.jpg)
โรคนี้มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะพบผู้ป่วยตั้งแต่อายุ 15-50 ปี ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ และอีก 10 เปอร์เซ็นต์ พบในผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปี แต่ส่วนใหญ่จะพบผู้ป่วยอายุเฉลี่ยประมาณ 36-45 ปี ซึ่งเป็นโรคที่พบในเพศชายมากกว่าหญิงในอัตรา 1.7 ต่อประชากร 100,000 คน โดยในประเทศไทยพบว่า มีผู้ป่วยราว 1-2 คน ต่อแสนประชากร
โรคซีเอ็มแอลเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบเพียงความปัจจัยเสี่ยงเท่านั้น ที่อาจกระตุ้นให้เกิดโรคดังกล่าว คือ สารกัมมันตรังสี โดยผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ได้รับสารอะตอมมิกบอม มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังสูงกว่าคนปกติถึง 4-5 เท่า
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักไม่มีอาการ จึงไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคนี้ แต่ในบางรายจะแสดงอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง น้ำหนักลด อึดอัดแน่นท้อง คลำพบก้อนที่ชายโครงซ้าย โดยผู้ป่วยมักจะพบโรคโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายทั่วไปหรือการตรวจร่างกายประจำปี โดยจะพบอาการม้ามโต มีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ โดยจะพบเม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยซีเอ็มแอล 500,000-800,000 ลบ.ซม. โดยคนปกติจะมีเม็ดเลือดขาวประมาณ 5,000-10,000 ลบ.ซม. รวมทั้ง พบตัวอ่อนเม็ดเลือดขาวปนมาในเลือด
ศ.พญ.แสงสุรีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคนี้มีอยู่ 3 ระยะด้วยกัน คือ ระยะเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในระยะนี้เมื่อมาพบแพทย์ครั้งแรก และเมื่อได้รับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยมักเข้าสู่ระยะที่โรคสงบ ตับ ม้ามมักจะยุบหมด เม็ดเลือดกลับมาปกติ แต่ยังต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่
ต่อมาเป็น ระยะลุกลามเมื่อรักษาไปสักระยะหนึ่งผู้ป่วยบางคนเข้าสู่ระยะลุกลาม เริ่มไม่ได้ผลจากการรักษา มีอาการซีด อาจต้องให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด บางรายเกล็ดเลือดต่ำ ถ้าต่ำมากก็อาจทำให้มีจุดเลือดออกตามตัว หรือเลือดออกตามไรฟันได้ รวมทั้งมีเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ม้ามเริ่มโตขึ้น ทำให้แน่นท้องมากขึ้น
ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะสุดท้ายของโรคนี้ มีอาการคล้าย ๆ กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน คือ มีไข้ ตัวซีดมาก เพลีย มีอาการเลือดออกง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัว หรือแขน ขา มีเลือดออกตามไรฟัน การรักษาในระยะนี้ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยได้ผล
ด้านการวินิจฉัย ทำได้โดยการตรวจหาค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดที่เรียกว่า ซีบีซี (Complete Blood Count : CBC) เพื่อตรวจดูจำนวนเม็ดเลือดทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด รวมทั้ง การตรวจไขกระดูก เพื่อดูว่ามีโครโมโซมที่ผิดปกติที่เรียกว่าฟิลาเดลเฟียโครโมโซมอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็ชัดเจนว่าเป็นโรคนี้แน่นอน!
.jpg)
สำหรับ แนวทางการรักษา โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังมีหลายวิธี การใช้ยาทานในปัจจุบันมีหลายตัวยาในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง โดยยาที่เป็นที่ยอมรับซึ่งเป็นยามาตรฐานในการรักษาสมัยใหม่ คือ ยาอิมมาตินิบ โดยทานวันละ 1 เม็ด ขนาด 400 มิลลิกรัม ซึ่งมีผลการรักษาทางคลินิกเป็นเวลา 8 ปี พบว่ามีอัตรารอดชีวิตถึง 85% แต่ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้โรคกลับมาใหม่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยห้ามทานผลไม้จำพวกส้ม มะเฟือง และทับทิม เพราะผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้จะไปทำปฏิกิริยากับยา ทำให้ผลของยาเปลี่ยนไป
หากผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังดื้อยาหรือไม่สามารถทนต่อการรักษาด้วยยาอิมมาตินิบได้ ยังมียาอีกชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความเฉพาะเจาะจงในการรักษามากกว่า คือ ยานิโลตินิบส่วนวิธีการรักษาอื่น ๆ มีหลายวิธี เช่น การรักษาโดยการใช้ยา เคมีบำบัด ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ใช้กันมานาน แต่หากใช้ยาเกินขนาด อาจมีการกดไขกระดูก และอาจมีพังผืดที่ปอด และมีผิวหนังสีคล้ำลง ซึ่งการใช้ ยาเคมีบำบัด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและจำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง แต่โรคไม่หายขาด และระยะหลังโรคจะเปลี่ยนเป็นระยะเฉียบพลันได้
นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาโดย การปลูกถ่ายไข กระดูก ซึ่งเป็นการรักษาวิธีเดียว ที่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายขาดได้ โดยจะต้องรอการบริจาคจากพี่น้องท้องเดียวกัน เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดการต่อต้าน แต่มีข้อจำกัดที่จะต้องหาผู้บริจาคเซลล์ไขกระดูก ที่มีเอช แอล เอ ตรงกับผู้ป่วยและอายุผู้ป่วยไม่เกิน 55 ปี ซึ่งมีโอกาสที่มี เอช แอล เอ เหมือนกัน 25 เปอร์เซ็นต์ และหลังจากการผ่าตัดมักมีอาการแทรกซ้อนได้ง่าย การปลูกถ่ายไขกระดูก โดยการทำการปลูกถ่ายไขกระดูก ภายใน 1 ปีแรก หลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้จะได้ผลดีที่สุด
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีอายุมากจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากการรักษาวิธีนี้ค่อนข้างสูง จากข้อจำกัดนี้ทำให้มีเพียงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยเท่านั้น ที่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อย่าท้อแท้ใจ เพราะขณะนี้มียาดี ๆ ที่รักษาให้โรคสงบได้ สิ่งสำคัญคือ ปฏิบัติตัวตามที่หมอแนะนำ ทานยาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถมีชีวิตเหมือนคนปกติได้.
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43536
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น