
นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันดาราศาสตร์แม็คซ์แพลงค์สามารถวัดการวางตัวของสนามแม่เหล็กในกลุ่มแก๊สยักษ์และฝุ่นระหว่างดาวในกาแลกซี่อันไกลโพ้นได้เป็นครั้งแรก ซึ่งผลการศึกษาบอกเราเป็นนัยๆว่า พลังแม่เหล็กเหล่านี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยก่อให้เกิดกลุ่มแก๊สที่หนาแน่นขึ้น จนในที่สุดกลายเป็นดาวดวงใหม่นั่นเอง
งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Nature แล้ว
ดวงดาวและดาวเคราะห์ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อแก๊สและฝุ่นระหว่างดาวขนาดยักษ์ยุบรวมเข้าด้วยกัน อย่างที่เราเคยเห็นกันตามแหล่งอนุบาลดวงดาว คือ เนบิวล่า นั่นเอง เป็นภาพสวยงามอยู่บนฟากฟ้าอันห่างไกล เป็นแหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์อายุน้อย
แต่นักดาราศาสตร์ก็มีความรู้น้อยเหลือเกินกับสิ่งที่เรียกว่า กลุ่มเมฆโมเลกุล โดยกลุ่มเมฆกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยโมเลกุลของไฮโดรเจนเป็นส่วนใหญ่ ถือเป็นสิ่งผิดปกติในอวกาศที่มักจะไม่อำนวยให้อะตอมของไฮโดรเจนรวมตัวกันเป็นโมเลกุลเท่าไรนัก และถ้าได้ติดตามการกระจายตัวของกลุ่มเมฆในกาแลกซี่กังหันอย่างกาแลกซี่ทางช้างเผือกของเราก็จะรู้ได้ว่า กลุ่มเมฆลักษณะนี้พบได้ตามแขนของกังหัน ทว่า นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากลุ่มเมฆกลุ่มนี้มาจากไหน และอะไรที่ทำให้พวกมันมารวมตัวกันได้
นักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอกลไกว่า กระบวนการนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสนามแม่เหล็กของกาแลกซี่ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า สนามแม่เหล็กของกาแลกซี่นำพาให้สสารระหว่างดาวมารวมตัวกันจนหนานแน่นขึ้น กลายเป็นกลุ่มเมฆความหนาแน่นสูง ทำให้เกิดการยุบตัวในเวลาต่อมาได้
นักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่า กระบวนการนี้เป็นกระบวนการหลักที่ในกระบวนการก่อกำเนิดดวงดาว ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนก็เชื่อว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลและการหมุนของกลุ่มแก๊สเป็นรูปกังหันมากกว่า แถมยังเชื่ออีกด้วยว่า ปัจจัยเหล่านี้แข็งแรงจนหักล้างแรงที่เกิดจากสนามแม่เหล็กภายนอกอีกด้วย
ถึงจะมีหลายแนวความคิด แต่หากมองเพียงแค่กาแลกซี่ของเราก็คงจะบอกไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมองออกไปนอกกาแลกซี่ของเราเพื่อหาวิธีที่เหมาะสม เพราะอันที่จริงแล้วนั้น ระบบสุริยะที่เราอาศัยอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแขนของกังหันเช่น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หัว-ไป่ ลี และโธมัส เฮนนิ่ง แห่งสถาบันดาราศาสตร์แม็กซ์แพลงค์เลือกเป้าหมายที่แตกต่างออกไป นั่นคือ กาแลกซี่ผีเสื้อสามเหลี่ยม อยู่ห่างจากโลก 3 ล้านปีแสง เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า M33

ลีและเฮนนิ่งทำการวัดคุณสมบัติของรังสีที่รับมาจากหลายๆพื้นที่ของกาแลกซี่ เพราะรังสีเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการวางตัวของสนามแม่เหล็กในพื้นที่นั้นๆ จนกระทั่งได้ค้นพบว่า สนามแม่เหล็กนั้นมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเมฆโมเลกุลขนาดใหญ่ 6 กลุ่ม ที่วางตัวอยู่ที่แขนของกังหันของกาแลกซี่อีกด้วย แถมความเกี่ยวของยังเป็นระเบียบและมีการวางตัวเป็นแบบแผนด้วย
หากความปั่นป่วนของกลุ่มเมฆมีความสำคัญมากกว่าสนามแม่เหล็ก สนามแม่เหล็กที่วัดได้จากกลุ่มเมฆควรจะมีลักษณะสุ่ม และไม่เป็นระเบียบ
ดังนั้น การสำรวจของลีและเฮนนิ่งจึงบอกได้ว่า สนามแม่เหล็กนั้นเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการรวมตัวของกลุ่มเมฆโมเลกุล ซึ่งก็อาจจะนำไปสู่การกำเนิดของดวงดาวและระบบดาวเคราะห์ของเราก็เป็นได้
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/154095
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น