เครื่องมือในนิยายวิทยาศาสตร์ดังกล่าวอาจฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินจินตนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ฟิลิป เค ดิค ผู้แต่งนิยายดังกล่าวเขียนเรื่องนี้ขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์จะสามารถปรุงแต่งอารมณ์ ความรู้สึกของตนได้ตามต้องการ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ พฤติกรรมของบุคคลหนึ่งๆไปโดยสิ้นเชิง (ซึ่งมักปรากฏในนิยายวิทยาศาสตร์อีกหลายเรื่องเช่นกัน เช่นชุดหุ่นยนต์ของไอแซค อาสิมอฟ) ด้วยความรู้ทางประสาทวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าในเวลาปัจจุบัน คงไม่ผิดที่กล่าวว่าเป็นไปได้อย่างมาก
นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษามาช้านานแล้วเกี่ยวกับบริเวณของสมองที่เกี่ยวข้องอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าอารมณ์และความรู้สึกแต่ละชนิดเกิดจากการทำงานของสมองในบริเวณที่เฉพาะเจาะจง สารสื่อประสาทในกลุ่มที่แตกต่าง และวงจรกระแสประสาทที่เป็นระบบ ด้วยความรู้ที่ก้าวหน้า การปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งอารมณ์จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป อันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่สิ่งใหม่โดยสิ้นเชิง ในอดีตที่ผ่านมา มีวิทยาการสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคระบบประสาทเช่นโรคพาร์กินสัน ลมชัก หรือแม้แต่โรคทางจิตเวชอย่างเช่นโรคย้ำคิดย้ำทำ ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Deep Brain Stimulation (DBS) ซึ่งคือการฝังแท่งอิเล็คโทรดเข้าไปในเนื้อสมองเพื่อใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นสมองในบริเวณที่เฉพาะเจาะจงและระงับอาการของโรคที่เป็นอยู่ ผลข้างเคียงที่พบระหว่างการรักษาคือ การเปลี่ยนแปลงอารมณ์หรือแม้แต่บุคลิกภาพของผู้ป่วย ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น เราอาจเลือกกระตุ้นสมองส่วนที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้อารมณ์และความรู้สึกที่ต้องการ ด้วยวิธีการที่เจ็บตัวน้อยลง สะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ภาพสแกนสมองในภาวะอารมณ์แตกต่าง แสดงการทำงานของสมองในบริเวณที่แตกต่างกัน (Moser E. et al., J Neuro Met, 2006.)
จากแนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดศาสตร์ความรู้ใหม่ที่มีแนวโน้มจะเติบโตในอนาคตกาลข้างหน้าคือ Neurocosmetics มนุษย์รู้จักการปรุงแต่งตนเองให้สวยงามเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เราปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งร่างกายภายนอกให้เป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องสำอาง การทำศัลยกรรม การใช้ยาและสารเคมีเพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานของร่างกาย แล้วการปรับเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกเล่า? ทำไมเราถึงจะทำไม่ได้ หากเราสามารถปรับเปลี่ยนความรู้สึกให้อารมณ์ดีอย่างสม่ำเสมอ ร่าเริงแจ่มใส บุคลิกน่าคบหา ไม่มีความคิดในแง่ลบ จะเป็นไปได้หรือไม่
