใหม่ที่อายุขัยยืนยาว บางทีอาจเป็นหน้าที่ของทายาทของเราเหล่านั้นที่จักต้องแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง


เนื้อหาบางส่วนเรียบเรียงจาก Ker Than. Toward Immortality: The Social Burden of Longer Lives. LiveScience. 2006


อ้างอิงจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cryptomnesia&date=06-12-2010&group=10&gblog=38

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น