ในนิยายเรื่องข้างต้น เครื่องปรับแต่งอารมณ์ดูเหมือนจะมีกลไกที่ง่ายไม่ซับซ้อน โดยอาศัยหลักการของคลื่นไฟฟ้า(?)ในรูปแบบสัญญาณต่างๆเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ของบุคคล แต่ในความเป็นจริงอาจไม่ง่ายอย่างนั้น สมองของมนุษย์ไม่มีตัวรับคลื่นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อแปลงเป็นข้อมูลโดยตรง เหมือนการมองเห็น การรับกลิ่น การรับรส การได้ยิน และการสัมผัส หากเราจะกระตุ้นสมองให้สามารถทำงานได้จากคลื่นไฟฟ้าจากภายนอก หนทางที่อาจเป็นไปได้คือการผ่าตัดฝังไมโครชิปเข้าไปในสมองบริเวณต่างๆเพื่อรับสัญญาณไฟฟ้าดังกล่าว แต่ถ้าวิธีดังกล่าวฟังดูน่าเจ็บตัวไปหน่อย อีกหนทางที่น่าจะเป็นไปได้คือ นาโนแมชชีน ที่เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายแล้วสามารถเดินทางไปยังบริเวณที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเราอาจได้รับมันเข้าไปโดยการฉีดหรือแม้แต่การกิน ไมโครชิปหรือนาโนแมชชีนที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อสมอง (ถึงตอนนี้เราอาจจะมองข้ามเรื่องผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยตีความเสียว่าในอนาคตข้างหน้า อุปสรรคความเข้ากันไม่ได้ของเนื้อเยื่อและวัสดุแปลกปลอมล้ำยุคจะถูกพิชิตในที่สุด) จะทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณไฟฟ้าจากภายนอกที่เข้ารหัสไว้ และตอบสนองโดยการกระตุ้นการทำงานของสมองในบริเวณที่เฉพาะเจาะจง อย่างเช่นรหัส A สำหรับอารมณ์สนุกสนานในวันปีใหม่ รหัส U สำหรับความรู้สึกอยากดูรายการตลกอย่างแรงกล้า หรือรหัส Y สำหรับความรู้สึกสงบราวกับนั่งสมาธิในป่าลึก เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างเป็นระบบยังทำให้เกิดบุคลิกภาพหลากหลายที่เราสามารถเลือกได้
คำตอบสำหรับความเป็นไปได้สำหรับเทคโนโลยีการปรับแต่งคือใช่ คำถามต่อมาคือแล้วเราควรจะทำมันหรือไม่? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ประเด็นทางจริยธรรมและปรัชญาจะเข้ามาเกี่ยวข้อง
พิจารณาถึงการปรุงแต่งร่างกายแต่ภายนอก สังคมมนุษย์ได้ยอมรับการกระทำดังกล่าวมาตั้งแต่อดีตกาล การปรุงแต่งร่างกายให้สวยงามเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ทำไมเล่า? มนุษย์ทุกคนก็อยากเห็นแต่สิ่งสวยงาม ทั้งยังอยากให้ตัวเองสวยงาม ดูดี มีสเน่ห์ ความสวยงามของร่างกายภายนอกทำให้เกิดประโยชน์ของมนุษย์ในเชิงสังคม ถึงแม้การกระทำบางกรณีจะดูน่ากังขาและควรถามถึงความเหมาะสมอย่างเช่นการผ่าตัด (เช่นศัลยกรรมใบหน้า ผ่าตัดแปลงเพศ) การใช้ยาหรือสารเคมี (เช่นฉีดฮอร์โมน โบท็อกซ์) แต่หากเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ ทั้งสังคมก็ยอมรับได้ (เฉกเช่นเรายอมรับการศัลยกรรมใบหน้าของดาราเกาหลี) ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิด
หากพิจารณาด้วยตรรกะเดียวกัน ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่จะทำให้การปรุงแต่งอารมณ์และความรู้สึกเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์ หากเรามีความรู้สึกที่ดี อารมณ์ดี ปราศจากความคิดในแง่ลบตลอดเวลาก็น่าจะดีไม่ใช่หรือ? แม้แต่ดาไล ลามะองค์ปัจจุบันก็ยังเห็นด้วยในข้อนี้(1) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวน่าจะเป็นผลดีต่อบุคคลนั้นๆเอง และสังคม เมื่อสังคมเต็มไปด้วยคนที่ปราศจากความรู้สึกในแง่ลบ ปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรมต่างๆอาจจะลดลงอย่างมากก็เป็นไปได้ และคุณภาพชีวิตมนุษย์ก็คงสูงขึ้นมากเมื่อถึงเวลานั้นปัญหาก็คือ การปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งอารมณ์และความรู้สึกที่ว่าจะลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเราหรือไม่? นับแต่อดีตกาล เราเชื่อว่าบุคลิกภาพ อารมณ์และความรู้สึกที่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผู้ที่เจริญคือผู้ที่สามารถควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ให้ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม บุคลิกภาพทำให้เราเป็นตัวของตัวเอง ทำให้เรามีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากผู้อื่น แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราสามารถ"ประดิษฐ์"อารมณ์ตามต้องการได้โดยไม่จำเป็นว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เราสามารถร่าเริงได้อย่างสุดขีดในงานศพที่คนที่เรารัก หรือตื่นเต้นอย่างขีดสุดในภาวะที่ร่างกายเหน็ดเหนื่อยไม่พร้อมจะทำสิ่งใด หรือเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพไปเรื่อยๆทุกครั้งที่เปลี่ยนงานใหม่
เทคโนโลยี Neurocosmetics จะทำให้แก่นสารความเป็นมนุษย์ของเราลดลงหรือไม่
อีกคำถามหนึ่งคือ Neurocosmetics ทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดปัญหาสังคมได้จริงหรือไม่ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เทคโนโลยีนี้เป็นความจริง คำถามคือใครบ้างที่มีสิทธิเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ วิทยาการดังกล่าวอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากจนกระทั่งเฉพาะชนชั้นสูงและอภิมหาเศรษฐีเท่านั้นที่มีสิทธิได้รับบริการ ขณะที่คนชนชั้นล่างก็ยังคงต้องผจญกับความรู้สึกในแง่ลบ อารมณ์ที่แปรปรวนในชีวิตประจำวัน ความไม่เท่าเทียมทางสังคมคงยิ่งขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม (นอกจากชนชั้นสูงจะได้รับบริการทางวัตถุที่ดี พวกเขายังมีคุณภาพทางจิตที่ดีกว่า) และหากแม้เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถเข้าถึงทุกคน เรามีสิทธิหรือไม่ที่จะ"ไม่เลือก"ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว และการ"ไม่เลือก"ของเราจะส่งผลกับเราหรือไม่ เราจะถูกกีดกันเป็นคนนอกคอก ถูกจัดกลุ่มเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะมีความคิดในแง่ลบและพร้อมจะก่ออาชญากรรมหรือไม่ ดูเหมือนเป็นปัญหาทางศีลธรรมที่ดูไกลตัว และเราไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่จนกว่าเทคโนโลยีนี้จะมาถึง...
...ผู้เขียนขอทิ้งท้ายบทความนี้โดยย้อนกลับไปยังนิยายวิทยาศาสตร์ต้นเรื่อง การถกเถียงในประเด็นเล็กๆน้อยๆของตัวเอกในเรื่องกับภรรยาจบลงที่ฝ่ายชายเสนอให้ฝ่ายหญิงปรับแต่งอารมณ์ของตนเองให้ดีขึ้น โดยเริ่มต้นจากการปรับแต่งอารมณ์ให้อยากดูโทรทัศน์แก้เบื่อ ภรรยาของเขากล่าวอย่างเหนื่อยหน่ายว่าเธอไม่มีความปรารถนาจะตั้งเครื่องให้เกิดอารมณ์ใดๆเลย ตัวเอกจึงย้อนกลับไปว่าถ้าอย่างนั้นก็ตั้งเครื่องปรับอารมณ์ให้เกิดความรู้สึก"อยากปรับอารมณ์"สิ เธอก็ย้อนกลับไปอีกว่า
"ฉันไม่ต้องการตั้งเครื่องให้สมองของฉันเกิดความอยากที่จะตั้งเครื่องหรอก! ถ้าฉันไม่เกิดความรู้สึกที่จะตั้งเครื่อง ฉันก็ไม่ต้องการตั้งเครื่องไปที่เลขนั้นมากที่สุด เพราะถ้าฉันทำ ฉันก็จะเกิดความต้องการที่จะตั้งเครื่องอีก และความรู้สึกแบบนั้นสำหรับฉันแล้วนับว่าเป็นแรงกระตุ้นที่ประหลาดที่สุดเท่าที่ฉันนึกได้ ฉันเพียงแต่อยากนั่งบนเตียงและจ้องมองพื้นห้อง"(2)
อ้างอิงจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cryptomnesia&date=04-11-2010&group=10&gblog=37
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น